ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 987 เฉินฉิงหนิว
ตอนที่ 987 เฉินฉิงหนิว
หวังฉิงเซิงราชาแห่งซีจิงผู้เป็นเหมือนม้ามืดที่เติบใหญ่อย่างรวดเร็วในเมืองซีจิง หลายปีที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่ที่กล้าท้าทายเขานั้นต่างก็ถูกเขากำจัดไปจนหมดแต่ไม่เคยมีชายหนุ่มคนไหนที่หยิ่งผยองอย่างเย่เชียนที่กล้ามายั่วยุและทำให้เขาอับอายถึงขนาดนี้
ใบหน้าของราชาแห่งซีจิงหวังฉิงเซิงในตอนนี้ราวกับเปลือกแตงโมเน่าเพราะดูโกรธเกรี้ยวจนน่าเกลียดมาก ถึงแม้ว่าจะมีความโกรธอยู่ในใจนับไม่ถ้วนแต่เขาก็ต้องระงับมันเอาไว้และต่อให้เขาจะยิ่งใหญ่สักแค่ไหนในเมืองซีจิงแต่จากคำพูดของรองผู้อำนวยการหลัวแล้วนั่นก็ยืนยันได้ว่าเย่เชียนมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เงียบไปโดยที่ไม่รู้รายละเอียดของเย่เชียนเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเดินผ่านหวังฉิงเซิงแล้วเย่เชียนก็โยนก้นบุหรี่ที่ยังไม่ดับลงในกระเป๋าเสื้อของหวังฉิงเซิงอย่างเย่อหยิ่งและยักคิ้วให้ฟู่เซิง ซึ่งฟู่เซิงและคนอื่นๆ ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ เลยแม้แต่น้อย การที่เย่เชียนทำแบบนี้ได้เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วพวกเขาเหมือนลูกวัวแรกเกิดที่พึ่งลืมตาดูโลก
หลังจากออกจากร้านคาราโอเกะแล้วฟู่เซิง,หยุนโอ่วเทียนและเยว่เหอตูก็กลับกันไปก่อน ส่วนเย่เชียนก็เหลือบมองหลี่ซือข้างๆ เขาและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้เธอยังกลัวอยู่หรือเปล่า”
หลี่ซือก็ส่ายหัวอย่างหนักหน่วงแล้วพูดว่า “ฉันไม่กลัวหรอกถ้ามีนายอยู่เคียงข้างฉัน” ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความรู้สึกของหญิงสาวนั้นแสดงออกมาอย่างเต็มที่และเชื่อมั่นในตัวของเย่เชียนอย่างแรงกล้า เหตุผลนั่นก็คือความรักและความรักก็มักจะไม่มีเหตุผลเพราะความรักเธอจึงรู้สึกเชื่อมั่นในหัวใจอย่างแรงกล้า
เมื่อได้ยินแบบนั้นเย่เชียนก็พูดว่า “ราชาแห่งซีจิงหวังฉิงเซิงดูเหมือนจะมีวันยอมพ่อของเธอเลย..เธอควรจะระวังให้มากกว่านี้ในอนาคตเพราะเขาคงจะไม่ยอมง่ายๆ เหมือนในวันนี้อย่างแน่นอน”
“เมื่อสิบปีก่อนหวังฉิงเซิงเป็นแค่สุนัขรับใช้พ่อของฉันแต่พอเขาเริ่มมีอำนาจขึ้นมาเขาก็ทรยศพ่อของฉัน..ตลอดหลายปีที่ผ่านมาถึงแม้ว่าเขาจะมีอำนาจมากแค่ไหนแต่ถึงยังไงเขาก็ไม่กล้าทำอะไรฉันอยู่ดี” หลี่ซือพูด
เย่เชียนส่ายหัวอย่างช่วยเพราะผู้หญิงคนนี้คิดง่ายเกินไป การที่หวังฉิงเซิงสามารถเติบใหญ่จากสุนัขรับใช้จนกลายเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเมืองซีจิงได้อย่างรวดเร็วนั้นเขาจะต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้วและบางทีเฉินฉิงหนิวนั้นอาจจะสามารถล้มเขาได้ก็ตามแต่สำหรับลูกน้องที่สามารถทรยศต่อเจ้านายได้นั้นจะกลัวเจ้านายเมื่อสิบปีก่อนได้อย่างไร? นอกจากนี้ตามข้อมูลที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนให้มานั้นสิ่งที่หวังฉิงเซิงทำในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นเขาไม่ได้หวาดกลัวเฉินฉิงหนิวแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุดก็เพียงพอที่จะอธิบายทุกอย่างได้แล้วว่าหวังฉิงเซิงกำลังเตรียมที่จะทำอะไรบางอย่างกับเฉินฉิงหนิว
เย่เชียนไม่ได้พูดอะไรอีกและตัดสินใจที่จะให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากขึ้นในอนาคตและพยายามไม่ปล่อยให้หลี่ซืออยู่คนเดียว ซึ่งตอนกลางวันหลี่ซือจะอยู่ที่มหาวิทยาลัยดังนั้นช่วงเวลาดังกล่าวจึงไม่เป็นปัญหาอะไรแต่ในเวลากลางคืนเย่เชียนจะต้องไม่ละสายตาจากเธอ
ในเวลานี้หลี่ซือก็พาเย่เชียนขึ้นแท็กซี่ไปลงตรงสี่แยกไม่ไกลจากที่นั่นนักและเดินตรงไปยังแผงขายอาหารเล็กๆ ที่ขายบะหมี่และสั่งบะหมี่มาสองชามแล้วดึงเย่เชียนไปนั่งลงที่โต๊ะด้านในสุด
“ตอนที่ฉันเป็นเด็กพ่อของฉันมักจะพาฉันมาที่นี่..เขาบอกฉันว่าเมื่อตอนเขาเด็กๆ เขาเดินทางมาที่เมืองซีจิงเพียงคนเดียวด้วยเงินเพียงหยิบมือ..ซึ่งการได้กินบะหมี่ที่แผงขายอาหารนี้ทำให้เขามีความสุขมากเพราะเขาต้องอดอาหารแทบจะทุกมื้อ..ภายหลังพ่อมาเจอแม่และตอนนั้นแม่ก็เป็นนักศึกษาปริญญาโทแล้วและแม่ก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จในการเรียนแต่แม่ก็รักพ่อมาก..ซึ่งตอนนั้นพ่อยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยจนตอนนั้นตากับยายของฉันคัดค้านอย่างหนักและกีดกันทุกอย่างแต่แม่ของฉันดื้อรั้นมากและถึงกับข่มขู่ตากับยายว่าจะฆ่าตัวตายถ้าหากกีดกันความรักของแม่และในที่สุดตากับยายของฉันก็ยอมแต่ท่านก็ไม่ชอบพ่อของฉันเลย..ในตอนนั้นพ่อมีความคิดเดียวก็คือการเดินเข้าไปในบ้านตากับยายอย่างมีศักดิ์ศรีจนเขาทำให้อาชีพการงานของเขาดีขึ้นเรื่อยๆ ..แต่ถึงยังไงก็เถอะท่านก็ยังไม่ชอบพ่อของฉันอยู่ดีเพราะพวกท่านเป็นครอบครัวที่รักการศึกษาและถึงแม้ว่าทัศนคติของตากับยายจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยก็ตามแต่ท่านก็ยังไม่ชอบพ่อของฉันอยู่ดี” หลี่ซือพูดอย่างช้าๆ “พ่อของฉันมักจะพูดเกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่..การเป็นวัวเป็นม้าและการกลายเป็นมังกรและเสือ..ซึ่งฉันไม่เคยเข้าใจประโยคเหล่านี้เลยว่ามันมีหมายความว่าอะไรแต่ฉันรู้สึกได้ถึงความขมขื่นของพ่อในตอนนั้นเพราะพ่อบอกฉันว่าความจนนั้นไม่ได้น่ากลัวแต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการไม่มีเป้าหมายและความทะเยอทะยานในชีวิต..หากมนุษย์มีความทะเยอทะยานและความมุ่งมั่นล่ะก็เขาจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนในสักวันหนึ่ง”
เย่เชียนตกตะลึงอยู่พักหนึ่งจากนั้นเขาก็เข้าใจเพราะดูเหมือนว่าหลี่ซือจะคิดว่าเขานั้นไม่ใช่คนร่ำรวยและมีอำนาจอะไร ซึ่งประโยคเหล่านี้เป็นคำปลอบโยนทางอ้อมแต่จริงใจมาก เด็กสาวผู้ดีอย่างหลี่ซือนั้นไม่เคยใส่ใจกับภูมิหลังของเย่เชียนและตกหลุมรักได้อย่างสุดซึ้งที่โดยไม่ลังเลนั้นเรียกได้ว่ามันเป็นความรักที่แท้จริง ซึ่งเย่เชียนก็ไม่ได้ขัดจังหวะเธอเพียงแค่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มจางๆ
จากนั้นไม่นานบะหมี่ก็ถูกนำมาเสิร์ฟและหลี่ซือก็มีความสุขมากและเธอก็จับมือเย่เชียนขณะกินราวกับว่าเย่เชียนจะบินหนีเธอไปทันทีที่เธอปล่อยมือ เธอคอยป้อนเกี๊ยวให้เย่เชียนเป็นครั้งคราวด้วยราวกับภรรยาตัวน้อยและถ้าหากเป็นไปได้หลี่ซือก็อยากที่จะป้อนของกินให้กับเย่เชียนไปตลอดชีวิตของเธอ
หลังจากกินบะหมี่เสร็จแล้วทั้งสองก็เดินไปตามท้องถนนอย่างช้าๆ และเพลิดเพลินไปกับสายลมในฤดูใบไม้ร่วง การเดินเล่นใต้บรรยากาศยามค่ำคืนราตรีเช่นนี้ช่างเป็นบรรยากาศที่อบอุ่นอย่างมาก จากนั้นทั้งสองก็ค่อยๆ เดินกลับไปที่บ้านของหลี่ซือและระหว่างทางหลี่ซือก็เหมือนสะใภ้ที่คอยควงแขนและโอบไหล่เย่เชียน นี่เป็นภาพที่สวยงามและเย่เชียนก็รู้สึกดีอย่างช่วยไม่ได้ อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ชัดเจนมากว่าความเงียบงันในปัจจุบันเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นและนั่นก็เป็นความอันตรายในเวลาเดียว
ที่ประตูบ้านของหลี่ซือเธอก็บอกลาเย่เชียนอย่างไม่เต็มใจและเย่เชียนก็ยิ้มแล้วโบกมือให้เธอ แต่เมื่อหลี่ซือหันกลับมาจู่ๆ ประตูบ้านก็เปิดออกทันทีและร่างของชายวัยกลางคนก็ปรากฏขึ้นที่ประตูและนั่นน่าจะเป็นเฉินฉิงหนิวพ่อของหลี่ซือใช่ไหม? เย่เชียนคิดอย่างลับๆ
“ซือเอ๋อร์นั่นเพื่อนของลูกเหรอ..ทำไมลูกไม่เชิญเขาเข้ามาก่อนล่ะ” เฉินฉิงหนิวพูด เสือใหญ่แห่งเมืองซีจิงคนนี้ไม่ได้แสดงความเคร่งขรึมและความหยิ่งผยองบนใบหน้าแต่อย่างใดเพราะเขายิ้มอย่างใจดีและดวงตาของเขามองไปที่เย่เชียน ซึ่งเขานั้นเพิ่งได้รับข่าวว่าหวังจุนลูกชายของหวังฉิงเซิงถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงจนเป็นอัมพาตที่ร้านคาราโอเกะชื่อดัง ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหวังฉิงเซิงไปที่นั่นเขาก็ไม่กล้าทำอะไรเลยและกลับไปอย่างน่าสมเพชและในเหตุการณ์นั้นลูกสาวของเขาก็อยู่ที่นั่นด้วย เมื่อนึกถึงการเปลี่ยนแปลงของลูกสาวในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเฉินฉิงหนิวผู้ผ่านอะไรมาเยอะก็ย่อมรู้ดีว่าลูกสาวของเขากำลังมีความรักและไม่ว่าแฟนของลูกสาวของเขาจะภูมิหลังที่แข็งแกร่งหรือแค่ลูกวัวแรกเกิดที่ไม่กลัวเสือก็ตามแต่การที่เด็กหนุ่มกล้าที่จะเผชิญหน้ากับลูกชายของหวังฉิงเซิเพื่อปกป้องลูกสาวของเขาแล้วเฉินฉิงหนิวจึงสนใจในตัวเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างมาก แน่นอนว่าเฉินฉิงหนิวที่เกิดในใต้ล่างสุดของสังคมเขาจึงไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับชนชั้นและการแบ่งแยกและไม่เคยคิดที่จะจับคู่ให้กับลูกสาว แต่ในกรณีนี้นั้นแตกต่างกันออกไปเพราะคนที่กล้าหาญและให้ความสำคัญกับลูกสาวของเขาถึงขนาดนี้นั้นหาได้ยากมาก
ถ้าหากผู้ชายถอยหนีและยอมแพ้เมื่อผู้หญิงของเขาตกอยู่ในอันตรายล่ะก็ผู้ชายแบบนี้นั้นไม่ใช่ผู้ชาย กล่าวกันว่าผู้ชายมักจะกล้าหาญเพื่อแสดงความเท่ให้ผู้หญิงประทับใจแต่สำหรับเฉินฉิงหนิวเขาไม่คิดแบบนั้น
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเฉินฉิงหนิวทำให้หลี่ซือประหลาดใจอย่างมากจนเธออดไม่ได้ที่จะตกใจ จากนั้นเธอก็มองไปที่เย่เชียนและเห็นได้ชัดว่าเธอจะขอคำตอบจากเย่เชียน แน่นอนว่าเฉินฉิงหนิวไม่ได้มีแนวคิดเรื่องชนชั้นใดๆ และเขาก็ไม่มีข้อกำหนดเหมือนกับพ่อแม่ทั่วๆ ไปแต่หลี่ซือก็ยังคงตระหนักถึงความโหดร้ายของพ่อเธอเพราะตั้งแต่เด็กจนโตเธอไม่รู้เลยว่ามีผู้ชายที่ไล่ตามจีบเธอตั้งกี่คนแต่เมื่อพวกเขาเห็นเฉินฉิงหนิวพวกเขาก็ตกใจกลัวและไม่กล้าคิดอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลอีกต่อไปและเธอเองก็กลัวว่าเย่เชียนจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างเฉยเมยและเดินเข้าไปช้าๆ “สวัสดีครับคุณลุง!” เย่เชียนพยักหน้าทักทายและพูดว่า “ผมชื่อเย่เชียนครับ!”
เฉินฉิงหนิวก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจและเมื่อมองแวบแรกเฉินฉิงหนิวก็ดูพอใจมากเพราะผู้ชายคนนี้ไม่ถ่อมตัวและไม่หยิ่งผยองเหมือนกับลูกหลานผู้มีอิทธิพลในปัจจุบันนี้และยิ่งไปกว่านั้นเด็กหนุ่มคนนี้ก็สามารถสบตากับเขาแบบนี้ได้และสำหรับสิ่งนี้เฉินฉิงหนิวก็ประทับใจเช่นกัน “สวัสดี..เข้ามานั่งก่อนสิ” เฉินฉิงหนิวพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ถ้าวันนี้ไม่ได้เอ็งล่ะก็ฉันไม่รู้เลยว่าซือเอ๋อร์จะเป็นยังไงบ้างและจะซ่อนตัวอยู่ในนั้นได้นานแค่ไหน”
เมื่อได้ยินแบบนั้นหลี่ซือก็จับแขนของเย่เชียนราวกับว่าจะทำให้เย่เชียนมีความกล้าหาญมากพอที่จะเผชิญหน้ากับพ่อของเธอ แต่เย่เชียนก็เดินเข้าไปอย่างเฉยเมยเพราะบุคคลที่สามารถล้อเล่นกับหวงฟู่ชิงเตี๋ยนที่เป็นถึงผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติและสามารถนั่งคุยกับรองนายกรัฐมนตรีหูวหนานเจียนและยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังนากยกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศญี่ปุ่นได้นั้นจะไปหวั่นเกรงกับบุคคลแบบนี้ได้อย่างไร?
แม่ของหลี่ซืออย่างหลี่ฉีผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุศาสตร์ระดับแนวหน้าของประเทศจีนก็ชงชาให้กับเย่เชียนเป็นการส่วนตัว ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะเลิกเรียนต่อปริญญาเอกเพื่อผันตัวมาเป็นแม่บ้านเต็มตัวแล้วก็ตามแต่ก็ไม่มีใครสามารถเพิกเฉยต่อความสามารถและหน้าที่ของเธอในด้านพันธุกรรมได้เลย แน่นอนว่าเย่เชียนรู้เรื่องความสามารถของเธอดีอยู่แล้วไม่อย่างนั้นประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาคงไม่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อจับตัวดร.หลี่ฉีไปช่วยทำการวิจัยอย่างแน่นอน
“มาสิซือเอ๋อร์มานั่งกับแม่” หลังจากที่หลี่ฉีนั่งลงข้างเฉินฉิงหนิวแล้วเธอก็โบกมือเรียกหลี่ซือและพูด
“ไม่..หนูจะนั่งตรงนี้” หลี่ซือควงแขนของเย่เชียนอย่างดื้อรั้นแล้วพูด