ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 986 ความอัปยศ
ตอนที่ 986 ความอัปยศ
หวังจุนรู้จักลูกสาวของเฉินฉิงหนิวเป็นอย่างดีและตอนนี้เฉินฉิงหนิวก็เป็นเพียงเต่าเฒ่าในโกศเท่านั้นและพ่อของเขาก็จะปราบเฉินฉิงหนิวได้ในไม่ช้า ถ้าก่อนหน้านี้เขาอาจจะเคยมีความกลัวอยู่บ้างแต่ตอนนี้เขาไม่มีความกลัวอีกต่อไปแล้ว
หวังจุนนั้นบังเอิญเห็นหลี่ซือเมื่อสักครู่นี้และเขาก็ถูกดึงดูดด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงามของเธอ ดังนั้นเขาจะพลาดโอกาสดีๆแบบนี้ไปได้อย่างไร? ดังนั้นเขาจึงสั่งให้ลูกน้องไปปิดล้อมเธอเอาไว้ในห้องน้ำ ซึ่งผู้จัดการของร้านคาราโอเกะแห่งนี้ก็รู้ถึงตัวตนของหวังจุนด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่กล้าเข้าไปแทรกแซงใดๆและทำเป็นหลับหูหลับตาแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย
หลังจากได้รับสายของหลี่ซือแล้วเย่เชียนก็ขมวดคิ้วและความโกรธก็เพิ่มขึ้นทันที แน่นอนว่าหยุนโอ่วเทียนและคนอื่นๆก็ทิ้งไมโครโฟนและเดินออกไปโดยธรรมชาติเพราะรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นและรีบตามเย่เชียนไป ถึงแม้ว่าเยว่เหอตูจะกลัวเล็กน้อย แต่เขาก็ตามไปและเขาแอบคิดในใจว่าต่อให้เขาจะทำอะไรไม่ได้แต่เขาก็ต้องช่วยเหลือพวกพ้อง
เมื่อเห็นหวังจุนที่ประตูห้องน้ำเย่เชียนก็ระเบิดเจตนาฆ่าออกมาอย่างรุนแรง ซึ่งครั้งก่อนที่หวังจุนดูถูกเหยียดหยามหยุนโอ่วเทียนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรและเขาก็แค่สอนบทเรียนให้หวังจุนอย่างเบาๆเพราะนั่นถือได้ว่าเป็นประสบการณ์และบทเรียนที่สำคัญมากสำหรับหยุนโอ่วเทียนแต่ครั้งนี้หวังจุนมาคุกคามผู้หญิงของตัวเองดังนั้นครั้งนี้หวังจุนมาคุกคามผู้หญิงของตัวเองดังนั้นจึงทนไม่ไหวอีกต่อไป
เย่เชียนก็เดินฝ่าฝูงชนเข้าไปที่ประตูห้องน้ำและเคาะประตูแล้วพูดว่า “หลี่ซือฉันเอง..เปิดประตูได้แล้ว!”
จากนั้นหลี่ซือก็เปิดประตูออกแล้วทิ้งตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของเย่เชียนและตัวสั่นอย่างไม่หยุดยั้ง “ไม่เป็นไรฉันอยู่นี่แล้วไม่ต้องกลัวนะ” เย่เชียนพูดแล้วค่อยๆหันไปมองหวังจุนที่กำลังตัวหลังสั่นด้วยความโกรธอย่างควบคุมไม่ได้ ซึ่งครั้งที่แล้วเขามีลูกน้องมาด้วยเพียงสองคนแต่คราวนี้เขาพามาเป็นโหลดังนั้นถึงแม้ว่าในใจเขาจะรู้สึกกลัวแต่เขาก็ยังคงหยิ่งผยองได้อย่างภาคภูมิใจอยู่ดี
เมื่อเห็นหยุนโอ่วเทียนข้างๆเย่เชียนแล้วหวังจุนก็หัวเราะอย่างดูถูกเหยียดหยามและพูดว่า “หืม..นายน้อยหยุนอย่างงั้นเหรอ?..แกอยากร่วมวงด้วยหรือไง?..ลองคิดดูดีๆว่าแกกล้าขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“บัดซบ..แกจะมาสู้ตัวต่อตัวหรือจะเข้ามาพร้อมๆกันทั้งหมดก็ว่ามาเลย..ด้วยร่างกายที่ผอมบางแบบนั้นแกจะไปทำอะไรได้?” ฟู่เซิงก้าวไปข้างหน้าและจ้องไปที่หวังจุนอย่างดุเดือดและไม่แสดงความกลัวเลยแม้แต่น้อย
หวังจุนก็เย้ยหยันอย่างดูถูกเหยียดหยามว่า “แกเป็นใคร?..ฉันสามารถทำให้แกหายไปจากเมืองซีจิงได้ทันทีด้วยการโทรศัพท์เพียงครั้งเดียว!”
“ถ้าเป็นอัมพาตล่ะก็ต่อให้ครอบครัวจะรวยมากแค่ไหนมันก็เท่านั้นฉันไม่สนใจหรอก..ถ้าฉันฆ่าแกซะตอนนี้ต่อให้ฉันตายไปฉันก็ไม่เสียใจ” ฟู่เซิงพูด
“ขยะแบบนี้ไม่คุ้มหรอกที่จะตายเพื่อมัน” เย่เชียนพูด จากนั้นเขาก็หันไปมองหวังจุนและพูดว่า “ฉันจะให้โอกาสแกคุกเข่าลงและก้มหัวให้แฟนของฉันสามครั้งและขอโทษเธอซะ..ถ้าแกทำฉันจะแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่นี่” น้ำเสียงที่เย็นยะเยือกนั้นราวกับมีดคมจนไม่มีใครกล้าสบตาเขา
ถึงแม้ว่าหวังจุนจะรู้สึกกลัวในใจแต่เขาก็เต็มไปด้วยความกล้าหาญเพราะตอนนี้เขามีลูกน้องมากมายอยู่กับเขาดังนั้นเขาจึงพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ไอ้เวรเอ๊ยครั้งที่แล้วฉันปล่อยแกไปแต่ครั้งนี้ไม่!..แกหยิ่งผยองนักใช่มั้ย..วันนี้แกต้องคุกเข่าอ้อนวอนร้องขอชีวิตต่อหน้าฉัน”
จากนั้นเย่เชียนก็หัวเราะอย่างดูถูกเหยียดหยามจากนั้นก็หันไปมองฟู่เซิงแล้วพูดว่า “ดูแลหลี่ซือแทนฉันที..พวกนายทุกคนหลีกทางไปซะไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉัน” ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามถึงยังไงหวังฉิงเซิงพ่อของหวังจุนก็ยังคงทรงอิทธิพลอยู่ในเมืองซีจิง ดังนั้นหากหยุนโอ่วเทียนและคนอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยก็จะไม่ดีสำหรับพวกเขา นอกจากนี้เย่เชียนก็ไม่ได้สนใจแม้แต่เศษขยะที่อยู่ตรงหน้าเขาเลยแม้แต่น้อยดังนั้นเขาจึงต้องการจัดการคนเหล่านี้เอง
ฟู่เซิงกำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่ถูกสายตาของเย่เชียนขัดเอาไว้เพื่อให้คอยปกป้องหลี่ซือ จากนั้นมุมปากของเย่เชียนก็ฉีกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายและพุ่งออกไปราวกับร่างกายของเขาเป็นเหมือนผี ทันใดนั้นเขาก็ไปอยู่ที่ด้านหน้าของหวังจุนและต่อยเขาด้วยหมัดจนหวังจุนไม่มีโอกาสได้ตอบสนองเลยและเขาก็กระเด็นกลิ้งไปบนพื้นอย่างน่าสมเพช
เมื่อเห็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มหลายๆคนที่อยู่กับหวังจุนก็รีบวิ่งไปที่เย่เชียนทันทีแต่ไม่นานนักทุกคนก็กระเด็นออกมาทีละคน แน่นอนว่าเย่เชียนไม่ได้คิดที่จะฆ่าพวกเขาเพราะการสู้กับคนเหล่านี้เย่เชียนใช้เพียงแค่ศิลปะการต่อสู้ธรรมดาก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการกับพวกเขา
จากนั้นเมื่อทุกคนล้มลงเย่เชียนก็เดินไปคว้าคอเสื้อของหวังจุนและใช้หมัดต่อยหน้าเขาอย่างไม่หยุดยั้งจนเสียงกรีดร้องดังกึกก้องไปทั่วโถงทางเดินและห้องน้ำ เมื่อเห็นฉากดังกล่าวผู้จัดการร้านคาราโอเกะที่แอบดูอยู่ก็ไม่กล้าที่จะละเลยดังนั้นเขาจึงรีบกดโทรศัพท์เพื่อโทรออกเพราะเขาไม่กล้าที่จะรับผลที่ตามมาหากมีอะไรเกิดขึ้นกับหวังจุนในร้านของเขา ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ตามถึงยังไงหวังฉิงเซิงก็จะไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน
จากนั้นบางคนก็ลุกขึ้นมาและรีบวิ่งไปหาเย่เชียนแต่เย่เชียนก็หันไปมองด้วยดวงตาที่คมกริบจนทำให้พวกเขาหวาดกลัวและพวกเขาก็หนีกันไปคนละทิศคนละทาง รูปลักษณ์ที่น่าสะพรึงกลัวของเย่เชียนทำให้พวกเขาหวาดกลัวอย่างมาก ทางด้านของเยว่เหอตูและหยุนโอ่วเทียนก็ตกตะลึงเช่นกันและพวกเขาก็หน้าหนีไปเพราะไม่กล้าดูแต่ฟู่เซิงนั้นตะโกนเชียร์และดูการต่อสู้อย่างตื่นเต้น
นี่คือการต่อสู้ที่ไร้สาระและถึงแม้ว่าเย่เชียนจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อยับยั้งพลังของเขาเอาไว้แต่เขาก็ยังทำให้ฟันของหวังจุนหลุดออกมาสามถึงสี่ซี่อยู่ดีและใบหน้าก็บวมเหมือนหัวหมูจนหวังจุนไม่มีแรงแม้แต่จะร้องไห้เลยด้วยซ้ำ
ในทันใดนั้นก็มีเสียง “หยุด!” หวังฉิงเซิงตะโกนเสียงดัง เขานั้นกำลังทานอาหารเย็นกับเจ้าหน้าที่ของรัฐหลายคนที่โรงแรมใกล้เคียงแต่ใครจะไปรู้ว่าลูกชายของเขาถูกทำร้ายร่างกายที่ร้านคาราโอเกะ ดังนั้นเมื่อรับรู้ข่าวนี้แล้วเขาจึงรีบมาโดยไม่ลังเลใดๆเลยแม้แต่น้อย ซึ่งในเมืองซีจิงแห่งนี้ยังมีคนที่กล้าแตะต้องลูกชายของเขาอีกดังนั้นใบหน้าของหวังฉิงเซิงจึงเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอย่างอำมหิต
ด้านหลังของหวังฉิงเซิงนั้นมีเจ้าหน้าที่หลายคนจากเมืองซีจิงและแต่ละคนก็เป็นสมาชิกคณะกรรมการเทศบาลเมืองและมีรองผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงสาธารณะอยู่ด้วย ดังนั้นเมื่อเห็นหวังจุนถูกทำร้ายร่างกายแบบนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะผงะและเมื่อมองไปที่เย่เชียนเขาก็ไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มคนนี้ภูมิหลังครอบครัวเป็นอย่างไรและได้รับการสนับสนุนจากใครเพราะแม้แต่ลูกชายของราชาแห่งซีจิงยังถูกเขาทำร้ายแบบนี้
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็หันไปเหลือบมองหวังฉิงเซิงและภาพตรงหน้าก็ดูหยิ่งผยองสมกับตำแหน่งราชาแห่งซีจิงดั่งที่เขาร่ำลือกัน หลังจากเช็ดเลือดที่มือด้วยเสื้อของหวังจุนแล้วเย่เชียนก็ยืนขึ้นอย่างช้าๆแล้วหยิบบุหรี่ออกมาจากเสื้อของเขาแล้วหยิบเข้าปากแล้วพูดว่า “อะไร..ลุงเป็นใคร?”
“แกรู้ไหมว่าเขาเป็นใครและฉันเป็นใคร..แกกล้าทำร้ายลูกชายของหวังฉิงเซิงคนนี้งั้นเหรอ?” หวังฉิงเซิงก็พูดอย่างโกรธเกรี้ยว
“หึ!” เย่เชียนสูบบุหรี่และพ่นควันออกมาแล้วลอยไปในทิศทางของหวังฉิงเซิง จากนั้นเย่เชียนก็ถามว่า “ลุงคือหวังฉิงเซิงงั้นเหรอ?..คนที่รู้จักกันในนามราชาแห่งเมืองซีจิงน่ะเหรอ?..ทำไมถึงไม่สั่งสอนลูกชายบ้างเลย..แต่ผมก็ช่วยสอนบทเรียนให้กับเขาไปแล้วเพราะงั้นคุณควรจะขอบคุณผมสิ..ถ้าเราไม่สั่งสอนและแนะนำเยาวชนให้ดีล่ะก็สังคมจะแย่เอา”
หวังฉิงเซิงก็ถอนหายใจอย่างเย็นชาและพูดว่า “ในเมื่อแกรู้ว่าเขาเป็นลูกชายของฉันแล้วทำไมแกถึงกล้าแตะต้องเขาล่ะ?..ฉันอยู่ในเมืองนี้มานานและนี่ก็เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้ามาท้าทายฉัน..แกช่างเป็นชายหนุ่มที่หยิ่งผยองจริงๆ”
“หยิ่งผยองงั้นเหรอ” เย่เชียนพูด “ผมแค่ทำในสิ่งที่ผู้ชายควรทำ..ลูกชายของลุงจงใจคุกคามแฟนของผมอย่างหยาบคายเพราะงั้นสิ่งที่ผมทำกับเขามันก็น้อยเกินไปด้วยซ้ำ..ก็ถ้าคุณไม่ว่าอะไรและใจกว้างพอล่ะก็คุณลองพาภรรยาของคุณมาให้ผมเล่นสักคืนสิแล้วผมจะขอโทษคุณสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้”
“ก็ได้ๆ..ถ้าแกกล้าขนาดนี้ฉันก็จะเล่นกับแกเอง” หลังจากพูดจบหวังฉิงเซิงกก็หันไปมองชายในชุดเครื่องแบบตำรวจแล้วพูดว่า “รองผู้อำนวยการหลัว..เรื่องนี้เราควรทำยังไงดี?”
ชายในชุดเครื่องแบบคนนั้นก็พยักหน้าและก้าวออกมาข้างหน้าแล้วพูดว่า “มากับฉัน..ฉันต้องสอบสวนในข้อหาตั้งใจจะฆ่าในที่สาธารณะ!”
เย่เชียนก็หัวเราะอย่างเย้ยหยันและส่ายหัว เมื่อได้ยินแบบนั้นหลี่ซือก็รีบก้าวออกมาข้างหน้าและพูดว่า “ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้พาเขาไปไหนทั้งนั้น!”
“หืม..ที่แท้ก็หนูหลี่ซือนี่เอง..เธอจะใช้พ่อของเธอมาข่มขู่ฉันงั้นเหรอ..หืม!” หวังฉิงเซิงถอนหายใจอย่างเย็นชาและพูดว่า “เรื่องนี้มันเกิดขึ้นที่นี่แล้วนับประสากับพ่อของเธอ..ตอนนี้ราชาแห่งซีจิงตัวจริงอยู่ที่นี่แล้ว..เพราะงั้นถ้าฉันจะทำอะไรกับเด็กคนนี้มันก็เรื่องของฉัน!”
ในเวลานี้เย่เชียนก็รีบเดินออกไปข้างๆแล้วโทรศัพท์ไปหาหวงฟู่ชิงเตี๋ยนและบอกกับเขาไม่กี่ประโยคแล้ววางสายไป “ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้น..ห้ามใครแตะต้องเย่เชียนเด็ดขาด” หลี่ซือพูดอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
จากนั้นเย่เชียนก็ดึงหลี่ซือออกมาและพูดว่า “ผมได้ยินมาว่าราชาแห่งซีจิงเคยเป็นสุนัขรับใช้ของเฉินฉิงหนิวไม่ใช่เหรอ?..แต่ทว่าตอนนี้เมื่อสุนัขโตขึ้นมันกลับแว้งมากัดเจ้าของช่างน่าตลกสิ้นดี..เอาสิผมยืนอยู่ตรงนี้แล้วเพราะงั้นใครกล้าก็เข้ามา”
ไม่นานนักโทรศัพท์มือถือของรองผู้อำนวยการหลัวก็ดังขึ้นและหลังจากรับสายเขาก็พยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยสีหน้าที่ดูตกตะลึงอย่างมาก หลังจากนั้นเขาก็หันไปมองหวังฉิงเซิงและพูดเบาๆว่า “ท่านครับเด็กคนนี้เราแตะต้องเขาไม่ได้เลยครับ..นี่คำสั่งจากสำนักงานความมั่นคงประจำมณฑลของเรา!” การที่ใครได้รับอภิสิทธิ์จากสำนักงานความมั่นคงสาธารณะประจำมณฑลและเป็นคำสั่งโดยตรงนั้นเห็นได้ชัดว่าคนๆนั้นไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
“ผมไปได้ยัง?” เย่เชียนแสยะยิ้มอย่างเย้ยหยันและเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ซึ่งหลังจากเดินไปไม่กี่ก้าวเขาก็หันกลับมาอีกครั้งและเดินไปหาหวังจุนแล้วกระทืบใส่อย่างแรง นี่เป็นเพียงการยั่วยุตรงๆโดยไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเท่ากับการตบหน้าหวังฉิงเซิงอย่างโจ่งแจ้ง
เมื่อเห็นเช่นนั้นหวังฉิงเซิงก็โกรธเกรี้ยวอย่างมากและใบหน้าของเขาก็ดูมืดมนอย่างมากและกัดฟันแน่นแต่ไม่กล้าพูดอะไร
.
.
.
.