ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 981 สารภาพรัก
ตอนที่ 981 สารภาพรัก
คำพูดของหลี่ซือดูเหมือนจะหมายถึงอะไรบางอย่างซึ่งทำให้เย่เชียนสับสนอย่างมาก หลี่ซือคนนี้ไม่ได้อ่อนแออย่างที่เขาเห็นและเขายังมีไหวพริบที่เฉียบคมอีกด้วย ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่รู้ว่าเธอรู้ได้อย่างไรว่าคนที่ช่วยชีวิตเธอเมื่อคืนนี้คือตัวเขาเองแต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้มากขึ้น
หลังจากเดินอยู่รอบๆสักพักเย่เชียนก็เข้าไปในหอประชุมโดยไม่รู้ตัวดังนั้นเขาจึงโทรศัพท์ไปหาหยุนโอ่วเทียนและถามเกี่ยวกับตำแหน่งที่อยู่ของพวกเขาแล้วเดินไปหา ซึ่งแถวหน้าของหอประชุมเต็มไปด้วยเหล่าคณบดีและอาจารย์ผู้สอน ส่วนหยุนโอ่วเทียนและฟู่เซิงก็นั่งในแถวที่สองข้างหลังพวกเขา
เมื่อเย่เชียนเดินผ่านตงเสวี่ยจินคณบดีสำนักวิชาแล้วเขาพยักหน้าให้เย่เชียนด้วยรอยยิ้ม ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เย่เชียนสับสนเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้และนั่งลงข้างๆฟู่เซิง เด็กหนุ่มทั้งสองเฝ้าดูการแสดงและสาวๆด้วยความเพลิดเพลินและดวงตาของเขาก็มันไม่สามารถละสายตาไปจากเวทีได้เลย
“เย่เชียนนายมีประสบการณ์มากกว่าเราเพราะงั้นสอนวิธีจีบผู้หญิงให้เราหน่อยสิ” ขณะถามดวงตาของฟู่เซิงไม่ได้ละสายตาจากผู้หญิงบนเวทีเลยแม้แต่น้อยและเขาแทบรอไม่ไหวที่จะถาม
วิธีการจีบสาว? เย่เชียนนั้นไม่สามารถพูดเรื่องนี้ได้จริงๆและหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเย่เชียนก็พูดว่า “กล้าและไร้ยางอาย..กล้าในสิ่งที่เหมาะสม..ไร้ยางอายในสิ่งที่ควร..ตราบใดที่นายเข้าใจสาระสำคัญของสิ่งเหล่านี้นายก็ทำได้” ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะมีแฟนหลายคนแต่เขาก็ไม่เคยไล่จีบพวกเธอเลย ดังนั้นเขาจึงหยิบเอาคำพูดของหลี่เหว่ยออกมา
“บัดซบ..มันเข้าใจยากเกินไปเพราะงั้นมีอะไรที่เข้าใจง่ายกว่านี้อีกมั้ย” หยุนโอ่วเทียนพูด
“บ้าเอ๊ยฉันจะบอกกับพวกนายยังไงดี..พวกนายต้องฝึกฝนด้วยตัวเอง..ยังไงซะพวกนายก็ต้องเผชิญหน้ากับพวกเธออยู่ดีเพราะงั้นทำตามที่ใจพวกนายต้องการเถอะ” เย่เชียนกลอกตาไปมาแล้วพูด
หลังจากการแสดงละครและเต้นรำผ่านไปหลายรอบแล้วก็มีการแสดงหนึ่งซึ่งค่อนข้างน่าสนใจและเย่เชียนก็รู้สึกสนใจเช่นกันจากนั้นเมื่อมองไปที่เวทีขนาดใหญ่เด็กสาวคนหนึ่งก็ค่อยๆเดินขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับกีตาร์ที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอ ซึ่งเธอกวาดสายตาเหลือบมองออกไปรอบๆและในที่สุดเธอก็หยุดที่เย่เชียนและยิ้มให้เขา
ในเวลานี้ทั่วทั้งหอประชุมก็ดูครึกครื้นขึ้นมาทันทีและเต็มไปด้วยเสียงปรบมือและเสียงตะโกนของเหล่านักศึกษาเพราะเธอคนนั้นก็คือดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยหลี่ซือนั่นเอง!
ในมหาวิทยาลัยใดๆก็ตามความรักในมหาวิทยาลัยไม่เคยขาดแคลนซึ่งเป็นความรักที่ค่อนข้างเรียบง่ายในชีวิตและเป็นความจริงที่ว่ามีเด็กผู้หญิงจำนวนนับไม่ถ้วนที่ฝันถึงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยและสิ่งล้ำค่าที่สุด 2 ประการที่พวกเธอหวังนั่นก็คือความเยาว์วัยและความบริสุทธิ์ทางเพศ เย่เชียนนั้นเคยเห็นผู้หญิงที่เย่อหยิ่งที่เป็นผู้ใหญ่แล้วหลายคนแต่ความรู้สึกที่เขามีให้กับผู้หญิงส่วนใหญ่ที่กำลังมีความรักในมหาวิทยาลัยนั้นเขาไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย แต่สำหรับเด็กผู้ชายหลายคนนั้นมีแรงจูงใจในความรักที่ไม่บริสุทธิ์ในชีวิตมหาวิทยาลัยกันทั้งนั้น
ไม่ว่าผู้ชายจะแสดงออกมากแค่ไหนว่าพวกเขาไหว่หาความรักแต่ก็มีอยู่กี่คนที่แสวงหาความรักที่บริสุทธิ์ที่ไม่ใช่เพื่อความสุขของการถอดเสื้อผ้าของเพศตรงข้าม แน่นอนว่าในบรรดาเด็กหนุ่มเหล่านี้มีคนที่แสวงหาความรักที่บริสุทธิ์เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
“ดูสิพวก!..เฉินซือดาวมหาวิทยาลัยเธอมองมาที่ฉัน!” ฟู่เซิงอุทาน
“นายดูดีๆสิ..เธอมองมาที่เย่เชียนต่างหาก!” หยุนโอ่วเทียนมองฟู่เซิงอย่างว่างเปล่าและพูด หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งหยุนโอ่วเทียนก็หันไปมองที่เย่เชียนและถามว่า “เย่เชียนนี่นายแอบไปเด็ดดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยตอนไหนกัน?”
เย่เชียนก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และไม่สนใจที่จะอธิบายเพราะถึงยังไงเขาก็ไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจนได้อยู่ดีเพราะทั้งสองคนนี้เอาแค่คิดเรื่องไร้สาระอยู่ทั้งวัน
ในเวลานี้หลี่ซือก็บรรเลงเพลงคลอด้วยกีตาร์โปร่งแล้วร้องเพลงช้าๆอย่างมีเสน่ห์
ในวันนี้ ของปีนั้น ฉันเฝ้ารอ
บนถนนอันกว้างใหญ่ จะหาเนื้อคู่ได้อย่างไร
ในความฝัน ฉันขังตัวเองอยู่ในนั้น
ในวันนี้ของปีนั้น ฉันคิดถึง
วันที่ดวงจันทร์ขึ้นข้างแรม ฉันได้แต่ร้องไห้เฝ้าคิดถึง
ความรู้สึกนับพันบรรจบกันเพราะคนเดียว
ทั้งความโศก ทั้งความเศร้าและอ้างว้าง
ฉันถอนหายใจอย่างไม่รู้จบจนหัวใจแตกสลาย
ดั่งเพลงรักที่มีแต่น้ำตา
เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั้งตัวเพราะมันเป็นบทเพลงแห่งความเศร้าโศกที่ยาวนานและผู้คนทั้งหมดในหอประชุมต่างก็หลงใหลในเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ของหลี่ซือและรู้สึกถึงอารมณ์ในเพลงราวกับว่าพวกเขาอยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้นด้วย
หลังจากร้องเพลงจบแล้วหลี่ซือก็ลุกขึ้นและมองไปที่เย่เชียนและดูเหมือนว่าเธอจะมีความคาดหวังเล็กน้อยอยู่บนใบหน้าของเธอซึ่งทำให้เย่เชียนรู้สึกสับสนอย่างมาก
การแสดงต่อมาคือการแสดงเต้นโชว์อย่างเร่าร้อนซึ่งนำทุกคนออกจากภวังค์ของหลี่ซือก่อนหน้านี้
งานปฐมนิเทศจบลงและประสบความสำเร็จอย่างมาก หลังจากนั้นผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยก็กล่าวสุนทรพจน์และคนส่วนใหญ่ก็ลุกจากที่นั่ง ซึ่งฟู่เซิงก็ไม่เสียเวลาและรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็หันไปมองหยุนโอ่วเทียนและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“ตอนนี้เขาแอบชอบผู้หญิงอยู่คนหนึ่งและฉันก็เดาว่ามันน่าจะถึงเวลาที่เขาจะไปจีบเธอ” หยุนโอ่วเทียนพูด
เย่เชียนพยักหน้าเล็กน้อยแล้วถามว่า “แล้วนายไม่ได้แอบชอบใครเลยงั้นเหรอ?”
“มันก็มีแต่ฉันไม่ต้องการที่จะไล่ตามจีบเธอและไม่อยากที่จะรีบร้อนจนเกินไป..มันคงจะดีกว่าถ้าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติและโชคชะตา” หยุนโอ่วเทียนพูด “เย่เชียนนายรู้หรือเปล่าว่าครอบครัวของฉันค่อนข้างร่ำรวยเพราะงั้นมันก็เลยมีผู้หญิงจำนวนมากที่ไล่ตามจีบฉัน..แต่ฉันรู้ว่าพวกเธอทั้งหมดแค่หวังเงินของฉันและครอบครัวแต่สิ่งที่ฉันต้องการไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบนี้แต่ฉันต้องการมีความสัมพันธ์ที่คุ้มค่าแก่การจดจำไปตลอดชีวิต”
เย่เชียนก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้องแล้ว..หากโชคชะตามาถึงจริงๆเดี๋ยวมันก็เกิดขึ้นเอง..แต่ถ้าหากโชคชะตายังไม่มาถึงต่อให้นายพยายามมากแค่ไหนมันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี” หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็ถามว่า “ว่าแต่นายวางแผนสำหรับอนาคตของนายยังไง”
หยุนโอ่วเทียนก็ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “แผนในอนาคตงั้นหรอ..ทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการจัดเตรียมเอาไว้แล้วโดยพ่อกับแม่..ฉันมาที่มหาวิทยาลัยซีจิงเพียงเพื่อรับประกาศนียบัตรเท่านั้น..ซึ่งนั่นคือหลักฐานในการเปิดประตูสู่อำนาจ..ชีวิตของฉันถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่ฉันเกิดแล้วและหลังจากเรียนจบฉันจะกลับไปทำงานที่บริษัทของพ่อ..จริงๆแล้วฉันไม่ชอบแบบนี้เลยและฉันก็ไม่จำเป็นต้องชอบแต่ฉันต้องทำเพื่อผลประโยชน์ของครอบครัว..ซึ่งฉันจะต้องมีลูกสืบเชื้อสายและสานต่อกิจการครอบครัวของพ่อ..ทุกๆอย่างของฉันถูกวางแผนเอาไว้ตั้งนานแล้ว”
อันที่จริงทั้งคนรวยและคนจนต่างก็มีความทุกข์ที่อธิบายไม่ได้ หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งหยุนโอ่วเทียนก็พูดว่า “เย่เชียน..ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่านายเป็นใครแต่ฉันรู้สึกได้ว่านายไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน”
เย่เชียนก็ยิ้มเบาๆแล้วพูดว่า “ฉันเชื่อว่าชะตากรรมทั้งหมดอยู่ในกำมือของฉันเองและไม่ว่าใครก็ไม่สามารถมาควบคุมฉันได้..ฉันเชื่อว่าไม่มีใครหยุดยั้งเราได้หรอกและตอนนี้นายก็แค่ปล่อยให้ตัวเองทำตามคนอื่นเท่านั้น..ถ้ายังไงเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆสุดท้ายแล้วนายจะสูญเสียตัวตน..ทำไมนายไม่ลองเลือกเส้นทางอื่นดูล่ะบางทีมันอาจจะเป็นถนนที่ส่งให่นายทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าก็ได้นะ!”
“ฉันก็อยากทำแบบนั้นแต่ตอนนี้ฉันไม่มีเป้าหมายเลยจริงๆ..ฉันกำลังสับสน” หยุนโอ่วเทียนพูดและถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็ตบไหล่หยุนโอ่วเทียนและไม่ได้พูดอะไรเนื่องจากพวกเขามาพบกันนั่นก็คือโชคชะตาและไม่ว่าจะเป็นเยว่เหอตูหรือหยุนโอ่วเทียนก็ตามถึงยังไงพวกเขาแต่งต่างกันและอยู่ระหว่างสองขั้ว หากพวกเขาสามารถฝึกฝนได้ดีพวกเขาจะเป็นหนึ่งในบุคคลที่สำคัญในอนาคตอย่างแน่นอน เย่เชียนไม่ได้พูดอะไรมากเพราะต่อให้พูดมากแค่ไหนมันก็ไร้ประโยชน์และหยุนโอ่วเทียนก็ไม่ได้โง่และเขาก็น่าจะสามารถเข้าใจได้ในคำพูดเหล่านี้เพียงแต่เขาแค่ยังคิดไม่ออกเท่านั้น
หลังจากออกจากหอประชุมเย่เชียนกับโอ่วหยุนเทียนก็กำลังจะกลับไปที่หอพักแต่จู่ๆหลี่ซือก็ขวางทางเอาไว้ “ตามฉันมาหน่อยสิ..ฉันมีเรื่องที่อยากจะคุยกับนาย” หลี่ซือมองด้วยสายตาที่จริงจังและพูด
ฉากนี้ทำให้เกิดความตกตะลึงในทันทีเพราะดาวมหาวิทยาลัยอย่างหลี่ซือได้สารภาพรักกับผู้ชายอย่างเปิดเผย ซึ่งเป็นข่าวที่น่าตกใจอย่างแน่นอน ส่วนหยุนโอ่วเทียนที่อยู่ด้านข้างก็ตกตะลึงอย่างมากแล้วเขาก็ชื่นชมเย่เชียนมากยิ่งขึ้นเพราะนี่คือผู้ชายที่ไม่จำเป็นต้องพูดและไม่ต้องทำอะไรมากแต่กลับสามารถทำให้ผู้หญิงหลงใหลโดยไม่ต้องพยายาม
เมื่อพูดถึงความรู้สึกแล้วหลี่ซืออาจเปรียบได้กับกระดาษเปล่าเพราะเธอเย็นชาและไม่สนใจใครเลยตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมา อย่างไรก็ตามความรักดูเหมือนจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในโลกที่ไม่มีใครควบคุมได้ ซึ่งหลังจากอยู่ด้วยกันบนรถไฟได้ไม่นาน ร่างของเย่เชียนก็ถูกจารึกเอาไว้ในจิตใจของหลี่ซืออย่างลับๆ ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามอย่างดีที่สุดที่จะลืมมันแต่เธอก็ทำไม่ได้สักที
การเผชิญหน้ากันอีกครั้งทำให้ร่างที่ถูกผนึกในใจของเธอผุดขึ้นมาอีกครั้งและเธอก็รู้สึกว่าเธอควบคุมไม่ได้อีกต่อไปและเมื่อคืนเธอก็นอนแทบไม่หลับทั้งคืน ดังนั้นเธอจึงแต่งเพลงนี้เพื่อมอบให้กับคนที่เธอรัก
เย่เชียนก็ยักไหล่เล็กน้อยและตามหลี่ซือไป ซึ่งระหว่างทางไม่มีฝ่ายใดพูดโดยเย่เชียนเดินเอามือล้วงกระเป๋าตามหลี่ซือไปและมองออกไปรอบๆเพราะเนื่องจากหลี่ซือเป็นคนที่มาหาเขาก่อนดังนั้นเธอควรจะเป็นฝ่ายพูดก่อน นอกจากนี้เย่เชียนก็ไม่รู้ว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงมองหาเขาและจะพูดอะไรกับเขา
เมื่อเดินไปจนสุดทางที่มีผู้คนค่อนข้างน้อย อย่างไรก็ตามหลี่ซือกลับมองข้ามมุมมืดเหล่านี้ซึ่งมักเป็นสถานที่ที่มักจะมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยเมื่อชายหนุ่มและหญิงสาวมีความรักต่อกันพวกเขาก็มักจะมายังสถานที่เช่นนี้ ซึ่งเมื่อคิดเช่นนั้นหลี่ซือก็หน้าแดงก่ำและอดไม่ได้ที่จะโทษตัวเองว่าเธอมาที่นี่ทำไม
เมื่อหันไปมองเย่เชียนที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ในปากอย่างสบายๆหลี่ซือก็พูดว่า “เพลงที่ฉันร้องในวันนี้ฉันร้องให้นายนะ”
เย่เชียนตกใจอยู่ครู่หนึ่งและไออย่างรุนแรงจากนั้นเขาก็รีบโยนก้นบุหรี่ทิ้งแล้วพูดว่า “เขียนถึงฉันงั้นเหรอ?..นี่เธอล้อฉันเล่นหรือเปล่า?”
“ฉันพูดจริงนะ” หลี่ซือพูด “เมื่อคืนนี้ฉันแทบไม่ได้นอนเลยเพราะมัวแต่แต่งเพลงนี้เพื่อมอบให้นาย..นายรู้ไหมว่าในใจของฉันมันเต็มไปด้วยภาพของนาย..มันเป็นความผิดของนายไม่งั้นฉันจะทำแบบนี้ทำไม!”
.
.
.
.