ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 980 ความจงรักภักดีและการฆ่าสุนัขทุกตัวที่ขวางหน้า
- Home
- All Mangas
- ยอดนักรบจอมราชัน
- ตอนที่ 980 ความจงรักภักดีและการฆ่าสุนัขทุกตัวที่ขวางหน้า
ตอนที่ 980 ความจงรักภักดีและการฆ่าสุนัขทุกตัวที่ขวางหน้า
แน่นอนว่าเย่เชียนไม่รู้ว่าหลี่ซือมีจิตใจที่ดีเช่นนี้และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทุกสิ่งที่เย่เชียนเพิ่งทำนั้นหลี่ซื่อได้เห็นหมดแล้ว
หลังจากกลับมาที่หอพักหยุนโอ่วเทียนและฟู่เซิงก็นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์และชมภาพยนตร์ศิลปะบนเตียงอันยอดเยี่ยมของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทั้งสองก็ดูตื่นเต้นอย่างอย่างมากและน้ำลายของเขาแทบจะไหลลงสู่พื้น ผู้คนต่างถิ่นต่างนิสัยมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มและแน่นอนว่านิสัยของแต่ละคนจะไม่เหมือนกันแต่ทว่าสองคนนี้กลับมีนิสัยที่เหมือนกันอย่างมาก
โดยธรรมชาติแล้วเยว่เหอตูไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ดังนั้นเขาจึงหมกมุ่นอยู่กับการอ่านหนังสือ อย่างไรก็ตามเสียงที่เย้ายวนใจก็ยังคงดังเข้าไปในหูของเขาอยู่ดีและสีหน้าของเขาก็เขินอายจนแดงก่ำ
“เย่เชียนนายกลับมาแล้วเหรอ” เมื่อเห็นเย่เชียนเข้ามาเยว่เหอตูก็เงยหน้าขึ้นและพูด
เย่เชียนก็พยักหน้าเล็กน้อยและเดินไปบอกหยุนโอ่วเทียนและฟู่เซิงว่า “ลดเสียงลงหน่อยพวกนายกำลังรบกวนอ่านการหนังสือของเหอตู..อีกอย่างที่นี่คืออาคารหอพักหญิงเพราะงั้นพวกนายคงไม่อยากให้ผู้หญิงพวกนั้นได้ยินหรอกใช่มั้ย?..ถ้าเป็นแบบนั้นในอนาคตทุกคนในหอพักคงคิดว่าพวกเราเป็นโรคจิต”
ฟู๋เซิงก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เรากำลังศึกษาวิธีการอยู่..พอเราได้เผชิญหน้ากับสาวๆจริงๆเราจะได้ไม่เสียหน้าไม่งั้นคงจะน่าเสียดายสำหรับพวกผู้ชายอย่างเรา”
เย่เชียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และเขาก็ขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจสองคนนี้อีก จากนั้นเขาก็เปิดคอมพิวเตอร์ของเขาและส่งอีเมลไปหาหวงฟู่ชิงเตี๋ยนและใช้เวลาไม่นานนักที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนตอบกลับอีเมลและเย่เชียนก็เปิดดูแล้วพบว่ามีข้อมูลเกี่ยวกับหวังฉิงเซิง จากนั้นเย่เชียนก็อ่านอย่างรอบคอบและเก็บข้อมูลเอาไว้ในใจอย่างเงียบๆแล้วปิดคอมพิวเตอร์ไป
เมื่อมองดูเวลาแล้วก็ยังเหลือเวลาอีกมากกว่าจะมืดค่ำและเยว่เหอตูก็ถูกรบกวนโดยหยุนโอ่วเทียนกับฟู่เซิงดังนั้นเขาจึงไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือ ดังนั้นเย่เชียนจึงเดินไปหาเยว่เหอตูและตบไหล่เขาเบาๆแล้วพูดว่า “ออกไปเดินเล่นกันเถอะ”
เยว่เหอตูเข้าใจความหมายของเย่เชียนเขาจึงพยักหน้าเล็กน้อยและวางหนังสือในมือลงแล้วเดินตามเย่เชียนออกไป ห้องพักของเย่เชียนนั้นอยู่ในส่วนลึกสุดของทางเดินและต้องเดินออกไปจนสุดทาง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาเห็นผู้หญิงมากมายเดินไปมาในชุดนอนและบางคนก็ไม่ได้เปิดประตูในห้องพักด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าหากเพื่อนร่วมห้องของใครกำลังถอดเสื้อผ้าอยู่ล่ะก็พวกเธอคงจะเขินอายอย่างมาก
ระหว่างทางเยว่เหอตูเอาแต่เดินก้มหน้าไม่เหมือนเย่เชียนที่กวาดสายตามองออกไปรอบๆ
หลังจากออกจากหอพักแล้วเย่เชียนก็เดินนำไปส่วนเยว่เหอตูก็คอยตามหลังจนพวกเขาไปถึงสวนนั่งเล่นใกล้โรงอาหาร จากนั้นเย่เชียนก็นั่งลงบนม้านั่งหินและบอกให้เยว่เหอตูนั่งลง
หลังจากผ่านไปสักพักเย่เชียนก็พูดอย่างช้าๆว่า “นายรู้มั้ยว่าฉันเรียกนายมาทำไม?”
เยว่เหอตูส่ายหัวเล็กน้อย
“ฉันยังจำได้ดีว่าสมัยเรายังเป็นเด็กเรามักจะได้ยินประโยคที่ว่า..จักรพรรดิกับแม่ทัพ..นายอยากเป็นแม่ทัพหรือเปล่า?” เย่เชียนพูด
“แต่ก่อนฉันก็อยากแต่ตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้เลย..ฉันไม่รู้จักใครฉันไม่มีเครือข่ายและลู่ทางอะไรสักอย่าง..เฮ้อ..คนจนก็ยังเป็นคนจนอยู่วันยังค่ำส่วนคนรวยก็จะรวยขึ้นเรื่อยๆ” หลังจากนั้นไม่นานเยว่เหอตูก็พูดว่า “ตอนนี้ฉันไม่คาดหวังอะไรแล้ว..ฉันแค่หวังว่าฉันจะเรียนให้จบได้เกรดดีๆแล้วหางานที่มั่นคงทำ..แบบนั้นฉันก็จะได้ไม่ต้องทนกับความยากลำบากแบบนี้อีก” ดวงตาของเยว่เหอตูเต็มไปด้วยความทรงจำอันเจ็บปวดในอดีตและมีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของเขา
สิ่งที่เยว่เหอตูพูดก็เป็นความจริงเช่นกันและนี่คือความเลวร้ายของสังคมปัจจุบันและไม่ใช่ทุกคนที่จะมั่งคั่งได้ “ฉันมีเพื่อนที่เกิดมาในครอบครัวที่จนแต่เขาก็ไม่เคยยอมรับความพ่ายแพ้ต่อโชคชะตาของตัวเอง..แน่นอนว่ามันมีความไม่ยุติธรรมมากมายในโลกใบนี้แต่เขายังคงสู้ด้วยมือของเขา..เขาพึ่งพาความพากเพียรและความมั่นใจในตนเองและครั้งหนึ่งเขาก็เคยพูดกับฉันว่า..เพราะฉันเกิดมาจนเพราะงั้นฉันจึงต้องพยายามมากกว่าคนอื่นและจ่ายมากกว่าคนอื่น..ฉันคิดว่าประโยคนี้สมเหตุสมผลมากและคิดว่าไง?” เย่เชียนพูด
“ตั้งแต่เด็กๆฉันสอบได้ที่หนึ่งมาเสมอ..ฉันนอนแค่สี่ชั่วโมงต่อวันและใช้เวลาที่เหลือในการอ่านหนังสือ..เพราะฉันรู้ว่านี่เป็นทางออกเดียวของฉันและตอนนี้ฉันได้เข้ามหาวิทยาลัยซีจิงแล้วแต่ฉันแทบไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม..ฉันยังจำวันที่ได้รับจดหมายตอบรับของมหาวิทยาลัยได้ว่าถึงแม้ว่าพ่อแม่ของฉันจะพอใจมากและมีรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาแต่คิ้วของพวกเขาก็ขมวดเล็กน้อยเพราะพวกเขาไม่สามารถจ่ายค่าลงทะเบียนอันมหาศาลได้..ซึ่งพ่อกับแม่และญาติๆของฉันต้องไปหายืมคนรู้จักมาจนโดนเยาะเย้ยถากถางนับไม่ถ้วน..เข่าที่มีค่าดั่งทองคำของพ่อนั้นต้องสูญเสียไปเพราะฉันเห็นพ่อคุกเข่าต่อหน้าคนอื่นเพื่อยืมเงินเขา..ฉันแค่รู้สึกว่าฉันเป็นลูกชายที่ไร้ประโยชน์อย่างมาก” เยว่เหอตูพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “บอกฉันทีว่าความพยายามของฉันมันยังไม่เพียงพอ!”
เย่เชียนก็ส่ายหัวเล็กน้อยและพูดว่า “ฉันจะเล่าให้ฟังเป็นตัวอย่างว่าครั้งหนึ่งฉันได้พบกับชายคนหนึ่งในเมืองหนานจิงและชื่อของเขาคือเฉินฟู่เฉิง..สมัยก่อนเขานั้นเป็นเด็กในชนบทที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขาห่างไกลจากเมืองใหญ่ๆมาก..เขาอาศัยอยู่โดยมีชีวิตที่ต้องเผชิญหน้ากับดินและหันหลังให้ท้องฟ้าเยี่ยงชาวนา..เขาสามารถเป็นนักศึกษาวิทยาลัยได้เพียงคนเดียวในหมู่บ้านและเขาก็คิดว่าเขาจะต้องทำให้พ่อแม่มีชีวิตที่ดีที่สุดหากเขาได้ศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย..ซึ่งหลังจากจบการศึกษาจากวิทยาลัยแล้วเขาก็ได้เข้าทำงานแห่งหนึ่งแต่เนื่องจากเขาไม่รู้จักใครและไม่มีการสนับสนุนจากใครเขาจึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งช้ากว่าคนอื่นๆและถ้าหากเขาไม่พยายามเขาก็จะอยู่ในตำแหน่งเดิม..ต่อมาวันหนึ่งหัวหน้างานของเขาดุด่าเขาเพราะเขาเป็นคนชนบทและพูดว่าต่อให้เขาเรียนเท่าไหร่ก็ไม่อาจเปลี่ยนชะตาชีวิตคนชนบทได้..ดังนั้นเขาจึงลาออกอย่างเด็ดเดี่ยวและละทิ้งหน้าที่การงานที่ดีไป..เขาทนทุกข์กับความไม่เข้าใจนับไม่ถ้วนจนกระทั่งพ่อและแม่ของเขาเสียชีวิตไปจนเขาฮึดสู้อีกครั้งและในที่สุดเขาก็ทำได้สำเร็จ!”
หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดต่อว่า “หากใครต้องการประสบความสำเร็จเขาก็ไม่สามารถพึ่งพาพลังของตัวเองได้เพียงลำพัง..ฉันจะบอกให้ว่าความจนไม่ได้น่ากลัวแต่ที่น่ากลัวคือความคิดแง่ลบที่เกิดจากความยากจน..นี่คือใบมีดคมที่สามารถทำให้คนไม่สามารถเข้าใจโอกาสที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาได้..ถ้านายเชื่อฉันและฟังฉันล่ะก็นายจะต้องปล่อยวางและเปลี่ยนทัศนคติของตายพราะในยุคนี้ไม่มีใครดีไปกว่าคนอื่น..เพราะฉะนั้นถ้านายดูถูกตัวเองล่ะก็คนอื่นก็จะดูถูกนายมากขึ้นไปอีก”
เย่เชียนรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องพูดให้ชัดเจนเกินไปเพราะที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเยว่เหอตูแล้วเพราะมีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถช่วยตัวเองได้และไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้ตลอดไป
สิบกว่าปีต่อมาเมื่อเยว่เหอตูยืนอยู่บนยอดเขาแล้วและสามารถเห็นทิวทัศน์ได้ ซึ่งเขาก็ยังจำสิ่งที่เย่เชียนพูดกับเขาได้เสมอมา
เย่เชียนนั้นไม่พูดอะไรมากและหลังจากเงียบไปนานเขาก็ลุกขึ้นตบไหล่ของเยว่เหอตูแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะนี่มันใกล้ค่ำแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเยว่เหอตูก็เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองเย่เชียนจากนั้นก็พูดอย่างจริงใจว่า “ขอบใจมากนะเย่เชียน!”
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “สำหรับเพื่อนและพี่น้องไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก”
เมื่อทั้งสองกลับมาที่หอพักฟู่เซิงกับหยุนโอ่วเทียนก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าการแสดงออกของเยว่เหอตูนั้นเปลี่ยนไปกับว่าเขามีความกังวลอย่างมากจนทั้งสองอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงและมองไปที่เย่เชียนด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ส่ายหัวเพื่อบอกพวกเขาว่าไม่มีอะไรที่ต้องกังวล
คืนถัดมามีการจัดงานเลี้ยงต้อนรับนักศึกษาใหม่ที่หอประชุมของมหาวิทยาลัยซีจิง ซึ่งหอประชุมก็เต็มไปด้วยผู้คนและมีครึกครื้นมาก ทางด้านฟู่เซิงและหยุนโอ่วเทียนก็กระตือรือร้นอย่างมากเพราะนี่เป็นโอกาสที่ดีเพราะจะมีนักศึกษาสาวสวยๆทำการแสดงบนเวทีดังนั้นพวกเขาจะพลาดได้อย่างไร?
ส่วนเยว่เหอตูนั้นเขาไม่ได้ไปเข้าร่วมงานดังกล่าวเพราะสิ่งสำคัญที่สุดที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้คือการแก้ปัญหาการเอาตัวรอดในสังคมปัจจุบัน ซึ่งถ้าหากเขาไม่สามารถมั่นใจว่าเขาจะอยู่รอดได้แล้วสิ่งต่างๆมันจะไปมีประโยชน์อะไร?
เย่เชียนก็ค่อนข้างขี้เกียจและเขาก็ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้มากนักเพราะมันไม่มีอะไรมากไปกว่างานของเด็กๆวัยรุ่นผู้หิวโหยที่ดูการแสดงบนเวที ประมาณว่าน้อยคนนักที่จะไปชื่นชมศิลปะการแสดงใช่ไหม? นอกจากนี้มันยังไม่มีศิลปะอะไรที่ควรค่าแก่การชื่นชมอีกด้วย
“สวัสดี!” ขณะที่เย่เชียนเดินเตร็ดเตร่อย่างเบื่อหน่ายอยู่ในมหาวิทยาลัยจู๋ๆก็มีเสียงดังเข้ามาในหูของเขาเพราะเนื่องจากคนส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัยไปที่หอประชุมเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงปฐมนิเทศดังนั้นทั้งมหาวิทยาลัยจึงดูเงียบสงบเป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้เย่เชียนจึงเดินเล่นคนเดียวพร้อมกับสูบบุหรี่ไปด้วยซึ่งเป็นความสุขที่หายากมาก
เมื่อได้ยินเสียงเย่เชียนก็หันไปมองด้วยความประหลาดใจเพราะปรากฏว่าเสียงนั้นคือหลี่ซือหรือเฉินซือนั่นเอง เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “เธอเรียกฉันเหรอ?”
“แล้วมีใครคนอื่นอยู่ที่นี่อีกไหมล่ะ?” หลี่ซือพูดและหลังจากหยุดไปชั่วขณะเธอก็พูดต่อ “ขอบคุณนะ!”
เย่เชียนก็แน่นิ่งไปชั่วขณะหนึ่งและพูดอย่างตกตะลึงว่า “ขอบคุณอะไร?..เธอจะขอบคุณฉันทำไม?”
“ขอบคุณที่ช่วยฉันไง..นายช่วยฉันเอาไว้ถึงสองครั้งและแน่นอนว่าฉันต้องขอบคุณนายสิ” หลี่ซือพูด
เย่เชียนช่วยเธอถึงสองครั้ง? อย่างมากที่สุดเขาก็ช่วยชีวิตเธอเอาไว้เพียงครั้งเดียวและตอนนั้นเขาก็ยังปกปิดใบหน้าของเขาเอาไว้อีกด้วย เมื่อเห็นเย่เชียนงุนงงแบบนี้หลี่ซือก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ครั้งที่แล้วก็บนรถไฟเที่ยวปักกิ่งไปยังเซี่ยงไฮ้ไงที่นายช่วยฉันเอาไว้และเมื่อคืนนายก็ช่วยฉันอีกครั้ง..เพราะงั้นก็รวมเป็นสองครั้งไม่ใช่เหรอ?”
เย่เชียนก็ขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและในที่สุดเย่เชียนก็จำได้ ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาคิดว่าหลี่ซือคนนี้หน้าตาคุ้นๆ อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็แสร้งทำสีหน้าที่ดูว่างเปล่าและพูดว่า “ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดถึงอะไร..เมื่อคืนนี้ฉันนอนอยู่ที่หอแล้วฉันไปช่วยเธอตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ถ้านายไม่ยอมรับก็ไม่เป็นอะไร..แต่ฉันรู้ว่านายช่วยฉันเอาไว้” หลี่ซือพูดด้วยรอยยิ้ม “คืนนี้เป็นงานเลี้ยงต้อนรับนักศึกษาใหม่เพราะงั้นทำไมนายถึงไม่ไปร่วมงานล่ะ”
“ฉันไม่ค่อยสนใจน่ะเลยไม่อยากไป..ฉันอยากเดินไปรอบๆเพราะมันสบายกว่า” เย่เชียนพูด
“คืนนี้ฉันมีการแสดงบนเวทีเพราะงั้นนายต้องมานะ” หลังจากหลี่ซือพูดจบเธอก็ยิ้มให้เย่เชียนและหันหลังเดินไปทางหอประชุมต่อและปล่อยให้เย่เชียนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น
.
.
.
.
.
.