ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 949 สถานการณ์ตึงเครียด
ตอนที่ 949 สถานการณ์ตึงเครียด
จริงๆแล้วถ่ายทอดพลังปราณนั้นไม่ได้ซับซ้อนและอันตรายอย่างที่เย่เชียนและม่อหลงจินตนาการเอาไว้และถึงแม้ว่าพวกเขาจะฝึกฝนศิลปะการต่อสู้จีนโบราณมาเกือบสามปีแล้วแต่ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
ตัวอย่างเช่นที่วัดหลิงหลงทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนนั้นพระนิรนามเพียงแค่ตบไหล่เย่เชียนเบาๆแล้วผนึกสีทองก็เข้าสู่ร่างกายของเย่เชียนโดยที่เขาไม่รู้อะไรเลย แต่นี่คือการถ่ายทอดพลังปราณโดยการเชื่อมต่อเส้นประสาทและจุดฝังเข็มของร่างกายคนสองคนเพื่อถ่ายโอนพลังของอีกคนหนึ่งไปยังร่างกายของอีกคนหนึ่ง แต่ใช่ว่าจะนำพลังดังกล่าวไปใช้ได้เพราะมันจะกลายเป็นอุปสรรคต่อการฝึกฝนของตัวเองถ้าหากไม่สามารถรับพลังนั้นมาใช้ได้ ตัวอย่างเช่นเย่เชียนนั้นมีพลังปราณที่แท้จริงที่สืบทอดมาจากเย่เจิ้งหรานผู้เป็นพ่อโดยตรงดังนั้นผนึกที่เย่เชียนได้รับมามันจะไปเสริมพลังให้กับพลังปราณในตัวของเย่เชียนได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตามโชคดีที่ม่อหลงและจ้าวซือเหลาฝึกฝนการขัดเกลามาแบบเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเหมือนกันในระดับหนึ่งและนอกจากนี้จ้าวซือเหลาก็เชื่ออย่างมากว่าม่อหลงนั้นมีความสามารถในการควบคุมพลังปราณของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
จ้าวซือเหลานั้นขัดเกลาและฝึกฝนมาเกือบ 60 ปีแล้วและมันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พลังปราณของจ้าวซือเหลานั้นมหาศาลอย่างมาก ซึ่งถึงแม้ว่าจ้าวซือเหลาจะถ่ายทอดพลังปราณเพียงสี่ในห้าของเขาไปยังร่างกายของม่อหลงโดยตรงและถ้าหากม่อหลงสามารถใช้มันได้ล่ะก็ทักษะและพลังของม่อหลงก็จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ในระหว่างขั้นตอนการถ่ายทอดพลังนั้นเย่เชียนก็อยู่ในห้องนั่งเล่นอย่างมีสงบและปล่อยให้จ้าวซือเหลากับม่อหลงอยู่ในห้องเพราะกระบวนการนี้ค่อนข้างลำบากและพลังจำนวนมหาศาลก็ไหลเข้าสู่ร่างกายของม่อหลงอย่างรวดเร็วซึ่งทำให้ม่อหลงรู้สึกประหม่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พลังปราณในตัวของม่อหลงนั้นรู้สึกถึงภัยคุกคามจากภายนอกและเริ่มต่อต้านเมื่อพวกมันมาเผชิญหน้ากันและทั้งสองขั้วพลังก็ต่อสู้กันอย่างไม่สิ้นสุดในร่างกายของม่อหลงและมันก็เจ็บปวดอย่างมาก โชคดีที่พลังปราณของทั้งสองนั้นคล้ายคลึงกันดังนั้นในที่สุดมันก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างช้าๆ
เนื่องจากพลังปราณที่จ้าวซือเหลาส่งมานั้นค่อนข้างมหาศาลจนม่อหลงไม่สามารถดูดซับได้ทั้งหมดในคราวเดียว ดังนั้นเขาจึงต้องค่อยๆถ่ายโอนพลังปราณนั้นไปยังตันเถียนของม่อหลงอย่างช้าๆ ศึ่วพลังปราณดั้งเดิมในร่างกายของม่อหลงก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าอีกฝ่ายไม่เป็นอันตรายและเลิกต่อต้านจากนั้นก็ค่อยๆนำทางพวกมันให้ไหลเข้าสู่ตันเถียนของเขาตามเส้นประสาทและดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีมาก
ทั้งสองคนใช้เวลามากกว่าสองชั่วโมงเต็มจึงจะเดินออกมาจากห้อง เห็นได้ชัดว่าจ้าวซือเหลาอ่อนแอลงอย่างมากและถึงแม้ว่าการถ่ายทอดพลังปราณนั้นจะไม่ได้เกินจริงเหมือนที่เขียนในนวนิยายศิลปะการต่อสู้ที่จะทำให้ผู้ถ่ายโอนเสียชีวิตลงในที่สุด แต่การสูญเสียพลังปราณไปอย่างกะทันหันก็ยังคงทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณของจ้าวซือเหลาอ่อนแอลงอย่างมาก สำหรับม่อหลงแล้วเห็นได้ชัดว่าเขาเปลี่ยนไปอย่างมากและเย่เชียนก็พึงพอใจมากเมื่อเห็นเช่นนั้น
เย่เชียนสามารถเข้าใจความพยายามของจ้าวซือเหลาได้เพราะในการสนทนาตอนนี้ม่อหลงได้พูดว่าเขาต้องการจะแก้ปัญหานี้กับตู้ฟู่เหว่ยคนเดียวในอนาคต อย่างไรก็ตามด้วยพลังและความสามารถของม่อหลงในปัจจุบันนั้นเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตู้ฟู่เหว่ยเลย ดังนั้นจ้าวซือเหลาจึงถ่ายทอดพลังปราณให้กับเย่เชียนและอาจถือได้ว่าเป็นการชดใช้ความผิดในใจของเขานั่นเอง
ถึงแม้ว่าจะมีการกล่าวกันว่าสาวกหมิงม่อถอนตัวออกจากสำนักม่อจื๊อไปเพราะว่าพวกเขาฟังคำสั่งผู้นำสูงสุดอย่างม่อเฟิงก็ตามแต่ในเมื่อลูกหลานของตระกูลม่อต่างก็เสียชีวิตไปในการต่อสู้ครั้งนั้นจึงทำให้เหล่าสาวกหมิงม่อทุกคนรู้สึกว่าพวกเขาไม่ปฏิบัติตามหน้าที่และไม่ได้ปกป้องสายเลือดของตระกูลม่อจนพวกเขาทั้งหมดรู้สึกผิดอย่างมากต่อตระกูลม่อ ซึ่งการกระทำของจ้าวซือเหลาถือได้ว่าเป็นการแสดงความขอโทษกับเรื่องราวในอดีต เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องทนทุกข์กับความรู้สึกผิดแบบนั้นอีกต่อไป
หลังจากพักผ่อนในโรงแรมสักพักหนึ่งม่อหลงกับจ้าวซือเหลาก็กลับไป ในคืนนั้นเย่เชียนเหมือนอยู่ท่ามกลางระเบิดครั้งแล้วครั้งเล่าทั้งเสียงโทรศัพท์เสียงเคาะประตูตลอดทั้งคืนซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมากจนในท้ายที่สุดเขาก็ไปแขวนป้ายที่ประตูซึ่งเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า “ห้ามรบกวน!” อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่สามารถต้านทานคนพวกนั้นได้ซึ่งทำให้เย่เชียนรู้สึกขมขื่นอย่างมาก
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นร่างของฮัตโตริชิฮิโระก็ถูกค้นพบโดยเหล่านินจาอิงะซึ่งทำให้เกิดพายุลูกใหญ่ในทันทีเพราะจากการตรวจสอบร่างของฮัตโตริชิฮิโระแล้วเห็นได้ชัดว่าเขาตายเพราะพิษของเหล่านินจาตระกูลฟูมะซึ่งทำให้สำนักนินจาอิงะและตระกูลฮัตโตริโกรธเกรี้ยวอย่างมาก
ทุกวันนี้องค์กรใหญ่ๆต่างรวมตัวกันเพื่อต่อสู้กับศัตรูต่างชาติแต่ทว่าตระกูลฟูมะกลับใช้โอกาสนี้โจมตีสำนักนินจาอิงะและตระกูลฮัตโตริ ซึ่งทำให้สำนักนินจาอิงะยากที่จะขจัดความเกลียดชังไปได้ ดังนั้นผู้คนในตระกูลฮัตโตริจึงตอบโต้ตระกูลฟูมะอย่างรวดเร็ว ซึ่งต่อให้ทางตระกูลฟูมะจะอธิบายแค่ไหนแต่ในท้ายที่สุดตระกูลฮัตโตริก็ไม่ยอมจนตระกูลฟูมะขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบาย ด้วยเหตุนี้เขาจึงประกาศกร้าวว่าถ้าหากตระกูลฮัตโตริกับสำนักนินจาอิงะต้องการแก้แค้นล่ะก็พวกเขาจะทำสงครามกันในท้ายที่สุด
ตามที่เย่เชียนคาดการณ์เอาไว้เนื่องจากการตายของฮัตโตริชิฮิโระนั้นทำให้ตระกูลเล็กๆในสำนักนินจาอิงะเหล่านั้นที่ถูกปราบปรามโดยตระกูลใหญ่ๆในสำนักและไม่มีใครเต็มใจที่จะยอมจำนนต่อผู้อื่นเสมอ ด้วยเหตุจึงทำให้เกิดการต่อสู้ภายในเพราะแต่ละคนก็ต้องการขึ้นเป็นผู้นำสำนัก ซึ่งใครๆก็อยากเป็นฮัตโตริฮันโซนินจาในตำนานกันทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้ตระกูลฮัตโตริเองก็ไม่มีคนที่มีความสามารถมากพอที่จะทำให้สถานการณ์สงบได้เลย
สถานการณ์ในประเทศญี่ปุ่นตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดขึ้นไปอีกระดับหนึ่งจนผผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เลยเพราะความขัดแย้งระหว่างเหล่านินจาที่สะสมมานานนับพันปีนั้นได้ปะทุขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
แน่นอนว่าองค์กรอื่นๆทำได้เพียงแค่นั่งดูเหล่านินจาฆ่าล้างบางกันเองเพราะไม่มีใครกล้าเสี่ยงเข้าไปแทรกแซงในเรื่องนี้ แน่นอนว่าท่ามกลางความเดือดดาลนี้พวกเขาจะไม่สนอะไรใดๆทั้งสิ้น ส่วนสมาคมมังกรดำก็ยังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากเบื้องหลังและไม่สามารถมีส่วนร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ได้ จากคำพูดของผู้ที่อยู่เบื้องหลังนั้นเขาทำให้เพียงแค่ปล่อยให้เหล่านินจาสู้กันส่วนใครจะแพ้หรือชนะนั้นมันก็ไม่สำคัญเพราะมีเพียงแต่ผู้โชคดีและผู้โชคร้ายเท่านั้น
ในสถานการณ์เช่นนี้เย่เชียนกับฮาเซงาวะเซตะมีความสุขมากที่สุด คราวที่แล้วเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในประเทศญี่ปุ่นนั้นทำให้คนทั้งประเทศร่วมมือกันบรรเทาสาธารณภัยและนั่นก็ทำให้การเลือกตั้งจึงถูกเลื่อนมาจนถึงวันนี้ ในตอนแรกมีนักการเมืองหลายคนต่อสู้กันแต่ทันใดนั้นก็เหลือเพียงเขากับนาโอกิอิชิอิเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นหลายๆองค์กรใหญ่ๆก็สนับสนุนนาโอกิอิชิอิอย่างเปิดเผยซึ่งทำให้ฮาเซงาวะเซตะรู้สึกกดดันอย่างมาก นับตั้งแต่วันเลือกตั้งถูกกำหนดนั้นฮาเซงาวะเซตะก็ถูกลอบสังหารอยู่หลายครั้งและไม่มีการต่อต้านหรือตอบโต้ใดๆเลย ถึงแม้ว่าพรรคฝ่ายค้านจะพยายามอย่างเต็มที่แค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถต้านทานและไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อยู่ดี
แต่ตอนนี้เหล่านินจาได้เริ่มการต่อสู้ภายในซึ่งเป็นประโยชน์ต่อฮาเซงาวะเซตะอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเขาจึงใช้โอกาสนี้เคลื่อนไหวทางการเมืองกับเหตุการณ์ล่าสุดในประเทศญี่ปุ่นที่ชาวจีนจำนวนมากถูกข่มเหง ดังนั้นเขาจึงจัดตั้งขบวนพาเหรดและขบวนประท้วงทั่วประเทศและเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศให้ความสนใจมากขึ้นและจัดการกับนาโอกิอิชิอิตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด
หลังจากอดกลั้นมานานในที่สุดฮาเซงาวะเซตะก็สามารถระบายความคับข้องใจในใจออกมาได้ ดังนั้นเขาจะไม่พลาดโอกาสดีๆเช่นนี้และทำการประณามแนวคิดที่เผด็จการของนาโอกิอิชิอิต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่องเพื่อพยายามได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากประชาคมระหว่างประเทศ แน่นอนว่าเขาไม่ได้สนับสนุนประเทศจีนอย่างจริงจังแต่กำลังสร้างภาพลักษณ์ที่เป็นมิตรต่อตัวเองและไม่ว่าจะเป็นสำหรับประเทศทางทวีปตะวันตกหรือประเทศทางทวีปตะวันออกก็ตามดูเหมือนว่าเขาจะต้องการแสดงความมุ่งมั่นนี้ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี จนในที่สุดเขาก็ได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา
นาโอกิอิชิอินั้นมีแนวคิดและการกระทำที่ดูเป็นเผด็จการทางทหารมาโดยตลอดซึ่งทำให้ยากสำหรับเขาที่จะได้รับการสนับสนุนจากสาธารณชนในประชาคมระหว่างประเทศ ซึ่งการกระทำของฮาเซงาวะเซตะก็ได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ของนาโอกิอิชิอิไปอย่างสมบูรณ์แบบ
อู๋หวนเฟิงก็ได้ทำการนัดหมายกับฮาเซงาวะเซตะแล้วและสถานที่นัดพบคือสโมสรน้ำพุร้อนในเมืองโตเกียว หลังจากที่อู๋หวนเฟิงไปที่โรงแรมเพื่อรับเย่เชียนทันที ซึ่งครั้งนี้เย่เชียนแต่งตัวอย่างปกติเนื่องจากเขากำลังจะเจรจากับฮาเซงาวะเซตะโดยหวังว่าจะบรรลุสถานการณ์แบบได้ผลประโยชน์ทั้งคู่นั้นเย่เชียนก็คิดว่าคงจะดีกว่าที่จะไปพบเขาด้วยรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขาอย่างตรงไปตรงมา
เมื่อพวกเขาอยู่ที่ประตูทางเข้าทั้งเย่เชียนและอู๋หวนเฟิงก็ถูกเหล่าบอดี้การ์ดของฮาเซงาวะเซตะหยุดเอาไว้ แน่นอนว่าเย่เชียนรู้ดีว่าสถานการณ์จะเป็นแบบนี้นั้นเขาจึงไม่ได้นำมีดคลื่นโลหิตมาด้วย “เชิญครับ..หัวหน้ารออยู่ข้างในแล้ว” หลังจากถูกตรวจค้นร่างกายแล้วก็ไม่พบสิ่งใดน่าสงสัยและบอดี้การ์ดก็พูดอย่างสุภาพ
เย่เชียนพยักหน้าและเดินตามบอดี้การ์ดไปพร้อมกับอู๋หวนเฟิงและเมื่อผลักประตูออกไปเขาก็เห็นชายชราคนหนึ่งอายุหกสิบกำลังแช่ตัวในอ่างน้ำพุร้อนและขณะที่พนักงานสาวหลายๆคนในชุดบิกินี่กำลังเช็ดตัวของเขาอยู่ “ท่านครับพวกเขามาแล้ว” บอดี้การ์ดพูด
ฮาเซงาวะเซตะหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านที่มีรอยสักขนาดใหญ่ที่แผ่นหลังและเมื่อมองแวบแรกเขาดูเหมือนพวกยากูซ่าอย่างมาก แต่ใบหน้าของเขานั้นดูเคร่งขรึมอย่างมากและเมื่อหันไปมองเย่เชียนกับอู๋หวนเฟิงแล้วเขาก็พูดอย่างสุขุมว่า “พวกคุณสองคนโปรดรอสักครู่..เดี๋ยวผมจะไปพบพวกคุณหลังจากที่แต่งตัวเสร็จ..ช่วยพาทั้งสองไปที่ห้องรับรองก่อนเดี๋ยวฉันจะตามไปทีหลัง”
เย่เชียนไม่ได้พูดอะไรเพราะฮาเซงาวะเซตะคนนี้ดูค่อนข้างเป็นมิตร ซึ่งไร้ซึ่งลักษณะหยิ่งผยองและโออ่าใดๆทั้งสิ้นและทัศนคติของเขาก็ดูปกติ หลังจากตามบอดี้การ์ดไปนั่งในห้องรับรองแล้วพนักงานเสิร์ฟก็เข้ามาถามว่าจะดื่มชาหรือกาแฟดีและเย่เชียนก็สั่งชาสองแก้วพร้อมกับผลไม้สดหนึ่งจาน
“ฉันไม่นึกเลยว่าฮาเซงาวะเซตะจะมีรอยสักแบบนั้น..ดูเหมือนว่าเขาเคยเป็นยากูซ่ามาก่อน” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม