ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 947 พี่น้องสาวกม่อจื๊อ
ตอนที่ 947 พี่น้องสาวกม่อจื๊อ
เย่เชียนสั่งให้เฟิงหลานเตรียมดาวกระจายชูริเคนเหล่านี้ตั้งแต่แรกเพราะพวกมันถูกสลักด้วยสัญลักษณ์ของตระกูลนินจาฟูมะเอาไว้ ซึ่งเฟิงหลานได้พวกมันมาจากนินจาของฟูมะและผสมเข้ากับยาพิษที่พัฒนาโดยหมาป่าพิษหลิวเทียนเฉินและมันก็เสร็จสมบูรณ์ภายใต้การแนะนำของชิบะโชโกะมันจึงคล้ายกับพิษของตระกูลนินจาฟูมะแต่ค่อนข้างรุนแรงกว่า
เย่เชียนทำไปเพื่อต้องการเบี่ยงเบนความสนใจการตายของฮัตโตริชิฮิโระให้ดูเป็นฝีมือของตระกูลนินจาฟูมะ เพราะทั้งสองตระกูลได้ต่อสู้กันมานานแล้วและสิ่งที่พวกเขาทำในครั้งนี้ก็สมเหตุสมผลเช่นกัน ซึ่งคงไม่มีใครคิดว่าทั้งหมดนี้ถูกจัดฉากขึ้นมา เมื่อฮัตโตริชิฮิโระเสียชีวิตลงสำนักนินจาอิงะจะสูญเสียเสาหลักไป จากนั้นเหล่าตระกูลนินจาจะต้องขัดแย้งกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าสำนักนินจาอิงะจะไม่ฟังเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้นและภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ผู้คนในตระกูลฮัตโตริจะต้องรับมือกับการแก้แค้นอย่างแน่นอน ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ในประเทศญี่ปุ่นตึงเครียดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ว่ากันว่าเมื่อคนกำลังจะตายมักจะพูดคำดีๆ ก่อนตายเสมอเพราะเขาตอบคำถามของเย่เชียนก่อนที่เขาจะตาย ซึ่งด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่มีใครรู้และบางทีอาจเป็นเพราะความรู้สึกผิดในใจหรืออาจเป็นแค่เรื่องไร้สาระก็ได้ แต่ในที่สุดชื่อม่อหนานก็เปิดเผยออกมาซึ่งทำให้เย่เชียนสับสนอย่างมาก
“ม่อหนาน? ..ม่อหนานคือใคร?” หลี่เหว่ยพูดอย่างงุนงง “ทำไมตาแก่นี่ถึงพูดชื่อนี้ก่อนตาย? ..ตาแก่นี่ตั้งใจจะบอกชื่อคนที่อยู่เบื้องหลังอย่างงั้นเหรอ?”
“เป็นไปไม่ได้” ชิงเฟิงพูด “ทำไมมันถึงต้องใจดีขนาดนั้นล่ะ..ฉันคิดว่ามันจงใจเบี่ยงเบนความสนใจและทำให้เราเสียเวลาเพราะชื่อนี้เหมือนชื่อชาวจีนแต่ชาวจีนจะมีความสามารถในการควบคุมองค์กรใหญ่ๆ ของประเทศญี่ปุ่นได้ยังไง..เห็นได้ชัดว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลย”
“ไม่จำเป็นเพราะฉันได้ยินม่อหลงบอกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้เป็นชาวจีนจริงๆ และเขามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับสำนักม่อจื๊อด้วย..แต่รายละเอียดเชิงลึกนั้นม่อหลงก็ยังไม่แน่ชัด” เย่เชียนพูด
“ม่อหนาน..ม่อหลง” เฟิงหลานพึมพำสองครั้งแล้วพูดว่า “บอส..ฉันคิดว่าม่อหนานคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับม่อหลงใช่มั้ย?”
“ใช..ม่อหนานเป็นสาวกของสำนักม่อจื๊อของฉัน!” เสียงนั้นดังขึ้นและประตูห้องโถงบรรพบุรุษก็ถูกผลักเปิดออกและชายชราคนหนึ่งกับม่อหลงก็เดินเข้ามา จากนั้นเย่เชียนก็หันไปมองด้วยรอยยิ้มแล้วพยักหน้าและสันนิษฐานว่าชายชราคนนี้จะต้องเป็นสาวกของสำนักม่อจื๊ออย่างแน่นอน จากนั้นม่อหลงก็แนะนำว่า “บอสนี่คืออาจารย์จ้าวซือเหลาหนึ่งในสี่องครักษ์ผู้อาวุโสของสำนักม่อจื๊อของเรา..คุณจ้าวนี่คือพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายที่ผมเล่าให้ฟัง..ส่วนเขาคือผผู้นำเขี้ยวหมาป่า..ราชาหมาป่าเย่เชียน”
“สวัสดีครับอาจารย์จ้าว” เย่เชียนกล่าวคำทักทาย
จ้าวซือเหลานั้นเป็นสมาชิกรุ่นเดียวกันกับม่อหลงปู่ของม่อหลงและเขาก็เป็นบุคคลระดับอาวุโสในสำนักม่อจื๊อ ถึงแม้ว่าม่อหลงจะเป็นผู้สืบทอดสำนักม่อจื๊อก็ตามแต่เขาก็ต้องเคารพจ้าวซือเหลาในฐานะองครักษ์ทั้งสี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับจ้าวซือเหลาแล้วเขาไม่ได้รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมหรืออะไรที่ม่อหลงเคารพเขาเช่นนั้นแต่ยังยอมรับอย่างมีความสุขอีกด้วย จากนั้นจ้าวซือเหลาก็พูดว่า “ฉันได้ยินหวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูดถึงเจ้ามาเยอะมาก..ขอบคุณที่คอยดูแลม่อหลงตลอดหลายปีที่ผ่านมา..ทุกคนในสำนักม่อจื๊อรู้สึกขอบคุณมากจริงๆ”
“อาจารย์จ้าวอย่าพูดอย่างนั้นเลยนี่คือสิ่งที่ผมควรทำ” เย่เชียนพูดต่อ “ผมกับพี่ม่อหลงเป็นพี่น้องกันเพราะงั้นเรื่องของเขาก็เหมือนเรื่องของผม..เพราะงั้นมันจึงเป็นหน้าที่ของพี่น้องที่ต้องช่วยกัน..ว่าแต่อาจารย์จ้าวครับเรากลับไปคุยกันที่โรงแรมดีกว่าครับ”
“ได้สิ” จ้าวซือเหลาพยักหน้าและพูดว่า “ม่อหลงเจ้าออกไปข้างนอกและบอกพวกเขาให้กลับกันไปก่อน..บอกทุกคนว่าให้แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นซึ่งมันจะทำให้เกิดความสงสัยจากคนอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
ม่อหลงก็ตอบหันหลังกลับและเดินออกไป ส่วนเย่เชียนก็ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วพูดว่า “อาจารย์จ้าวเชิญครับ”
จ้าวซือเหลาก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจและพูดว่า “ฉันเคยพูดว่าหวงฟู่ชิงเตี๋ยนไม่มีวิสัยทัศน์ที่ดีแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าฉันคิดผิด..ตาเฒ่านั่นได้สนับสนุนเด็กที่มีอนาคตไกลจริงๆ ..ความสำเร็จในอนาคตของเจ้าจะต้องเป็นไปอย่างรุ่งโรจน์แน่นอน”
“ในอนาคตผมต้องรบกวนอาจารย์จ้าวให้คำแนะนำและสนับสนุนผมด้วย” เย่เชียนพูด
“ฉันไม่มีอำนาจหรืออิทธิพลอะไรแล้ว..ฉันเป็นแค่ชายชราหลงยุค..คนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าน่ะเก่งกว่าฉันเยอะ” จ้าวซือเหลาพูด “ฉันชอบคนพูดตรงๆ และไม่ชอบคนพูดจาประจบสอพลอ..เพราะงั้นสำหรับพี่น้องของม่อหลงเจ้าจะพูดยังไงก็ได้ไม่ต้องเกรงใจฉันหรอก”
“ครับอาจารย์จ้าว” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ถึงแม้ว่าทัศนคติของจ้าวซือเหลาจะดูเย่อหยิ่งแต่เย่เชียนก็สามารถเห็นได้ว่านี่เป็นคำพูดที่จริงใจของเขาและบางทีน้ำเสียงของชายชราคนนี้อาจจะไม่ค่อยน่าฟังนักก็ตามซึ่งทำให้ผู้คนรู้ประหม่าที่จะพูดคุยด้วย
ห้องโถงบรรพบุรุษไม่ได้รับการทำความสะอาดแต่ก็มีการจัดฉากเล็กน้อยซึ่งจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดว่านี่คือฝีมือของตระกูลฟูมะจริงๆ
สำหรับจ้าวซือเหลานั้นถึงแม้ว่าชายชราคนนี้จะเปิดร้านอาหารเล็กๆ ในย่านไชน่าทาวน์และดูเหมือนจะใช้ชีวิตอย่างอิสระก็ตามแต่เขาก็ยังรู้เรื่องเหล่านี้เกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นอย่างชัดเจน ซึ่งตั้งแต่เกิดสงครามการขัดแย้งภายในสำนักม่อจื๊อนั้นจ้าวซือเหลาก็ย้ายมาอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นนานกว่า 20 ปีแล้วและเขาถือได้ว่าเป็นเจ้าถิ่นที่รู้สิ่งต่างๆ มากมาย
กลับมาที่โรงแรมทุกคนก็นั่งลงในห้องนั่งเล่น ส่วนเย่เชียนก็ชงชาเป็นการส่วนตัวให้จ้าวซือเหลาเพื่อแสดงความเคารพ ไม่ว่าในกรณีใดจ้าวซือเหลาก็เป็นผู้อาวุโสของสำนักม่อจื๊อ ดังนั้นถือได้ว่าเขาเป็นทหารผ่านศึกและในอนาคตเขาจะช่วยม่อหลงได้มากอย่างแน่นอน ดังนั้นเย่เชียนจึงไม่สามารถละเลยเขาได้
จ้าวซือเหลาก็รับอย่างใจเย็นโดยไม่ปฏิเสธใดๆ บ่อยครั้งที่มีคนตำแหน่งสูงๆ และมีอำนาจจะไม่แสดงความหน้าซื่อใจคดแบบนั้นต่อหน้าคนที่ไม่มีศักดิ์เหมือนกับตัวเอง คนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ นั้นจะไม่สนใจสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป
เฟิงหลาน,หลี่เหว่ย,ชิงเฟิงและอู๋หวนเฟิงทั้งหมดแยกย้ายกันไปเพราะเมื่อพวกเขาออกจากห้องโถงบรรพบุรุษพวกเขาก็กลับไปที่โรงแรมของพวกเขา ด้วยเหตุผลเดิมถ้ามีคนมากเกินไปเป้าหมายก็จะใหญ่มากและง่ายต่อการตรวจพบ
“อาจารย์จ้าวครับเมื่อตอนนี้คุณอยู่ในห้องโถงบรรพบุรุษของตระกูลฮัตโตริดูเหมือนคุณจะรู้จักคนชื่อม่อหนานใช่มั้ยครับ..ว่าแต่เขาเป็นใครเหรอ? ..เขาคือสาวกสำนักม่อจื๊อหรือเปล่า?” เย่เชียนถาม
“ม่อหนานเป็นอาของฉัน” ม่อหลงพูด
เย่เชียนอดไม่ได้ที่จะจ้องมองจ้าวซือเหลาด้วยความประหลาดใจ ซึ่งจ้าวซือเหลาก็พยักหน้าและพูดว่า “ใช่แล้วม่อหนานเป็นลูกชายคนที่สองของม่อเฟิงอดีตผู้นำของสำนักม่อจื๊อและเป็นชายหนุ่มที่โดดเด่นที่สุดในสำนัก..ย้อนกลับไปเมื่อพ่อของเจ้าเย่เจิ้งหรานเดินทางไปทั่วทุกสารทิศเพื่อแสวงหาปรมาจารย์ยอดฝีมือและม่อหนานก็เป็นหนึ่งในคนที่สามารถเผชิญหน้ากับพ่อของเจ้าได้..อย่างไรก็ตามเมื่อยี่สิบปีที่แล้วสำนักม่อจื๊อก็เกิดความขัดแย้งขึ้นและเหล่าสาวกหมิงม่อและอันม่อหรือสาวกฝ่ายธรรมะและอธรรมที่พวกเจ้าเรียกก็ได้เผชิญหน้ากันอย่างดุเดือดเพราะ..ศึกครั้งนั้นทำให้ม่อหนานตายในการต่อสู้..แต่ฉันไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้และอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นแห่งนี้”
นับตั้งแต่เขามายังบ้านของตระกูลเย่นั้นเย่เชียนก็ได้ยินมาโดยตลอดว่าพ่อของเขามีพลังมากขนาดไหนและเขาอยู่เหนือปรมาจารย์ทั่วทุกสารทิศ ในใจของเย่เชียนนั้นเขาเกือบจะจินตนาการว่าพ่อของเขาเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามที่ไร้ความพ่ายแพ้แต่ตอนนี้เย่เชียนได้ยินมาว่าม่อหนานเป็นคนเดียวที่สู้กับพ่อได้ ซึ่งทำให้เย่เชียนนึกถึงตัวละครที่ทรงพลังของม่อหนานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และเย่เชียนก็ไม่เข้าใจเลยว่าถ้าหากม่อหนานยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้จริงๆ ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาควรจะเป็นตู้ฟู่เหว่ยไม่ใช่หรือแต่ทำไมถึงเป็นตัวเอง? และทำไมเขาถึงต้องการโจมตีโลกศิลปะการต่อสู้จีนโบราณทั้งหมดด้วย?
“ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น?” เย่เชียนถาม
จ้าวซือเหลาก็ถอนหายใจลึกๆ แล้วพูดว่า “มีกฎเหล็กอยู่เจ็ดประการ..การไม่ใช้ความรุนแรง..ความประหยัด..ความรัก..ความเคารพ..การฝึกฝนตนเอง..ความยุติธรรมและการเชื่อฟัง..สิ่งเหล่านี้เป็นกฎเหล็กที่เข้มงวดที่สาวกทุกคนต้องปฏิบัติตาม..ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักม่อจื๊อมีอยู่สามคน..ม่อเซี่ย..ม่อเค่อและม่อเฟิง..ซึ่งม่อเซี่ยนั้นเป็นนักศิลปะการต่อสู้ที่ใช้กำลังเพื่อช่วยเหลือผู้อ่อนแอและยังสามารถปกป้องสำนักได้อย่างปลอดภัย..ส่วนม่อเค่อนั้นเป็นนักบวชและเก่งเรื่องภูตผีปีศาจ..ส่วนม่อเฟิงปู่ของม่อหลงนั้นเป็นปรมาจารย์ด้านศาสตร์ต่างๆ ในยุคใหม่และนักประดิษฐ์โบราณ..ซึ่งไม่ว่าใครก็ตามจะต้องปฏิบัติตามกฎเจ็ดประการของสำนักอย่างเคร่งครัดเพราะมันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสาวกทุกคนแต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงของเวลาสาวกแต่ละคนก็เปลี่ยนไปเช่นกัน..ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างสาวกหมิงม่อและอันม่อคือวิธีการทำสิ่งต่างๆ แต่จุดประสงค์คือเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับสำนักเหมือนๆ กัน..เมื่อยี่สิบปีที่แล้วความขัดแย้งได้รุนแรงขึ้นและสาวกทั้งสองฝ่ายก็เริ่มต่อสู้กันเป็นเวลานานและท้ายที่สุดสาวกอันม่อก็สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาโดยตลอด..อย่างไรก็ตามลูกศิษย์ของอันม่อก็ปฏิเสธที่จะยอมรับและเริ่มกวาดล้างสาวกหมิงม่อทำให้สาวกหมิงม่อไม่สามารถต่อต้านได้อย่างสมบูรณ์และม่อเฟิงผู้นำสำนักได้บาดเจ็บสาหัสและสาวกส่วนมากก็ไม่รอดในสงครามครั้งนั้น..จนในเวลาต่อมาสาวกหมิงม่อได้ตอบโต้จนสาวกอันม่อพ่ายแพ้มืดพ่ายแพ้แต่ทว่าม่อเฟิงกลับไม่สามารถต้านทานอาการบาดเจ็บของเขาและเสียชีวิตลงในที่สุดแต่ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตไปเขาขอให้สาวกหมิงม่อเลิกต่อสู้เพราะท่านไม่ต้องการให้สำนักม่อจื๊อของเราสูญเสียความแข็งแกร่งเนื่องจากการต่อสู้กันเองและเปิดให้โอกาสผู้อื่นในการใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้..ดังนั้นสาวกหมิงม่อจึงประกาศถอนตัวจากสำนักแล้วแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางบางคนก็ออกจากจีนและบางคนก็ไปต่างประเทศและตัดขาดจากโลกภายนอกทั้งหมดและใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดา”
.