ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 912 ย้ายแหล่งกบดาน
ตอนที่ 912 ย้ายแหล่งกบดาน
มีหลายวิธีที่จะเค้นข้อมูลความลับออกมาจากศัตรูและเฟิงหลานนั้นก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้แต่วิธีการส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่บุคลเฉพาะมากกว่า อย่างไรก็ตามไป๋ฮวยได้ทำตรงกันข้ามเพราะวิธีการเค้นความลับของเขานั้นไม่สำคัญว่าจะได้รับมาจากปากของใคร ซึ่งสิ่งสำคัญคือการบรรลุเป้าหมายสูงสุดนั่นเอง
วิธีการของไป๋ฮวยนั้นสามารถบรรลุเป้าหมายสูงสุดอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะชายวัยกลางคนจ้องมองไป๋ฮวยด้วยความหวาดกลัวและพูดว่า “นี่คือข้อมูลจากฮัวหยิน..เธอคือคนสนิทของเซี่ยตงไป่หัวหน้าแก๊งฝูชิง..เธอได้ติดตั้งเครื่องระบุตำแหน่งบนร่างของเซี่ยจือยี่เอาไว้และนั่นเป็นเหตุผลที่เราตามหาที่นี่เจอ..เดิมทีคำสั่งเบื้องบนคือการส่งคนไปปิดล้อมและทำลายแก๊งฝูชิงแต่หัวหน้าของเราอยากแก้แค้นเป็นการส่วนตัวเขาจึงส่งพวกเราที่นี่”
ไป๋ฮวยขมวดคิ้วเพราะในกรณีนี้เขาเชื่อว่ากำลังเสริมของฝ่ายตรงข้ามกำลังจะมาถึงในไม่ช้าและจุดประสงค์ของพวกนั้นคือการส่งคนเหล่านี้มาเก็บกวาดนั่นเอง เมื่อมองไปที่อีกฝ่ายไป๋ฮวยก็ไม่เห็นความโกหกใดๆในดวงตาของเขา ดังนั้นไป๋ฮวยจึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและพูดว่า “เอาล่ะ..ได้เวลาไปหาพี่น้องของแกแล้ว”
“ทำไมแกไม่ทำตามที่แกพูดล่ะ” ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะพูดจบไป๋ฮวยก็ใช้ดาบฟันคอเขาไปแล้ว ซึ่งการที่ไป๋ฮวยไม่ได้ทรมานเขานั้นมันเป็นโชคของเขาอย่างยิ่ง
จากนั้นไป๋ฮวยก็ค่อยๆหันหลังกลับและเดินเข้าไปในกระท่อมไม้และพูดว่า “ชิงเฟิงออกมาได้แล้ว”
ชิงเฟิงก็ฉีกยิ้มและเดินออกมาในขณะที่นากาจิมะชินนะกำลังช่วยพยุงเซี่ยจือยี่ออกมา “ไป๋ฮวยทำไมถึงมาที่นี่?” ชิงเฟิงถาม
“ฉันสัญญากับเย่เชียนเอาไว้ว่าจะมาตามหานายให้” ไป๋ฮวยก็มองชิงเฟิงจากหัวจรดเท้าแล้วพูดว่า “นายทำให้เขี้ยวหมาป่าต้องอับอายขายมาก”
ชิงเฟิงยิ้มเจื่อนๆและพูดว่า “อย่ามาล้อผมเลยแค่นี้ผมก็อับอายมากพอแล้ว..ว่าแต่บอสรู้เรื่องนี้ได้ยังไง..ผมยังกังวลอยู่เลยว่าจะติดต่อเขาแล้วบอกสิ่งเกิดขึ้นยังไงดี”
“เอาเถอะในเมื่อฉันอยู่ที่นี่แล้วฉันจะไม่ปล่อยให้พวกนายเป็นอะไรไปเด็ดขาด..อีกไม่นานกำลังเสริมของพวกมันคงจะมาที่นี่เพราะงั้นเราควรย้ายแหล่งกบดานโดยเร็วที่สุด” ไป๋ฮวยพูด จากนั้นเขาก็หันไปเหลือบมองที่นากาจิมะชินนะกับเซี่ยจือยี่แล้วพูดว่า “พวกเธอน่าจะได้ยินสิ่งที่นินจาพูดใช่มั้ย?..ไปค้นหาเครื่องติดตามและทำลายมันซะ..ถ้าเราไม่กำจัดสิ่งนั้นพวกมันจะตามเราไปทุกที่”
นากาจิมะชินนะเหลือบมองชิงเฟิงและชิงเฟิงก็พยักหน้า จากนั้นก็หันไปมองไป๋ฮวยและพูดว่า “เธอเป็นคนไข้และเป็นผู้หญิงเพราะงั้นพวกคุณจะไม่ออกไปรอข้างนอกกันก่อนเหรอ?”
ไป๋ฮวยก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและเหลือบมองชิงเฟิงด้วยท่าทางเขินอายและเดินออกไปข้างนอก ซึ่งชิงเฟิงก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไป๋ฮวยถึงได้มองแบบนั้นดังนั้นเขาจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเดินตามไป
นากาจิมะชินนะช่วยพยุงเซี่ยจือยี่เข้าไปในกระท่อม จากนั้นชิงเฟิงก็มองไปที่ไป๋ฮวยแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าพี่ไป๋กลับไปที่เขี้ยวหมาป่ามันคงจะเจ๋งมากที่เราจะได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันในอนาคต..นอกจากนี้ที่พี่ไป๋มาที่นี่ก็เพราะว่าเป็นห่วงพี่น้องเขี้ยวหมาป่าใช่มั้ยล่ะ?”
“พี่น้อง?” ไป๋ฮวยพึมพำและพูดว่า “คำว่าพี่น้องมันได้หายไปจากหัวของฉันอย่างสมบูรณ์แบบแล้วตั้งแต่ที่ฉันพี่ใหญ่ด้วยมือของฉันเองและจากนั้นมาฉันไม่มีพี่น้องที่ไหนทั้งนั้นคราวนี้ฉันแค่สัญญากับเย่เชียนเอาไว้ว่าจะมาช่วยนายและไม่ใชว่าฉันมองนายว่าเป็นพี่น้องเพราะงั้นนายไม่ควรจะคิดแบบนั้น”
ชิงเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า “อะไรที่มีค่าที่สุดในโลกใบนี้ผมคิดว่าพี่ไป๋เองก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่อำนาจหรือเงินแต่เป็นความรู้สึกและมิตรภาพ..เราเกิดมาสู้และตายแทนกัน..หลายปีมานี้ถึงแม้ว่าพี่ไป๋จะถอนตัวออกมาแต่ผมก็รู้ดีว่าในใจพี่ยังมองเราเป็นพี่น้องอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“อย่าคิดไปเอง..นายเชื่อมั้ยว่าฉันกล้าฆ่านายตอนนี้เลยยังได้” ทันทีที่เสียงของไป๋ฮวยจบลงเขาก็ใช้ดาบปีศาจจ่อเข้าไปที่คอของชิงเฟิง
ชิงเฟิงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปชั่วขณะและไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีและจู่ๆประตูกระท่อมก็ถูกเปิดออกจากนั้นนากาจิมะชินนะก็ออกมาแล้วพูดว่า “เจอแล้วเครื่องติดตามระบุตำแหน่ง”
ทันทีที่เธอพูดจบเธอก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าและสีหน้าของเธอก็ตึงเครียดในทันที ในขณะที่เธอกำลังจะรีบพุ่งออกไปชิงเฟิงก็รีบขยิบตาให้เธอ จากนั้นไป๋ฮวยก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วหยิบเครื่องระบุตำแหน่งจากมือของนากาจิมะชินนะและเหลือบมองแล้วพูดว่า “พวกนายรอฉันที่นี่ก่อน..ฉันจะใช้เครื่องระบุตำแหน่งนี้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของพวกมัน” โดยไม่รีรอไป๋ฮวยก็วิ่งออกไปฝั่งตรงข้าม
ตอนนี้ฟ้าก็เริ่มมืดแล้วเพราะงั้นเหล่านินจาคงจะไม่มาที่นี่ในคืนนี้แต่พรุ่งนี้เช้าพวกเขาคงจะมาตามล่าอีกเช่นเคย แต่ไป๋ฮวยได้นำเครื่องระบุตำแหน่งไปเบี่ยงเบนความสนใจของฝ่ายตรงข้ามแล้ว ซึ่งถึงแม้ว่าท่าเรือ,สนามบินและสถานีขนส่งส่วนใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นในตอนนี้จะได้รับการตรวจตราโดยเจ้าหน้าที่จากฝ่ายตรงข้ามก็ตามแต่หลังจากที่ไป๋ฮวยได้เข้ามาจัดการสิ่งต่างๆในประเทศญี่ปุ่นเขาก็สามารถมีช่องทางการหลบหนีของเขาและเนื่องจากเขามีความมั่นใจที่จะมาที่ประเทศญี่ปุ่นเช่นนี้เขาก็ย่อมมีวิธีการช่วยเหลือชิงเฟิงและคนอื่นๆจากที่นี่ได้อย่างแน่นอน
เป็นความบังเอิญที่เย่เชียน,หลี่เหว่ย,เฟิงหลานกับสองพ่อลูกชางกวนอู๋เต๋อกับชางกวนหยานยู่ที่อยู่บนเครื่องบินลำเดียวกัน แต่สองพ่อลูกนั้นนั่งอยู่ในชั้นเฟิร์สคลาสแต่เย่เชียนกับคนอื่นๆอยู่ในชั้นประหยัด เมื่อพวกเขาอยู่ที่สนามบินปักกิ่งเย่เชียนและคนอื่นๆก็เดินออกมาจากสนามบินและอดไม่ได้ที่จะต้องตกตะลึงเมื่อเห็นซ่างกวนอู๋เต๋อและลูกชายของเขา โชคดีที่อีกฝ่ายไม่เห็นพวกเขาเพราะถ้าชางกวนอู๋เต๋อเห็นว่าเขาอยู่บนเครื่องบินลำเดียวกันกับเขาบนเครื่องบินก่อนหน้านี้เขาคงจะคิดว่าเย่เชียนกำลังตามมาคุกคามเขา
เมื่อเห็นชางกวนอู๋เต๋อกับชางกวนหยานยู่ขึ้นรถแท็กซี่ออกไปแล้วเย่เชียนกับหลี่เหว่ยและเฟิงหลานก็เดินออกจากสนามบินไปเช่นกัน ด้านนอกเทอร์มินอลของสนามบินเย่หานหลินก็กำลังรออยู่ในรถแล้วและเมื่อเขาเห็นเย่เชียนเดินมาเย่หานหลินก็ทำความเคารพและตะโกนว่า “สวัสดีบอส!”
เย่เชียนก็พยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “ขอบใจมาก” หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็ตบไหล่ของเย่หานหลินแล้วพูดว่า “นายไม่เสียใจที่ฉันปล่อยให้นายทำสิ่งต่างๆคนเดียวมาตลอดใช่มั้ย?”
เย่หานหลินก็ส่ายหัวและพูดว่า “ไม่..นี่คือสิ่งที่ฉันต้องทำบอส”
เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มที่พึงพอใจว่า “ฉันรู้ว่านายไม่เหมาะกับการทำสิ่งเหล่านี้แต่คนที่ประสบความสำเร็จก็ควรจะเรียนรู้วิธีจัดการกับสิ่งต่างๆเพียงลำพัง..ฉันยังรู้ถึงแรงบันดาลใจและทัศนคติของนายที่มีต่อพลังและอำนาจแต่ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก..ฉันสัญญาว่าหลังจากเรื่องที่นี่เสร็จแล้วนายสามารถทำอะไรก็ได้ที่นายต้องการและฉันจะคอยสนับสนุนนายเอง”
เย่หานหลินก็มองไปที่เย่เชียนและดูเหมือนจะต้องการพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ทำไม่ได้จากนั้นเย่เชียนก็ยิ้มแล้วพูดว่า “อย่าพูดแบบนั้นเลย..ฉันแค่ทำสิ่งที่สมควรทำเพราะงั้นบอสไม่ต้องกังวล..ฉันบอกเลยว่าตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ฉันจะทำลายการแบ่งแยกระหว่างตระกูลหลักกับตระกูลรองเอง”
จากนั้นเย่เชียนก็หันไปมองเฟิงหลานกับหลี่เหว่ยแล้วพูดว่า “เดี๋ยวผมแนะนำให้รู้จักนี่คือพี่น้องชายของผมและเป็นสมาชิกในตระกูลเย่ของผม..เย่หานหลิน..ส่วนนี่คือพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายหลี่เหว่ยกับเฟิงหลาน”
เย่หานหลินก็พยักหน้าเล็กน้อยให้กับทั้งสองคนแต่ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นเฟิงหลานก็ฉีกยิ้มส่วนชิงเฟิงก็รีบวิ่งเข้าไปกอดเย่หานหลินแล้วพูดว่า “นี่คือน้องชายของบอสเพราะงั้นเรามารู้จักกันเถอะ” การแสดงความรักของหลี่เหว่ยทำให้เย่หานหลินกลัวและไม่สบายใจนิดหน่อย
เฟิงหลานก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และตบไหล่หลี่เหว่ยเบาๆพูดว่า “ไอ้บ้านี่อย่าทำให้เขากลัวสิ..นายคิดว่าทุกคนจะนิสัยเหมือนนายงั้นเหรอ”
หลี่เหว่ยกลอกตาไปมาและพึมพำว่า “ให้ตายเถอะพี่เฟิงหลานก็พูดว่าร้ายผมตลอด..นี่ผมเป็นหนี้พี่ในชีวิตที่แล้วหรือเปล่าเนี่ย”
เฟิงหลานไม่สนใจเขาและหันไปมองเย่เชียนและถามว่า “บอสเราจะทำยังไงกันต่อ?..เราจะไปที่บ้านตระกูลชางกวนเพื่อตรวจสอบสิ่งต่างๆกันหรือเปล่า”
“แน่นอน..ตอนนี้ชางกวนอู๋เต๋อกลับมาแล้วเพราะงั้นมันต้องมีอะไรดีๆให้ดูอย่างแน่นอนเราจะพลาดได้ยังไง..ผมเชื่อว่าชางกวนเจ้อจะไม่มีวันปล่อยพวกเขาไป..เรารีบไปดูกันเถอะ” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “หานหลินขับรถไปที่บ้านตระกูลชางกวนที”
ทุกคนขึ้นรถและตรงไปยังบ้านของตระกูลชางกวน ซึ่งเย่เชียนก็ไม่ได้รีบร้อนในขณะนี้และมีทัศนคติที่ค่อนข้างใจเย็นเพราะเขาได้รับหุ้นส่วนที่เหลือของบริษัททะเลสี่ทิศแล้วเขาจึงไม่ต้องรีบร้อนในขณะนี้ ยิ่งไปกว่านั้นการแสดงดีๆที่บ้านของตระกูลชางกวนก็ไม่สามารถพลาดได้อย่างแน่นอน
“ชางกวนเจ้อนี่กล้าจริงๆ..กล้าที่จะต่อสู้กับตระกูลชางกวนทั้งหมดด้วยความแข็งแกร่งของเขาเอง..ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่มีความสามารถไม่เบาเลย” เฟิงหลานพูด
“ผมได้ตรวจสอบสิ่งที่เขาทำในเครือน่านฟ้ากรุ๊ปในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแล้วและยังตรวจสอบการเคลื่อนไหวของเขาในประเทศสหรัฐอเมริกาทั้งหมดด้วยและพบว่าเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์จริงๆ..อันที่จริงแล้วตระกูลชางกวนก็ทำเกินไปเพราะไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นหลานชายคนโตของตระกูลชางกวน..ดังนั้นตระกูลก็ไม่ควรตัดหางเขาปล่อยวัดเลย” เย่เชียนพูด “แต่ตระกูลชางกวนไม่ได้อ่อนแอเพราะงั้นการที่ชางกวนเจ้อกล้าทำแบบนี้ผมคิดว่ามันต้องมีคนอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน”
“น่าเสียดายเพราะไม่ว่าจะเป็นชางกวนเจ้อหรือใครก็ตามในตระกูลชางกวนที่กล้ามารุกรานและสร้างปัญหาให้กับพวกเรามันก็ต้องพบกับจุดจบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้..ต่อให้พวกนั้นมีความสามารถแค่ไหนมันก็มีเพียงผลลัพธ์เดียวเท่านั้น” หลี่เหว่ยเม้มปากและพูด
“อย่าประมาทพวกนั้นเด็ดขาด..ระวังตัวด้วย” เย่เชียนพูด
.