ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 813 เยือนสำนักหยุนหยานเหมิน
ตอนที่ 813 เยือนสำนักหยุนหยานเหมิน
ทำไมพระนิรนามที่วัดหลิงหลงทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนจึงปลูกฝังผนึกแห่งคุณธรรมเอาไว้ในร่างกายของเย่เชียนนั้นก็ไม่มีใครทราบแต่มันก็เป็นสิ่งที่ดีเพราะมันสามารถผสมผสานเข้ากับพลังอันชั่วร้ายของเย่เชียนได้ ถึงแม้ว่าเย่เชียนจะไม่รู้จักพระภิกษุนิรนามก็ตามแต่เขากลับมอบสิ่งเหล่านี้ให้เย่เชียนอย่างไม่คาดคิด ซึ่งพลังมืดของลัทธิเต๋ากับพลังแห่งคุณธรรมนั้นแท้ที่จริงแล้วเหมือนเป็นส่วนหนึ่งดั่งเช่นครอบครัวกันเพราะอีกอย่างก็มั่นคงและอีกอย่างก็ยืดหยุ่น
เนื่องจากเย่เชียนเพิ่งจะพ่ายแพ้หยานซื่อฉุยและพลังปราณของทั้งสองก็ปะทะกันจึงทำให้มีการต่อต้านและแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้น ตอนนี้มันจึงไม่ยอมรับการควบคุมของเย่เชียนเลย เมื่อมันแข็งแกร่งขึ้นมันก็จะต่อต้านร่างกายของเย่เชียนและเมื่อนั่นเขาจะไม่สูญเสียการควบคุมไปหรอกใช่ไหม?
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ไม่ว่าเย่เชียนจะพยายามควบคุมมันมากแค่ไหนแต่มันก็ไม่เป็นผลเลย ในตอนนี้พลังปราณเริ่มหมุนเวียนเป็นเกลียวอย่างบ้าคลั่งในร่างกายของเย่เชียนและทุกๆครั้งเย่เชียนก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก อย่างไรก็ตามเขาไม่มีทางที่จะทำมันได้เลย ซึ่งสิ่งเดียวที่เขาทำได้คือต้องอดทนและรอให้พวกมันหยุดด้วยตัวเอง
หลังจากผ่านไปสักพักพลังปราณก็ค่อยๆคลายลงและค่อยๆเคลื่อนไปยังบริเวณตันเถียนของเย่เชียนและในที่สุดเย่เชียนก็นั่งลงและหวังว่าพวกมันจะหยุด ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่สามารถอดทนต่อไปได้จริงๆ ในขณะนี้เย่เชียนก็เหงื่อออกไปทั่วร่างกายราวกับว่าเขาตกลงไปในหม้อซุปอย่างไงอย่างงั้น
หลังจากที่พลังปราณมาถึงจุดตันเถียนมันก็ไม่ยอมหยุดแต่ยังหมุนไปอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งทำให้เย่เชียนหวั่นเกรงอย่างมาก สำหรับนักศิลปะการต่อสู้ตำราโบราณแล้วตันเถียนมีความสำคัญมากเพราะถ้าหากตันเถียนถูกทำลายเขาจะไม่มีทางเก็บพลังปราณเอาไว้ได้เลย ดังนั้นมันจึงเทียบเท่ากับทักษะกีฬาทั่วไปและไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้ตำราโบราณแต่อย่างใด
ที่สำคัญกว่านั้นเมื่อตันเถียนถูกทำลายร่างกายก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัสและฟื้นตัวได้ยากอย่างมาก
เย่เชียนนั้นไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไปและพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้พวกมันหยุด แต่ข้อมูลที่เย่เชียนให้มานั้นเหมือนกับก้อนหินที่จมลงไปในมหาสมุทรและมันก็ไม่ได้ตอบสนองใดๆเลยแต่มันยิ่งทำให้พลังปราณหมุนวนอย่างบ้าคลั่งและความเร็วก็เร็วขึ้นเรื่อยๆจนเย่เชียนรู้สึกเบาๆได้ว่าดูเหมือนว่าจะถึงจุดวิกฤติแล้ว ถ้ามันไม่หยุดผลที่ตามมาจะร้ายแรงมากอย่างแน่นอน ซึ่งเขาไม่มีทางทำอะไรได้เลยในตอนนี้และเขาก็ไม่สามารถหยุดได้ทันทีไม่เช่นนั้นเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส
ด้วยเสียง “ปัง” ในที่สุดพลังปราณก็ไม่สามารถทนต่อความเร็วของการหมุนและระเบิดออกมาจนเย่เชียนรู้สึกว่าหัวของเขานั้นวิงเวียนไปหมดและเกือบจะเป็นลมหมดสติไป ซึ่งเย่เชียนพยายามอย่างหนักหน่วงเพื่อที่จะบีบอัดมันเอาไว้ในจังหวะสุดท้าย
ไม่กี่นาทีต่อมาเย่เชียนก็ตกใจเมื่อพบว่าพลังปราณไหลเวียนอย่างต่อเนื่องจากร่างกายทั้งหมดไปยังบริเวณตันเถียนของเขาและบริเวณตันเถียนก็เหมือนกับวังวนขนาดเล็กที่ดูดซับพลังงานจากทุกที่ พลังปราณนี้ทำให้เย่เชียนรู้สึกงงงวยและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงการระเบิดอย่างชัดเจนในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าตันเถียนของเขาควรถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ถูกทำลายไปอย่างไร้ร่องรอยแต่เหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นนี้คืออะไร?
อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็ไม่อยากที่จะคิดอะไรมากจนเกินไป กล่าวโดยย่อตราบใดที่พลังปราณยังคงมีอยู่ที่เขาฝึกฝนมาอย่างหนักก็จะไม่สูญเปล่าใช่หรือไม่ ที่สำคัญกว่านั้นถ้าหากเย่เชียนไม่มีพลังการต่อสู้มันก็จะมีผลกระทบอย่างมากต่อเส้นทางสู่การเป็นผู้ครองโลก ถึงแม้ว่าจะพูดกันว่าศิลปะการต่อสู้นั้นไม่จำเป็นต้องใช้ฆ่าก็ตามแต่ถ้าหากไม่มีศิลปะการต่อสู้เย่เชียนก็จะรู้สึกขาดอะไรบางอย่างในชีวิตไป
พลังปราณดั่งกระแสน้ำวนที่บริเวณตันเถียนค่อยๆหยุดลงและเย่เชียนก็จ้องมองด้วยตาของเขาและเห็นว่ามีบางอย่างคล้ายกับเมล็ดถั่วเหลืองข้างในตัวของเขา ซึ่งเย่เชียนก็พยายามค้นหาและครุ่นคิดอย่างหนักหน่วงแต่ก็ไม่มีร่องรอยหรือข้อมูลอะไรเลย สิ่งที่เหมือนเมล็ดถั่วเหลืองมันก็ลอยอยู่อย่างเงียบๆทั้งขึ้นและลง ‘พลังปราณมันมีรูปร่างแบบนี้เองเหรอ?’ เย่เชียนอดคิดไม่ได้ กล่าวคือหลังปราณทั้งหมดคือสิ่งที่คล้ายกับถั่วเหลือง?
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เย่เชียนก็พยายามลองใหม่อีกครั้งและแน่นอนว่ามีร่องรอยออร่าพลังปราณออกมาจากสิ่งที่ดูเหมือนถั่วเหลืองในขณะนั้นและถึงแม้ว่าจะเป็นส่วนเล็กๆแต่เย่เชียนก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังปราณของเขามีพลังเยอะกว่าครั้งก่อนมาก เมื่อเห็นเช่นนั้นเย่เชียนก็รู้สึกตื่นเต้นมากจนเขาอยากที่จะทำเช่นนี้ทุกๆสัปดาห์
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรแต่ตราบใดที่มันไม่เจ็บปวดเย่เชียนก็ไม่สนใจที่จะกังวลเกี่ยวกับมัน อย่างไรก็ตามไม่มีใครรู้เลยเพราะพลังปราณนั้นเป็นของเย่เชียนและทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับการสำรวจและสังเกตตัวเอง ตราบใดที่ทักษะของตัวเองยังคงอยู่และยังคงก้าวหน้าแค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะดำเนินการต่อ
เมื่อเย่เชียนลืมตาขึ้นมันก็เช้าวันรุ่งขึ้นแล้วและแสงแดดก็สอดส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่างจนเย่เชียนตกใจเพราะเขาไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะใช้เวลามาทั้งคืนเพียงแค่ทำสิ่งนี้ หากเขาไม่เผชิญกับมันด้วยตัวเองเย่เชียนคงจะไม่เชื่อเลยเพราะเขารู้สึกชัดเจนว่าเวลามันผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีเอง
อย่างไรก็ตามด้วยประสบการณ์ครั้งสุดท้ายเย่เชียนก็ไม่แปลกใจเลยเพราะหลังจากลุกขึ้นมามันก็ทำให้เย่เชียนสดชื่น แต่ไม่นานเย่เชียนก็ได้ยินเสียงเคาะประตูจากด้านนอกและเมื่อเย่เชียนเปิดประตูห้องออกไปเขาก็เห็นเย่หานหลินยืนอยู่ที่ประตู “ขอโทษทีฉันเพิ่งตื่น..ขอเวลาสักครู่” เย่เชียนพูด
อย่างไรก็ตามการแสดงออกของเย่หานหลินก็ดูตกตะลึงมากและจ้องมองไปที่เย่เชียนด้วยความงุนงง “เกิดอะไรขึ้น?..มันมีอะไรผิดปกติไปหรือเปล่า?” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่เชียนก็งุนงงและแตะแก้มของเขาเบาๆเพราะคิดว่ามีบางอย่างติดอยู่ที่นั่น
“ไม่..ฉันคิดว่าบอสดูแตกต่างไปจากเมื่อวานเล็กน้อยแต่ฉันไม่สามารถบอกได้ว่ามันแตกต่างกันยังไง..มันเป็นเพียงแค่สัมผัสและความรู้สึกที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง” เย่หานหลินพูด
เย่เชียนก็ถึงกับผงะไปครู่หนึ่งและหลังจากคิดดูแล้วดูเหมือนว่ามันเกิดจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ใช่ไหม? เย่เชียนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันหล่อกว่าเดิมใช่มั้ยล่ะ..ก็ปกติฉันหล่อมาโดยตลอดแต่บางครั้งฉันก็เกลียดตัวเอง..เป็นคนหล่อมันไม่ง่ายเลยนะฉันจะบอกให้”
นิสัยของเย่เชียนที่ชอบแกล้งทำเป็นเด็กนั้นมักจะไร้สาระอย่างมากแต่เขาแค่ต้องการเปลี่ยนเรื่องเท่านั้น เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่หานหลินก็ยิ้มอย่างประหลาดใจแต่ก็ไมได้ถามอะไรใดๆอีก ซึ่งเย่หานหลินไม่ใช่คนที่เก่งเรื่องพูดตลกและเป็นคนที่ไม่เข้าใจอารมณ์ขันเลย ซึ่งเย่เชียนก็เคยเล่าเรื่องตลกให้เย่หานหลินฟังมามากมายแล้วซึ่งเขาคิดว่ามันตลกมาก แต่เมื่อถึงหูของเย่หานหลินแล้วดูเหมือนมันจะไม่ได้ขบขันเลยและเย่หานหลินก็ไม่แม้แต่จะขยับมุมปากของเขาหรือยิ้มเลยด้วยซ้ำจนบางครั้งเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเด็กคนนี้ไม่อารมร์ขันหรือปฏิกิริยาของเขาช้าเกินไป
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเย่เชียนกับเย่หานหลินก็ออกมาจากโรงแรมและโบกรถแท็กซี่เพื่อไปยังสำนักหยุนหยานเหมิน
สำนักหยุนหยานเหมินนั้นตั้งอยู่ในหุบภูเขาเทียนเหมินบริเวณชานเมืองปักกิ่งและอยู่ห่างจากตัวเมืองเกือบสองชั่วโมง ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงเป็นอันดับสามในปักกิ่งและยอดเขาก็เป็นทุ่งราบ ตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมถึงปลายเดือนสิงหาคมภูเขาเทียนเหมินจะสวยที่สุด ด้วยดอกไม้ป่าเล็กๆที่บานสะพรั่งมากมายและมีอากาศบริสุทธิ์ ซึ่งมีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับออกซิเจนตามธรรมชาติพร้อมระบบนิเวศดั้งเดิมและภูมิทัศน์ธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบ
ใช้เวลาประมาณ 2 ชม จากตีนเขาถึงยอดเขาและทั้งหมดเป็นขั้นบันไดหินและเป็นถนนที่เดินทางง่ายไม่ยาก สำนักหยุนหยานเหมินนั้นตั้งอยู่ที่ยอดเขาสูงสุดและเนื่องจากเป็นสถานที่ท่องเที่ยวดังนั้นรัฐบาลจีนจึงได้กำหนดพื้นที่สำหรับหยุนหยานเหมินเป็นพิเศษและไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปแต่อย่างใด
เมื่อมาถึงหุบเขาเทียนเหมินก็เป็นเวลาแปดโมงกว่าๆแล้วและเมื่อเย่เชียนลงจากรถและมองขึ้นไปก็มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่เดินขึ้นไปบนภูเขาเป็นกลุ่มๆ
สำนักหยุนหยานเหมินงั้นเหรอ? เย่เชียนก็ยิ้มจางๆที่มุมปากของเขาและสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วเดินขึ้นไปบนภูเขา เมื่อฉันไปถึงยอดเขาเย่เชียนก็เห็นป้ายขนาดใหญ่อยู่ไกลๆพร้อมคำว่า “นักท่องเที่ยวโปรดหยุด” เขียนเอาไว้อย่างน่าประหลาดใจและไม่ไกลจากป้ายก็มีกำแพงสูงและภายในจะสามารถเห็นอาคารหินและไม้เช่นศาลาและอยู่ในนั้น ซึ่งมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรกมักจะสับสนว่ามีอะไรอยู่ข้างในและทำไมพวกเขาถึงไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไป
เย่เชียนก็หันไปมองเย่หานหลินแล้วพูดว่า “อย่าพูดอะไรถ้าฉันยังไม่ได้อนุญาตและไม่ว่าคนอื่นจะพูดอะไรนายก็ต้องเงียบ..ฉันจะจัดการทุกอย่างเองเข้าใจมั้ย?..ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นพวกเราสองคนไม่รอดแน่!”
เย่หานหลินก็พยักหน้าอย่างหนักหน่วงและไม่พูดอะไรใดๆ
เย่เชียนก็พยักหน้าเล็กน้อยและเดินไปที่กำแพงและเมื่อเย่เชียนไปถึงประตูรั้วเขาก็เห็นคนสองคนอยู่ในห้องรักษาความปลอดภัยแต่ไกลและเดาว่าพวกเขาน่าจะเป็นลูกศิษย์ของสำนักหยุนหยานเหมิน ซึ่งทั้งสองก็มองมาที่เย่เชียนกับเย่หานหลินแล้วถามว่า “พวกคุณเห็นป้ายข้างนอกนั่นมั้ย?..ที่นี่คือพื้นที่ส่วนตัวและไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไป!”
เป็นทัศนคติที่หยิ่งผยองมาก อย่างไรก็ตามเย่เชียนก็จะอดทนเอาไว้เพราะเขายังไม่อยากไปพบเทพแห่งความตายในตอนนี้ หากเกิดอะไรขึ้นมันจะรับมือได้ยากมาก “ผมชื่อเย่เชียนจากตระกูลเย่..ผมมาเยี่ยมท่านอาจารย์ของสำนักหยุนหยานเหมิน..ท่านฮัวหยาซินตามคำสั่งของผู้อาวุโส” เย่เชียนพูดขณะที่เขายื่นซองจดหมายให้
ทั้งสองก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะและมองดูจดหมายด้านในและหลังจากยืนยันว่าถูกต้องแล้ว พวกเขาก็พูดสองสามคำกับเครื่องส่งรับวิทยุ จากนั้นก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนและเย่หานหลินแล้วพูดว่า “เชิญเข้ามาได้!”
จากตรงนี้ยังห่างจากทางเข้าอาคารหลักของสำนักหยุนหยานเหมินอยู่พอสมควร ซึ่งมีอนุสาวรีย์หินอยู่ตรงกลางและมีศาลาอยู่ข้างๆ ซึ่งคนเฝ้าประตูเหล่านั้นก็เดินนำเย่เชียนกับเย่หานหลินเข้าไปข้างใน ซึ่งเมื่อพวกเขาไปถึงรูปปั้นศิลาเย่เชียนก็มองไปเห็นตัวอักษรตัวใหญ่สามตัวเขียนว่า “หยุนหยานเหมิน!”