ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 1007 เห็นใจ
ตอนที่ 1007 เห็นใจ
……………………………………………………………………..
สิ่งที่หวังฉิงเซิงกังวลมากที่สุดในตอนนี้คือวิธีการติดต่อกับคนในตระกูลโอ่วหยางเพราะเมื่อได้ยินคำพูดของหวังหว่านยู่แล้วหวังฉิงเซิงก็คิดว่ามันถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วเพราะไม่มีใครอยากเป็นสุนัขรับใช้ไปตลอดและทั้งเขากับหวังหว่านยู่ก็เหมือนกัน ซึ่งตราบใดที่เขาสามารถติดต่อคนในตระกูลโอ่วหยางและบอกสถานการณ์และแผนการของหวังหว่านยู่ได้ล่ะก็อาจจะมีผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดหรือแม้แต่การได้ขึ้นเป็นราชาแห่งภาคตะวันตกเฉียงเหนือคนต่อไปแทนหวังหว่านยู่ก็เป็นได้
หลังจากสนทนาสั้นๆกับหวังหว่านยู่แล้วกับหวังหว่านยู่แล้วก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างเช่นกัน ดังนั้นหลังจากออกจากคฤหาสน์ของหวังหว่านยู่มาคิ้วของคิ้วของก็ขมวดเข้าหากันแน่น เมื่อเห็เป็นแบบนี้หลี่เหว่ยก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “บอสสิ่งที่เราทำเมื่อกี้นี้มันทำให้หวังหว่านยู่ต้องเสียหน้าอย่างมากเพราะงั้นพี่สะใภ้จะไม่เป็นอันตรายหรอกเหรอ?”
นี่เป็นปัญหาจริงๆเพราะเมื่อพิจารณาว่าหวังหว่านยู่ที่ได้รับความอัปยศอดสูอย่างมากในตอนนี้ก็มีความเป็นไปได้ที่จือเหวินจะมีอันตราย ดังนั้นหลี่เหว่ยจึงกังวลอย่างมากเพราะถ้าหากจือเหวินเป็นอะไรไปเขาเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
ทางด้านของม่อหลงและชิงเฟิงก็กังวลเช่นกัน จากนั้นจากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “ถ้าฉันคิดไม่ผิดล่ะก็จือเหวินไม่ได้อยู่กับหวังหว่านยู่..ตอนที่ฉันได้คุยกับเขาฉันก็คิดว่าด้วยความหยิ่งผยองและความมั่นใจในตัวเองของหวังหว่านยู่นั้นเขาจะไม่มีวันยอมและจะเอาจือเหวินมาข่มขู่เราถ้าหากเธออยู่ในกำมือของเขาจริงๆจะต้องกดดันดันโดยไม่ลังเลเลย แต่เมื่อฉันกดดันและคุกคามเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเขากลับแสดงความประหม่าออกมาและนี่ก็เป็นเหตุผลที่ฉันคิดว่าจือเหวินไม่ได้อยู่กับเขาเหมือนที่เขาบอก!”
“แล้วทำไมหวังฉิงเซิงถึงบอกว่าพี่สะใภ้อยู่กับหวังหว่านยู่ล่ะ” ชิงเฟิงพูด
“ฉันลองสังเกตการณ์แสดงของหวังฉิงเซิงอย่างระมัดระวังแล้วและถึงแม้ว่าจะดูเหมือนไม่มีอะไรแต่ภายในดวงตาของเขาไม่สามารถหลอกฉันได้..มันคือแววตาของคนทรยศ..ฉันคิดว่าเราควรระวังหวังฉิงเซิงเอาไว้เพราะเขาเจ้าเล่ห์เกินไปและไม่รู้เลยว่าเขากำลังวางแผนอะไรอยู่” เย่เชียนพูดอย่างช้าๆ “จำที่เล่าให้ฟังเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองซีจิงได้มั้ยว่าเมื่อสิบปีก่อนหวังฉิงเซิงเดิมทีเป็นแค่สุนัขรับใช้ของเฉินฉิงหนิวแต่สุดท้ายเขาก็แว้งกัดเจ้านายและดูเหมือนว่าตอนนี้เขาก็กำลังจะทำมันอีกครั้งโดยการแว้งกัดหวังหว่านยู่..อีกอย่างฉันไม่เชื่อหรอกว่าหวังฉิงเซิงจะไม่เกลียดฉันเพราะเขาแค่ต้องการให้ฉันต่อสู้กับหวังหว่านยู่เพื่อที่เขาจะได้รับประโยชน์จากมัน”
“ถ้าอย่างนั้นเป็นไปได้มั้ยที่จือเหวินจะอยู่กับหวังฉิงเซิง?” ม่อหลงถาม
“มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เพราะเขาอาจจะลักพาตัวจือเหวินไปเพราะต้องการใส่ร้ายป้ายสีหวังหว่านยู่และก่อให้เกิดสงครามระหว่างทั้งสองฝ่าย” เย่เชียนพูด “อย่างไรก็ตามด้วยความฉลาดของหวังฉิงเซิงเขาอาจจะไม่เลือกทำแบบนั้นเพราะถ้าหากจือเหวินยู่กับเขาจริงๆล่ะก็เขาสามารถมอบจือเหวินให้เราโดยตรงแล้วโยนความผิดให้หวังหว่านยู่..ซึ่งถ้าหากเป็นกรณีนี้ฉันจะไม่มีข้อสงสัยใดๆเลยแต่ตอนนี้ฉันคิดว่าจือเหวินไม่ได้อยู่กับทั้งสองคนนั้นเลย”
“แล้วเธออยู่ที่ไหนล่ะ?” หลี่เหว่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“ฉันคิดว่ามันน่าจะมีอีกฝ่ายอยู่ในเมืองซีหนิงแต่เรารู้เรื่องของที่นี่น้อยเกินไปและดูเหมือนว่าเมืองซีหนิงจะไม่ได้สงบสุขอย่างที่เราคิด” เย่เชียนพูดและหลังจากหยุดไปชั่วขณะเขาก็หายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “หลี่เหว่ยจับตาดูหวังฉิงเซิงด้วย..ถึงฉันจะคิดว่าจือเหวินไม่ได้อยู่กับเขาก็ตามแต่เขาเจ้าเล่ห์เกินไป..ต่อหน้าฉันกับหวังหว่านยู่แล้วเขายังสามารถรักษาความสงบแบบนั้นได้อยู่ซึ่งแตกต่างไปจากตอนที่เขาอยู่ในเมืองซีจิงไปอย่างสิ้นเชิง..เรื่องนี้มันไม่ง่ายอย่างที่เราคิดแน่นอน..แต่เราอาจใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งระหว่างเขากับหวังหว่านยู่ได้และปล่อยให้พวกนั้นกัดกันเอง”
หลี่เหว่ยก็พยักหน้าอย่างหนักหน่วงและพูดว่า “บอสไม่ต้องกังวลไปเพราะผมจะทำให้ดีที่สุด”
“ดี” เย่เชียนก็พยักหน้าเล็กน้อยจากนั้นก็มองไปที่ม่อหลงแล้วพูดว่า “พี่ม่อหลงไปสืบสถานการณ์ของตระกูลโอ่วหยางมาเพราะผมคิดว่าการที่หวังหว่านยู่อยู่ในดินแดนภาคตะวันตกเฉียงเหนือได้ส่วนใหญ่นั้นก็เป็นเพราะการสนับสนุนของตระกูลโอ่วหยาง..ซึ่งตระกูลโอ่วหยางนั้นเป็นตระกูลศิลปะการต่อสู้จีนโบราณและถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับแวดวงทหารก็ตามแต่พวกเขาก็มีอิทธิพลอย่างมากในแวดวงธุรกิจและการเมืองในภาคตะวันตกเฉียงเหนือและเราไม่สามารถละเลยพวกเขาได้”
“ใช่!..ดูเหมือนว่าเราจำเป็นต้องไปหาหยานตงเพราะเขาช่วยเราได้มากตอนที่พวกเราอยู่ในประเทศญี่ปุ่น..เขายังอุตส่ามาเยี่ยมผมตอนที่ผมได้รับบาดเจ็บด้วย..การที่เรามาเยือนภาคตะวันตกเฉียงเหนือแบบนี้แล้วถ้าเราไม่ไปเยี่ยมเขาล่ะก็ดูจะเสียมารยาทไปหน่อย” เย่เชียนพูด “ชิงเฟิงไปเลือกของขวัญให้ฉันทีและไปหาหยานตงกันเถอะ”
“บอสไม่ได้หมายถึงลัทธิมารของซินเจียงใช่มั้ย?..ถ้าแบบนั้นพวกเราคงจะเสียเวลาเปล่า..ยิ่งไปกว่านั้นพี่สะใภ้ก็ยังตกอยู่ในอันตรายแบบนี้มันจะดีเหรอ?” ชิงเฟิงพูดและเขาก็ไม่สงสัยเลยและมันไร้สาระมากเพราะเมืองซีหนิงอยู่ห่างจากเขตปกครองตนเองซินเจียงมาก หากไปจากที่นี่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆห้าหรือหกวันในการไปกลับและตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ในเมืองซีหนิงจะเป็นอย่างไรและจือเหวินจะเป็นอันตรายหรือเปล่า?
เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มจางๆว่า “เมืองซีหนิงเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตกเฉียงเหนือและเมืองซีหนิงเองก็ต้องมีฐานทัพด้วยเหมือนกัน..เพราะงั้นฉันจะติดต่อไปหาหยานตงและถ้าเขาอยู่ในเมืองซีหนิงเราก็จะไปหาเขา..บางทีเขาอาจช่วยเราได้มากเพราะท้ายที่สุดพวกเขาก็คุ้นเคยกับดินแดนแห่งนี้มากกว่าพวกเรามากเพราะงั้นถ้าเราไม่ลองก็ไม่มีทางรู้ได้หรอก”
ชิงเฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและไม่พูดอะไรอีกเพราะแท้ที่จริงแล้วหากพวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากคนในท้องถิ่นล่ะก็สิ่งต่างๆในเมืองซีหนิงจะราบรื่นขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยและนอกจากนี้หวังหว่านยู่ยังเป็นสุนัขของตระกูลโอ่วหยางอีกด้วย ดังนั้นหากเราต้องการกำจัดหวังหว่านยู่ล่ะก็มันจะส่งผลกระทบต่อตระกูลโอ่วหยางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นหากมีลัทธิมารเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยบางทีสิ่งต่างๆอาจจะง่ายดายกว่าที่คิดก็เป็นได้
หลังจากหยุดไปชั่วขณะเย่เชียนก็พูดต่อ “ทุกคนหาที่พักใหม่ได้เพราะฉันคิดว่าหวังหว่านยู่คงจะไม่ยอมอยู่เฉยๆอย่างแน่นอน”
“บอสครับเราจำเป็นต้องกลัวเขาด้วยงั้นเหรอ?..ทำไมเราถึงต้องซ่อนด้วย?..ถ้าเขาโผล่หน้ามาเราก็แค่ฆ่าเขาให้เรื่องมันจบๆไป” หลี่เหว่ยตะโกน
“ไม่ใช่ว่าฉันกลัวแต่ฉันแค่ไม่อยากมีปัญหาในตอนนี้..อีกอย่างตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่เราจะเผชิญหน้ากับหวังหว่านยู่เพราะฉันไม่อยากที่จะเป็นตัวหมากของหวังฉิงเซิงนายเข้าใจใช่มั้ย?” เย่เชียนพูดและจากนั้นไม่นานเขาก็อดไม่ได้ที่จะหยุดชะงักและสีหน้าของเขาก็ดูตกตะลึงอย่างมาก เพราะเมื่อเขามองออกไปข้างนอกหน้าต่างเขาก็เห็นร่างที่คุ้นเคยนั่งกินข้าวอยู่กับชายคนหนึ่งอย่างชัดเจน
“จอดรถก่อน!..ทุกคนกลับไปกันก่อน..ฉันมีบางอย่างที่ต้องทำ” เย่เชียนพูด
“บอสจะให้ฉันไปด้วยหรือเปล่า?” ม่อหลงถาม
“ไม่จำเป็น..ผมจะไปคนเดียวไม่ต้องห่วง” เย่เชียน
รถก็จอดอย่างช้าๆและเย่เชียนก็เปิดประตูออกไปแล้วเดินกลับไปที่ร้านอาหารที่เขาเพิ่งผ่านไปมา ซึ่งใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความสุขที่อธิบายไม่ถูกว่าจะมาพบเธอที่นี่และเมื่อเขาไปถึงร้านอาหารเย่เชียนก็เดินเข้าไปช้าๆด้วยรอยยิ้มที่มุมปากของเขา เย่เชียนนั้นไม่ใช่คนใจแคบเพราะงั้นเขาจะไม่โกรธที่หลินโรวโร่วกินข้าวกับผู้ชายคนอื่น อย่างไรก็ตามหลินโรวโร่วก็กำลังทำโครงการกองทุนเพื่ออนาคตอยู่แต่ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่? ครั้งล่าสุดฉินหยูบอกว่าหลินโรวโร่วอยู่ที่หยุนหนานไม่ใช่เหรอ?
สำหรับมูลนิธิกองทุนเพื่ออนาคตนั้นสามารถพูดได้ว่าหลินโรวโร่วทำงานหนักเพราะเธอรู้ว่าสิ่งนี้มีความปรารถนาของเย่เชียนผสมอยู่ เมื่อตอนที่เย่เชียนยังเป็นเด็กเขาไม่ได้เรียนต่อในโรงเรียนด้วยเหตุผลต่างๆนานา ดังนั้นเย่เชียนจึงจัดตั้งมูลนิธิกองทุนนี้ขึ้นมา ซึ่งเดิมทีหลินโรวโร่วนั้นเป็นคนที่มีจิตใจที่ดีงามและเธอมักจะยื่นมือออกมาช่วยคนอื่นโดยไม่ลังเลและเธอก็ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อทำให้ตัวเองสามารถช่วยเหลือได้มากขึ้น
ใครไม่เคยเผชิญความยากลำบากจะไม่รู้ถึงความทุกข์ยาก
เมื่อไม่กี่วันก่อนหลินโรวโร่วเพิ่งทำโครงการสนับสนุนที่โรงเรียนประถมในยูนนาน เดิมทีเธออยากไปเมืองซานย่าเพื่อไปเยี่ยมครอบครัวของเย่เชียน เพราะเธอได้ยินจากปากของฉินหยูว่าครอบครัวที่แท้จริงของเย่เชียนอยู่ในเมืองซานย่า ดังนั้นหลินโรวโร่วจึงกระตือรือร้นที่จะได้พบกับแม่ของเย่เชียน เพราะเธอหวังที่จะได้เจอแม่ของสามีมาตั้งนานแล้วและหวังว่าจะได้รับการยอมรับจากแม่ของเย่เชียน
อย่างไรก็ตามเมื่อซ่งหลันบอกว่าเย่เชียนมาที่เมืองซีหนิงแล้วหลินโรวโร่วก็ไม่ลังเลและขับรถมาที่นี่เพราะเธอคิดถึงเย่เชียน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนที่มีฐานะและมังคั่งในเมืองซีหนิงมากมายดังนั้นเธออาจจะสามารถระดมทุนมูลนิธิจำนวนมากได้ แต่ใครจะไปรู้ว่าเธอจะเจอคนที่หยิ่งผยองและในเวลานี้หลินโรวโร่วก็ปรารถนาให้เย่เชียนอยู่เคียงข้างเธอจริงๆ
.
.
.