ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 1006 อุบาย
ตอนที่ 1006 อุบาย
……………………………………………………………………..
ในเวลานี้คนที่ตื่นเต้นที่สุดคือหวังฉิงเซิงเพราะเขาตั้งหน้าตั้งตารอให้เกิดสงครามระหว่างทั้งสองมานานแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นทั้งสองฝ่ายจะต้องทนทุกข์ทรมานและเขาจะเป็นคนที่ยืนอยู่ตรงกลางโดยไม่ต้องทำอะไรทุกอย่างก็จะเป็นไปอย่างราบรื่นและเขาจะได้สิ่งที่เขาต้องการอย่างง่ายดาย
แน่นอนว่าหวังหว่านยู่ไม่คิดว่าเย่เชียนจะใช้อุบายแบบนี้กับเขาจริงๆและมันเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดสำหรับเขา เพราะการที่มีนักแม่นปืนสไนเปอร์อยู่ที่ด้านนอกและมีคนที่พกระเบิดพลีชีพมาขนาดนี้ทำให้เขาประหลาดใจอย่างมาก แต่เขาก็ไม่อยากเสียหน้าเสียศักดิ์ศรีในเวลานี้และนอกจากนี้เขาก็ไม่เชื่อว่าเย่เชียนกล้าที่จะตายไปพร้อมกับเขาจริงๆ
เมื่อคนเรานั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงถึงจุดหนึ่งพวกเขาจะกลัวความตายดังนั้นใครจะยอมสละชีวิตที่ดีไป? ยิ่งมีทุกอย่างยิ่งประสบความสำเร็จก็ยิ่งมีความกังวลและความกลัวเสมอและหวังหว่านยู่ก็เชื่อว่าเย่เชียนกลัวความตายเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงกล้าเดิมพันว่าเย่เชียนไม่กล้าตายไปพร้อมกับเขาจริงๆ
“ถ้าแกกล้าก็ฆ่าฉันซะสิ..ฉันบอกเลยว่าแกจะไม่สามารถออกไปจากที่นี่แบบยังมีชีวิตได้” หวังหว่านยู่พูด
“งั้นมาเดิมพันกันมั้ยล่ะ?” เย่เชียนพูด
เมื่อได้ยินแบบนั้นเหล่าลูกน้องของหวังหว่านยู่ต่างก็เสียสติและหวาดกลัวอย่างมากจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี พวกเขานั้นไม่อยากจะเชื่อคำพูดของหวังหว่านยู่จริงๆเพราะถ้าหากเย่เชียนทำแบบนั้นจริงๆพวกเขาจะไม่ตายไปด้วยเหรอ? ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่าไม่พวกเขาจะกลัวว่าหลังจากเหตุการณ์นี้จบลงหวังหว่านยู่จะไม่ปล่อยพวกเขาไปก็ตามถึงยังไงพวกเขาก็กลัวตายไปอย่างไร้ประโยชน์อยู่ดี
“ก็มาสิวะ..ฉันฝ่าความตายมาหลายครั้งแล้วและฉันก็ไม่กลัวตาย!..ฉันไม่มีบ้าน..ฉันไม่มีครอบครัวเพราะงั้นมันไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงเลยสักนิด..แกล่ะ?..กล้าที่จะตายไปพร้อมกับฉันหรือเปล่า?” หลี่เหว่ยพูด ประโยคนี้ไม่ใช่การข่มขู่เพราะหลี่เหว่ยคิดที่จะทำแบบนั้นจริงๆเพราะไม่มีใครในเขี้ยวหมาป่าที่กลัวความตายเลยสักคน
“ปัง” มีเสียงปืนดังขึ้นอีกนัดและหนึ่งในลูกน้องของหวังหว่านยู่ก็ล้มลงทันทีและนั่นเป็นเพราะเย่เชียนส่งสัญญาณลับให้ม่อหลง เมื่อเห็นแบบนี้หวังหว่านยู่ก็สับสนและไม่รู้จะต้องทำอย่างไรต่อ
ในตอนนี้หวังหว่านยู่รู้สึกประหม่าอย่างมากเพราะดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาคาดการเอาไว้จะผิดพลาดไปหมดและรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่บ้าบิ่นอย่างเย่เชียน ซึ่งตอนนี้หวังหว่านยู่ก็คิดที่จะหาทางหลีกเลี่ยงเหตุการณ์เหล่านี้แล้วค่อยคิดวิธีเพื่อแก้แค้นทีหลัง
“เย่เชียนแกมันช่างโง่จริงๆ..แกเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่แกก้าวออกไปจากที่นี่?” หวังหว่านยู่พูดด้วยความโกรธเกรี้ยวแต่ถึงแม้ว่าเขาจะโกรธแค่ไหนแต่เขาก็ต้องหาทางรอดไปให้ได้
เย่เชียนนั้นไม่ได้ต้องการข่มขู่หวังหว่านยู่แต่ต้องการเผชิญหน้ากับเขาจริงๆ ถึงแม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้พบกันแต่เย่เชียนก็ชัดเจนมากว่าคนที่อยู่ในตำแหน่งแบบนี้อย่างหวังหว่านยู่จะไม่สามารถยอมรับสิ่งต่างๆได้จริงๆและหวังหว่านยู่ก็คงจะไม่โง่พอที่จะตายไปพร้อมกับเขา ดังนั้นเย่เชียนจึงกล้าเสี่ยงเดิมพันเพราะนอกจากนี้ในการสนทนากับหวังหว่านยู่แล้วเย่เชียนยังสามารถเห็นเบาะแสและความจริงบางอย่างผ่านการแสดงออกของหวังหว่านยู่ ควบคู่ไปกับการแสดงออกของหวังฉิงเซิงที่ดูประหม่าอย่างมาก ถึงแม้ว่าหวังฉิงเซิงจะซ่อนมันเอาไว้ได้ดีแต่เย่เชียนก็ยังสามารถรู้ได้อยู่ดีโดยเฉพาะในสายตาของหวังฉิงเซิง
“ถ้างั้นผมจะไม่รบกวนคุณแล้วแต่อย่ามาพูดว่าภาคตะวันตกเฉียงเหนือเป็นถ้ำเสือของคุณเพราะผมจะทำให้คุณเห็นว่าที่นี่มันไม่ใช่ดินแดนของคุณ..แต่ถ้าหากคุณต้องการที่จะสู้กับผมล่ะก็เชิญหามาผมได้เลย..ส่วนใครจะอยู่หรือใครจะตายเดี๋ยวเราก็ได้รู้เอง” เย่เชียนพูด
“ฉันไม่มีความคิดเห็นอะไรทั้งนั้น” หวังหว่านยู่พูด “ไปได้แล้ว!”
“ถ้างั้นผมต้องรบกวนคุณให้ไปส่งผมที่ข้างนอกด้วย” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ
เมื่อได้ยินแบบนั้นหวังหว่านยู่ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆแต่ไม่ได้พูดอะไรเพราะถ้าหากพลาดไปหนึ่งก้าวเขาอาจจะตายได้ทุกเมื่อ ซึ่งตอนนี้เย่เชียนได้เปรียบอย่างมากและตอนนี้ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำตัวหยิ่งผยอง ดังนั้นหวังหว่านยู่จึงเดินนำไปอย่างหมดหนทาง
เมื่อเขาไปถึงที่รถเย่เชียนก็เหลือบมองไปที่หวังหว่านยู่แล้วเอนตัวเข้าไปที่ข้างๆหูของหวังหว่านยู่แล้วกระซิบว่า “รู้เอาไว้ซะนะว่าคนที่จะฆ่าคุณจริงๆคือคนที่อยู่ใกล้ตัวคุณเอง..ผมไม่ได้ต้องการที่จะเป็นศัตรูกับคุณแต่ถ้าคุณอยากเผชิญหน้ากับผมล่ะก็ได้ทุกเมื่อ!” หลังจากพูดจบเย่เชียนก็เดินขึ้นรถไป
แต่จู่ๆหลี่เหว่ยก็ปลดชุดระเบิดพลีชีพออกจากตัวเขาแล้วโยนมันเข้าไปในคฤหาสน์พร้อมกับตะโกนว่า “ไอ้พวกสวะ!” จากนั้นก็รีบวิ่งขึ้นรถไป
เมื่อเห็นแบบนั้นทุกคนรวมทั้งหวังหว่านยู่และหวังฉิงเซิงกับเหล่าลูกน้องทำหมดก็หมอบลงกับพื้นด้วยความตกใจเมื่อเห็นหลี่เหว่ยขว้างระเบิดเข้ามา อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่นานระเบิดก็ไม่ตอบสนองใดๆเลยและทุกคนก็หวาดกลัวจนตัวสั่นพร้อมกับงุนงงไปพร้อมๆกัน
เย่เชียนและคนอื่นๆจะโง่เง่าขนาดนั้นเลยหรือ? มันคงจะสิ้นคิดเกินไปที่จะตายไปพร้อมๆกับหวังหว่านยู่เพราะนั่นจะเป็นการลดคุณค่าของเขาเอง แน่นอนว่าระเบิดทั้งหมดเป็นแค่ของปลอมและเย่เชียนก็คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าหวังหว่านยู่จะไม่กล้าเสี่ยงเดิมพันกับเขา สิ่งเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่าเย่เชียนเดาถูกเพราะในฐานะคนที่ประสบความสำเร็จแล้วพวกเขาจะกลัวความตายและถ้าหากเขาพอใจกับสถานะที่เป็นอยู่เขาก็จะกลัวสูญเสียสิ่งที่มีไป
หลังจากรอเป็นเวลานานก็ไม่มีเสียงของระเบิดดังนั้นหวังหว่านยู่จึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองไปทางระเบิดแล้วสั่งลูกน้องของเขาว่า “ทำไมพวกแกถึงไม่รีบเอามันออกไป..อย่ามัวแต่ดูกันสิวะ..ฉันจ้างพวกแกมาเพื่ออะไรพวกแกมันไร้ประโยชน์จริงๆ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นลูกน้องของหวังหว่านยู่ก็ตัวสั่นและคลานไปยังระเบิดราวกับว่าหัวใจของพวกเขากำลังจะหลุดออกมา หากระเบิดมันทำงานในเวลานี้พวกเขาคงจะตายจริงๆโดยไม่มีแม้แต่ร่างให้ทำพิธีทางศาสนา เมื่อหวังหว่านยู่พูดออกมาพวกเขาก็พยายามรวบรวมความกล้ามองดูระเบิดอย่างระมัดระวังแล้วพูดว่า “หัวหน้าครับระเบิดเป็นของปลอม!” ลูกน้องคนหนึ่งพูดอย่างโล่งใจ
หวังหว่านยู่ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วลุกขึ้นยืนมองดูลูกน้องของเขาจากนั้นก็พูดด้วยความโกรธว่า “พวกแกมันไร้ประโยชน์จริงๆ..ขนาดมีคนมาคุกคามฉันถึงที่นี่แต่พวกแกยังไม่สามารถทำอะไรได้..ถ้าฉันอยู่ข้างนอกล่ะก็ฉันไม่รู้เลยว่ามันจะเป็นยังไง!..ฉันใช้เงินไปมากมายเพื่อให้พวกแก..พวกแกมันเลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ”
คนเราบางครั้งต้องยอมก้มหน้าลงยอมรับความผิดพลาดและความอัปยศต่างๆเมื่ออยู่ภายใต้ใครสักคน ถึงแม้ว่าราชาแห่งภาคตะวันตกเฉียงเหนือหวังหว่านยู่จะเป็นคนป่าเถื่อนมาโดยตลอดแต่เขาก็ดีในเรื่องการสนับสนุนลูกน้องทางด้านการเงิน ดังนั้นถึงแม้ว่าเหล่าลูกน้องของเขาจะไม่พอใจมากเกี่ยวกับทัศนคติของเขาแต่พวกเขาก็สามารถปล่อยผ่านได้ แต่ตอนนี้เขาถูกเย่เชียนหยามศักดิ์ศรีแบบนี้แล้วเขาจะยืนอยู่ต่อหน้าลูกน้องของเขาอย่างสง่าผ่าเผยได้อย่างไร?
เมื่อเข้าไปในคฤหาสน์แล้วหวังหว่านยู่ก็ยังคงเต็มไปด้วยความโกรธและกวาดสายตามองไปยังลูกน้องที่อยู่ข้างหน้าเขาและพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ไอ้พวกไร้ประโยชน์..ทำไมพวกแกถึงไม่ทำอะไรสักอย่างเลย?..ฉันไม่เชื่อหรอกว่าพวกมันจะกล้าตายไปพร้อมๆกันจริงๆ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเหล่าลูกน้องจะกล้าพูดอะไรที่ไหนและได้แต่แอบคิดในใจว่า ‘ไอ้บ้าเอ๊ย..ใครกันแน่ที่กลัวจนหัวหดเป็นคนแรก!’ แต่พวกเขาก็ทำได้แต่คิดแต่ไม่กล้าพูดออกมาจริงๆ
“หัวหน้าครับเย่เชียนมันบ้าบิ่นเกินไป..ปล่อยมันไปเถอะ!” หวังฉิงเซิงพูด
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เย่เชียนพูดกับตัวเองก่อนหน้านี้คิ้วของหวังหว่านยู่ก็ขมวดเข้ากันทันทีเพราะเขารู้สึกว่าเย่เชียนนั้นไม่ธรรมดาจริงๆและต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลังเขาอย่างแน่นอน จากนั้นเขาก็หันไปมองหวังฉิงเซิงแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “หวังฉิงเซิงจำเอาไว้นะว่าแกเป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งที่อยู่กับฉัน..ฉันจะฆ่าแกตอนไหนก็ได้ที่ฉันต้องการแต่ตอนนี้แกยังมีประโยชน์บางอย่างกับฉันเพราะงั้นฉันถึงยังเลี้ยงแกเอาไว้..ฉันเตือนแกไปแล้วว่าอย่าลับหลังฉันเพราะถ้าฉันรู้ว่าแกหักหลังฉันล่ะก็แกน่าจะรู้นะว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง?”
“ครับ..ครับหัวหน้า” หวังฉิงเฉิงตอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ผมไม่กล้าทำอะไรไร้สาระแบบนั้นหรอกครับ..ผมแค่หวังว่าจะสามารถทำงานภายใต้หัวหน้าและมีชีวิตที่ดีเท่านั้นครับ” แต่เขาก็คิดอย่างลับๆว่า ‘หืม..หยิ่งผยองไปเถอะเพราะอีกไม่นานแกจะต้องสูญเสียทุกอย่างไป!”
หวังหว่านยู่ก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกว่า “ค้นหาที่อยู่ของเย่เชียนมาเดี๋ยวนี้!..ฉันจะฆ่าพวกมันและทำให้พวกมันหายไปจากโลกใบ้นี้โดยไม่มีหลุมฝังศพ!..มันกล้าที่จะมาเย้ยหยันฉันถึงหน้าถ้ำเสือเพราะงั้นพวกแกไปเตรียมคนทั้งหมดและปืนหนักมาเท่าที่จะหาได้เพราะฉันจะไปฆ่าหยานซื่อฉุยด้วย!”
“แต่หัวหน้าบอกว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลโอ่วหยางด้วยไม่ใช่เหรอ?..จะเป็นยังไงถ้าตระกูลโอ่วหยางตอบโต้พวกเรา?” หวังหว่านยู่พูด
“นี่แกจะสอนฉันอย่างงั้นเหรอ?..มันไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นฝีมือของเราเพราะงั้นตระกูลโอ่วหยางจะทำอะไรฉันได้?..หรือถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าฉันทำก็เถอะแต่ยังไงก็ไม่มีหลักฐานอยู่ดี..ซึ่งบางทีถ้าฉันฆ่าหยานซื่อฉุยได้ล่ะก็ตระกูลโอ่วหยางอาจจะขอบคุณฉันก็ได้” หวังหว่านยู่พูดต่อ “ไปกันได้แล้ว..ถ้ามีอะไรผิดพลาดฉันจะรับผิดชอบเอง!”
แน่นอนว่าหวังฉิงเซิงนั้นต้องการให้หวังหว่านยู่ทำแบบนี้อยู่แล้วและเขาก็มีความสุขมากที่ได้ยินหวังหว่านยู่พูดแบบนี้เพียงแต่เขาซ่อนมันเอาไว้ในใจเท่านั้น
.
.
.
.