ยอดนักรบจอมราชัน - ตอนที่ 1005 ฟังความจริง
ตอนที่ 1005 ฟังความจริง
……………………………………………………………………..
เมื่อเข้าไปในคฤหาสน์แล้วเย่เชียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเมื่อเห็นใบหน้าของหวังหว่านยู่ที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด ส่วนหวังฉิงเซิงก็แสร้งยิ้มอย่างสุภาพเพราะในเวลานี้เขาไม่กล้าแสดงให้เห็นว่าเขารู้จักเย่เชียน ซึ่งเขาไม่รู้ว่าหวังฉิงเซิงจะคิดอย่างไรถ้าเขารู้ว่าตัวเองร่วมมือกับเย่เชียน ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เป็นเวลาที่สำคัญดังนั้นหวังฉิงเซิงจึงไม่กล้าที่จะทำผิดพลาดใดๆทั้งสิ้น
“หัวหน้าครับคุณเย่มากแล้ว” หวังฉิงเซิงพูด
เมื่อได้ยินแบบนั้นหวังหว่านยู่ก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองเย่เชียนกับหลี่เหว่ยซึ่งดวงตาของเขาดูถูกเหยียดหยามอย่างมากแต่เขาไม่ได้พูดเพราะเขาจะทำให้เย่เชียนหวาดกลัว จากนั้นเย่เชียนก็นั่งลงตรงข้ามกับหวังหว่านยู่ส่วนหลี่เหว่ยก็ยืนข้างๆเขาอย่างเป็นธรรมชาติ
หลังจากนั้นไม่นานหวังหว่านยู่ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆพร้อมกับขมวดคิ้วและมองไปที่เย่เชียนแล้วพูดว่า “คุณคือเย่เชียนใช่หรือเปล่า?” อันที่จริงแล้วเขาตกใจเล็กน้อยเพราะเดิมทีเขาคิดว่าเย่เชียนจะเป็นชายวัยกลางคนแต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าเย่เชียนจะยังหนุ่มยังแน่นถึงขนาดนี้ ต่อให้เย่เชียนจะแข็งแกร่งแค่ไหนหรือมีความสามารถมากแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถที่จะรวมหงเหมินกรุ๊ปกับแก๊งชิงให้เป็นหนึ่งได้ ดังนั้นเขาจึงตระหนักได้แล้วว่าเย่เชียนคงจะไม่ใช่ชายหนุ่มธรรมดาๆ เพราะขนาดเขาเองที่เป็นถึงราชาแห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังไม่กล้าที่จะหยิ่งผยองในดินแดนของคนอื่นเหมือนกับเย่เชียนเลย
บางทีนี่อาจเป็นเพราะความหยิ่งผยองและความมั่นใจในตัวเองมากเกินไปเพราะเขาเคยแต่ทำตัวโออ่าและมีอำนาจแต่ในดินแดนของตัวเองและบางทีเขาอาจจะขี้ขลาดเหมือนไส้เดือนเมื่อเขาออกจากดินแดนของตัวเองก็เป็นได้
“ใช่ครับ” เย่เชียนตอบด้วยรอยยิ้มที่สงบเสงี่ยม
“นี่คือภาคตะวันตกเฉียงเหนือแล้วคุณมาทำอะไรที่นี่?” หวังหว่านยู่แห่งภาคตะวันตกเฉียงเหนือพูดว่า “ที่นี่ไม่ต้อนรับคุณและถ้าหากไม่ใช่เพราะคุณส่งคำทักทายมาก่อนล่ะก็เราคงไม่มีวันได้มานั่งคุยกันแบบนี้อย่างแน่นอน..เอาเถอะถ้าคุณมีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะ..ฉันยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ”
หยิ่งผยองและโออ่าสมฐานะนี่คือความประทับใจครั้งแรกของเย่เชียนที่มีต่อหวังหว่านยู่ แน่นอนว่าเย่เชียนจะไม่แสดงท่าทีหยิ่งผยองแบบนี้กับใครเมื่อพบกันครั้งแรก ส่วนหลี่เหว่ยที่อยู่ด้านข้างก็เผยดวงตาที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าออกมาและเขาก็อยากจะรีบไปพุ่งไปข้างหน้าและฆ่าหวังหว่านยู่ทันทีแต่ก็ถูกหยุดโดยสายตาจากเย่เชียน
“แต่ที่นี่คือแผ่นดินจีนเพราะงั้นมันไม่ใช่ดินแดนของคุณ..คุณคิดจะครอบครองทั้งประเทศเลยงั้นเหรอ?..คุณมีสิทธิ์อะไรมาห้ามไม่ให้ผมมาเหยียบภาคตะวันตกเฉียงเหนือกัน?” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นผมก็จะพูดเข้าประเด็นเลยก็แล้วกัน..คราวนี้ผมมาที่นี่เพราะเรื่องของแม่ม่ายดำจือเหวิน”
เมื่อได้ยินแบบนั้นหวังฉิงเซิงก็แอบยิ้มอย่างลับๆเพราะทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้
“แม่ม่ายดำจือเหวินแห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนืองั้นเหรอ?..ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคุณเย่คืออะไรกัน?” หวังหว่านยู่ถาม
“คนรักของผม..เธอเป็นผู้หญิงของผม!” เย่เชียนพูดอย่างตรงไปตรงมา “ไม่นานมานี้ผมได้ยินมาว่าเธอมาหาคุณที่นี่เพราะเรื่องสำคัญแต่ผมไม่ได้มาด้วยเพราะติดธุระ..อันที่จริงผมเพิ่งจะมาถึงเมืองซีหนิงเมื่อวานนี้และหลังจากรู้ข่าวว่าจือเหวินหายตัวไปผมก็เลยอยากจะมาถามคุณเผื่อคุณจะมีข่าวหรือข้อมูลดีๆ”
“คุณเย่คำถามของคุณค่อนข้างที่จะตลกเพราะฉันไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็กแต่คุณมาหาฉันเมื่อตอนที่มีคนหายไปเนี่ยนะ?” หวังหว่านยู่พูด
เย่เชียนก็ยังคงยิ้มและไม่พูดอะไรจากนั้นเขาก็หยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อและหลี่เหว่ยก็จุดบุหรี่ให้เขาอย่างเป็นธรรมชาติ “ที่นี่ห้ามสูบบุหรี่!” หวังหว่านยู่พูดด้วยความเคร่งขรึม
เมื่อได้ยินแบบนั้นเย่เชียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “ผมติดบุหรี่มาหลายปีแล้วและเวลาเจออะไรเครียดๆผมก็มักจะสูบบุหรี่เพราะงั้นผมหวังว่าคุณเย่จะไม่โกรธเคือง”
“อะไรทำให้คุณเครียดล่ะ?” หวังหว่านยู่ถามต่อ
“ผมได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของราชาแห่งภาคตะวันตกเฉียงเหนือหวังหว่านยู่มานานแล้วและเมืองซีจิงแห่งนี้ก็เป็นดินแดนของคุณ..ดังนั้นหากมีอะไรเกิดขึ้นที่นี่ก็ควรจะมาถามคุณไม่ใช่เหรอ?..เพราะงั้นผมคิดว่าในฐานะเจ้าบ้านแล้วคุณน่าจะช่วยผมได้” เย่เชียนพูดต่อ “แต่คุณกลับต้อนรับผมแบบนี้มันจะไม่แย่ไปหน่อยเหรอ?”
“ต้องขอโทษด้วยเพราะฉันไม่ใช่เพื่อนของคุณเพราะงั้นฉันก็ไม่จำเป็นต้องช่วยคุณ” หวังหว่านยู่พูด
“เพื่อนกันไม่จำเป็นต้องรู้จักกันมานานแต่คุณกลับต้อนรับและปิดกั้นแบบนี้เราจะเป็นเพื่อนกันได้ยังไง?” เย่เชียนพูด “ผมรู้เรื่องของหยางเทียนเพียงเล็กน้อย..อีกอย่างเรื่องมันก็ผ่านมานานแล้วและไม่มีใครถูกหรือผิดเพราะงั้นทำไมคุณถึงต้องจมอยู่กับความทรงจำในอดีตด้วยล่ะ?..ทำไมถึงไม่มอบอัฐิของหยางเทียนให้เธอไปและจับมือกันอย่างสงบสุขล่ะ?”
“คุณเย่จะเข้ามาแทรกแซงเรื่องของหยางเทียนด้วยงั้นเหรอ?..เท่าที่ฉันจำได้แม่ม่ายดำจือเหวินเธอเป็นผู้หญิงของหยางเทียนแต่คุณเย่กลับทำแบบนี้เหมือนกับกินของเหลือเลย” หวังหว่านยู่พูดอย่างประชดประชันและดูถูกเหยียดหยาม
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับของเหลือเพราะผมรู้แค่ว่าจือเหวินเป็นผู้หญิงของผมแล้ว” เย่เชียนพูด “ถ้าจือเหวินอยู่กับคุณล่ะก็ผมหวังว่าคุณจะปล่อยเธอและผมจะขอบคุณมาก”
“หืม?..แล้วถ้าฉันไม่ปล่อยเธอล่ะ?..นี่คุณเย่กำลังข่มขู่ฉันงั้นเหรอ?..ชายหนุ่มผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองเซี่ยงไฮ้จะมาท้าทายราชาแห่งตะวันตกเฉียงเหนือ?..โถ่ๆคุณมั่นใจในตัวเองมากเกินไปแล้วที่คิดว่าอายุแค่นี้และทำอะไรบางอย่างจนคิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่อย่างงั้นเหรอ?” หวังหว่านยู่พูดอย่างดูถูกเหยียดหยาม “เชื่อมั้ยว่าวันนี้คุณจะไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้?”
เย่เชียนก็ยิ้มอย่างสงบและพูดว่า “เนื่องจากผมกล้ามาที่นี่ในวันนี้เพราะงั้นผมก็ไม่คิดที่จะกลับไปมือเปล่าอยู่แล้ว..ผมคิดมาเสมอว่าศัตรูควรจะถูกกำจัดมากกว่าการผูกมิตร..แต่ผมไม่ได้มีความขับของใจหรือความแค้นใดๆต่อคุณ..แต่ไม่ใช่ว่าผมกลัวเพราะผมที่สามารถฆ่าอดีตราชาแห่งภาคตะวันออกเฉียงหลวนปิงลี่ได้ถ้างั้นผมก็สามารถฆ่าราชาแห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้เหมือนกัน!..แล้วคุณเชื่อหรือเปล่าว่าถ้าผมแค่ขยับนิ้วเพียงนิดเดียวหัวของคุณก็จะระเบิดทันที?”
ในประโยคหลังเย่เชียนพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำและเต็มไปด้วยความน่าสยดสยองจนราชาแห่งภาคตะวันตกเฉียงเหนืออดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปชั่วขณะและดวงตาของเขาก็มองออกไปข้างนอกหน้าต่างโดยไม่รู้ตัว “อย่าคิดน้อยไปหน่อยเลย..คุณคิดว่าคุณจะมองเห็นมือปืนซุ่มยิงสไนเปอร์จากตรงนี้เนี่ยนะ?..อย่าเสียเวลาเลยเพราะกว่าคุณจะรู้ตัวมันก็คงจะสายไปแล้ว”
“หืม..นี่แกกำลังขู่ฉันอยู่งั้นเหรอ?” หวังหว่านยู่ราชาแห่งภาคตะวันตกเฉียงเหนือพูดอย่างเย็นชา ซึ่งเขานี่นสามารถปล่อยผ่านเรื่องของหยานซื่อฉุยไปได้เพราะเธอมีความสัมพันธ์กับตระกูลโอ่วหยางแต่ในกรณีของเย่เชียนนั้นไม่ใช่ จากนั้นไม่นานหวังหว่านยู่ก็พูดต่อ “ฉันไม่เคยกลัวเพราะงั้นถ้าแกจะยิงก็ยิงมาได้เลยแต่แกจะไม่สามารถออกไปจากคฤหาสน์นี้ได้” หวังหว่านยู่พูด
เมื่อได้ยินแบบนั้นเย่เชียนก็ฉีกยิ้มแล้วพูดว่า “ก็ตามนั้น!”
เมื่อเห็นการแสดงออกของเย่เชียนแล้วหวังหว่านยู่ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและรู้สึกงงกับคำพูดของเย่เชียน ส่วนหวังฉืงเซิงที่อยู่ข้างๆก็ประหลาดใจอย่างมากแต่เขาก็ต้องการให้เย่เชียนทำแบบนั้นทันที เพราะในกรณีนี้หวังหว่านยู่จะต้องตายที่นี่อย่างแน่นอนแล้วเขาก็จะได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างแทน
จู่ๆเย่เชียนก็ยืนขึ้นและพูดว่า “เอาเถอะวันนี้ผมขอตัวก่อน..เอาไว้เจอกันคราวหน้าถ้ามีโอกาส!”
“อะไรกัน..จะเดินออกไปง่ายๆแบบนี้น่ะเหรอ?” หวังหว่านยู่ยืนขึ้นแล้วพูดจากนั้นเขาก็เอนตัวไปด้านหน้าของเย่เชียนเล็กน้อยราวกับว่าเขากำลังคิดจะใช้ร่างของเย่เชียนปิดกั้นการมองเห็นของนักแม่นปืนข้างนอก แน่นอนว่าตอนแรกหวังหว่านยู่นั้นไม่ได้จริงจังมากนักแต่จากการเผชิญหน้ากันระยะสั้นๆก็ทำให้เขาเริ่มหวาดหวั่นกับตัวตนของเย่เชียน ซึ่งนี่จะเป็นผลเสียสำหรับเขาที่จะปล่อยให้คนแบบนี้มีชีวิตอยู่ต่อ อันที่จริงในใจของหวังหว่านยู่นั้นมีความกลัวที่อธิบายไม่ได้ของเย่เชียนซึ่งทำให้หวังหว่านยู่รู้สึกว่าเขาไม่สามารถปล่อยให้เย่เชียนออกไปจากที่นี่ได้และมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่เช่นนั้นหายนะจะต้องมาเยือนเขาอย่างแน่นอน
“เราไปทานมื้อเย็นกันสักมื้อดีหรือเปล่า?” เย่เชียนพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ไม่ต้องเกรงใจเราทุกคนเป็นคนกันเอง.. ทุกคนเป็นเพื่อนเพราะงั้นไม่ต้องกังวลไปหรอก”
“แล้วถ้าวันนี้ฉันฆ่าแกล่ะ?” หวังหว่านยู่ สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูด
เมื่อได้ยินแบบนั้นเย่เชียนก็แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “นั่นมันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีความสามารถในการทำแบบนั้นหรือเปล่า” ทันทีที่เสียงจบลงเย่เชียน จากนั้นเย่เชียนก็พุ่งไปข้างหน้าและคว้าหัวของหวังหว่านยู่แล้วฟาดเข้ากับโต๊ะทันที ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและการเคลื่อนไหวของเย่เชียนก็เร็วเกินไปจนหวังหว่านยู่ไม่ทันได้ตั้งตัว “หืมว่าไงนะ?..คุณต้องการที่จะฆ่าผมงั้นเหรอ?”
“หยุด!” หลี่เหว่ยปลดผ้าคลุมของเขาออกเพื่อเผยให้เห็นวัตถุระเบิดที่ผูกติดอยู่กับร่างกายของเขา จากนั้นหลี่เหว่ยก็พูดว่า “ห้ามใครขยับเด็ดขาด!”
เมื่อเห็นแบบนั้นลูกน้องของหวังหว่านยู่ทั้งหมดก็ตกใจอย่างมากเมื่อพวกเขาเห็นวัตถุระเบิดบนร่างของหลี่เหว่ยและอดไม่ได้ที่จะแน่นิ่งไปชั่วขณะ หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียง “ปัง” กระสุนทะลุหน้าและกระจกพุ่งเข้าหาเหล่าลูกน้องของหวังหว่านยู่จนทั้งหมดจมลงไปในแอ่งเลือดในไม่ช้า
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วควบคู่ไปกับเสียงปืนที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ทุกคนตกใจ เมื่อเห็นแบบนั้นหวังหว่านยู่ก็ตกตะลึงและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วด้วยความประหม่า
.
.
.
.
.