ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 331 ปลาตัวน้อยตอนนี้น่าสงสารถึงเพียงนี้เชียวหรือ
บทที่ 331 ปลาตัวน้อยตอนนี้น่าสงสารถึงเพียงนี้เชียวหรือ
บทที่ 331 ปลาตัวน้อยตอนนี้น่าสงสารถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ในที่สุดหลิงเยว่ก็ไม่ได้หลบหนี การใช้ชีวิตอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่ใช่แนวทางของนาง และไม่มีประโยชน์อันใดต่อแผนการในอนาคต
แต่จะคืนดีกับสามผู้ยิ่งใหญ่นั้นได้อย่างไรเล่า?
หาแพะรับบาปสักตัวดีหรือไม่?
ไม่ได้! นางเป็นคนใจดีเช่นนี้ จะทำเรื่องน่ารังเกียจได้อย่างไร?
แม้เพียงนางเอ่ยปาก คงมีแพะรับบาปหลายร้อยตัวมาช่วย แต่สามผู้ยิ่งใหญ่นั้นมิใช่คนโง่เขลา และปลาในบ่อลงทัณฑ์ย่อมหนีไปไหนไม่รอด
หลิงเยว่ซึ่งกำลังหมอบอยู่ที่มุมหนึ่งนอกสุสาน ลอบมองผ่านช่องว่างของโครงกระดูกปลาโดยไม่ทันระวัง จึงสบตากับดวงตาเล็ก ๆ ของปลาตัวหนึ่งเข้า
เดิมทีโม่จวินเจ๋อที่นอนอยู่บนบ่านักบวชเพียงแค่มองไปรอบ ๆ โดยไม่คิดอะไร ทว่ากลับพบเข้ากับปลาที่น่ารังเกียจตัวหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ไกล ๆ
หลิงเยว่หรือ?
หัวใจที่แตกสลายของโม่จวินเจ๋อกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง หากนางคือหลิงเยว่จริง ๆ เขาก็จะเก็บความคิดจะฆ่าตัวตายไว้ชั่วคราวก่อน
หลิงเยว่ยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปาก เป็นสัญญาณให้โม่จวินเจ๋อเงียบไว้
หากลูกปลาโม่ไปป่าวประกาศเข้า นางจะทำอย่างไร?
ดวงตาของปลาตัวน้อยกะพริบปริบ ๆ ราวกับกำลังตอบรับ
หรือว่าลูกปลาโม่นี่จะจำนางได้แล้ว?
หลิงเยว่ลูบคางอย่างครุ่นคิด ก่อนหน้านี้เขายังดิ้นรนแทบเป็นแทบตายอยู่เลย…
แต่ในเมื่อเขาจำได้แล้ว เรื่องราวก็ง่ายขึ้นมาก
แผนการอันแยบยลผุดขึ้นในหัวของหลิงเยว่ เพียงแต่ต้องรบกวนโม่จวินเจ๋อสักหน่อย
ฝ่ายโม่จวินเจ๋อที่ยังไม่รู้ว่าภัยกำลังจะมาถึง เขาจ้องมองปลาตัวใหญ่ที่อยู่ไกล ๆ อย่างพินิจพิเคราะห์ ราวกับต้องการจะหาเงาของหลิงเยว่จากหัวปลานั่น แต่ไม่ว่าจะมองซ้ายมองขวา มองบนมองล่างก็เห็นแต่เพียงปลาหน้าตาอัปลักษณ์เท่านั้น
หลิงเยว่ที่คิดแผนการอันยอดเยี่ยมได้แล้ว จึงตัดสินใจว่ายังไม่ขอคืนดีกับสามผู้ยิ่งใหญ่ในตอนนี้ เพราะพวกเขากำลังโกรธเกรี้ยว หากใครโผล่หัวออกไปคงต้องตายสถานเดียว!
หลิงเยว่หยิบกระดาษกับพู่กันขึ้นมา เขียนแผนการทั้งหมดลงไปอย่างรวดเร็ว และในตอนท้ายสุดก็เขียนภารกิจของโม่จวินเจ๋อเอาไว้ด้วย
“พวกเจ้าเอาโครงกระดูกของเหล่าบรรพบุรุษไปซ่อนไว้ที่ใดกัน!”
เสียงคำรามก้องกังวานไปทั่วทั้งสามภพ
เดิมทีท่านผู้นำคิดว่า โครงกระดูกเหล่านั้นถูกทิ้งไว้ในบ่อลงทัณฑ์ จึงใช้พลังตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน แต่กลับไม่พบแม้แต่ก้างปลา จึงขยายขอบเขตการค้นหาไปยังพื้นดิน…
“อยู่ที่นี่!”
มหาปุโรหิตตักกระดูกปลาขึ้นมาจากหม้อน้ำแกงที่เดือดพล่าน
โครงกระดูกปลานั้นใหญ่โตมโหฬาร เพียงหม้อเดียวไม่อาจบรรจุได้หมด ปุโรหิตน้อยจึงนำหม้ออีกใบมาช่วยตักโครงกระดูกเหล่านั้นด้วย ท่านผู้นำตักส่วนหัวกะโหลกปลาขึ้นมาเป็นลำดับสุดท้าย เมื่อประกอบเข้ากับกระดูกหางปลาที่ถูกใช้เป็นมีดแล่เนื้อ ก็ปรากฏเป็นโครงกระดูกปลาที่สมบูรณ์
ทั่วทั้งบริเวณเงียบสงัด โดยเฉพาะเหล่าปลาผู้กระทำผิดที่นอนแน่นิ่งอยู่ในบ่อลงทัณฑ์ พวกมันไม่สนใจความเจ็บปวดแสนสาหัส ค่อย ๆ เคลื่อนตัวถอยหลังด้วยความหวาดกลัว เพราะเกรงว่าจะถูกจับตัวไปทรมานอีกครั้ง
แท้จริงแล้ว พวกมันเคยเตือนเหล่าปลารุ่นหลังไม่ให้แตะต้องโครงกระดูกของท่านบรรพบุรุษ แต่นางหาได้ใส่ใจไม่ ยังคงยืนกรานที่จะนำกระดูกไปใส่ในหม้อ ครานี้หากถูกจับได้ โทษทัณฑ์คงมิใช่การถูกคุมขังตลอดชีวิต แต่จะเป็นการถูกกัดกินทั้งเป็น…
ท่านผู้นำคิดจะหยิบหัวปลาขึ้นมา แต่เพียงขยับเบา ๆ เท่านั้น ทุกอย่างก็แตกกระจาย!
หัวของบรรพบุรุษแตกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยน้ำมือของเขา!
เหล่าปุโรหิตต่างตกตะลึง พวกเขาตั้งใจจะนำเอากระดูกครีบและลำตัวปลาออกมา แต่กลับไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย แถมยังพยายามหายใจให้เบาที่สุดเพราะเกรงว่าโครงกระดูกตรงหน้าจะแตกสลายไปเสียก่อน…
“หรือว่าพวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไป?” ปุโรหิตน้อยเอ่ยถามผู้นำปลาอย่างลองเชิง “อย่างไรเสีย ทุก ๆ ร้อยปี พวกเราต้องทำความสะอาดที่ฝังศพบรรพบุรุษอยู่แล้ว รออีกปีเดียวก็ต้องทำความสะอาดแล้ว ถือว่าเราทำล่วงหน้าตอนนี้เลยดีหรือไม่?”
หากไม่ทำความสะอาด ที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้คงไม่มีที่ให้เหยียบย่างเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้น หัวของปลาบรรพบุรุษก็แตกละเอียดเช่นนี้ คงนำมาต่อกันไม่ได้แล้ว
“ข้าเห็นด้วย” มหาปุโรหิตเห็นพ้อง “เนื้อปลาทั้งหมดก็จัดการไปพร้อมกันเลยดีหรือไม่?”
สายตาที่ผู้นำมองไปยังมหาปุโรหิตและปุโรหิตนั้น ราวกับว่าพวกเขาเพิ่งรู้จักกันวันแรก
ทำความสะอาดอันใดกัน? นี่มันเรียกว่าการทำลายแล้วชัด ๆ!
หญ้าหมัวอินจะงอกงามได้ในที่ฝังศพบรรพบุรุษ ถือเป็นอาหารหลักของลูกปลาตัวน้อย ยิ่งไปกว่านั้น การเซ่นไหว้บรรพบุรุษมีกำหนดเวลาตายตัว หากรุดหน้าหรือล่าช้าไปล้วนไม่อาจทำให้หญ้าหมัวอินงอกงามได้!
หรือว่าเหล่าปุโรหิตทั้งสองจะเป็นมนุษย์ที่หายไปปลอมตัวมา?
สายตาที่ปลาผู้นำมองเหล่าปุโรหิตค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นเคลือบแคลงสงสัย
พวกเขาต่างพากันมอบบันไดก้าวหน้าให้แก่ท่านผู้นำ แต่เหตุใดอีกฝ่ายถึงดูไม่ยินดีเช่นนี้?
เหล่าปุโรหิตที่อาจเป็นมนุษย์ปลอมตัวมากำลังสื่อสารกัน หลิงเยว่เป็นผู้เขียน ส่วนโม่จวินเจ๋อรับหน้าที่ดู เมื่อเห็นภารกิจของตน ร่างกายของเขาพลันแข็งค้างไปชั่วขณะ ก่อนจะกะพริบตาเป็นเชิงตกลง
ช่วงเวลาที่อยู่กับหลิงเยว่นั้น ช่างน่าตื่นเต้นและแปลกประหลาดยิ่งนัก
ไม่เพียงแต่เขาจะได้ลิ้มรสการเป็นหัวหน้าตะขาบมรกตและอิงหลงถึงสองครา บัดนี้ยังได้ลิ้มรสความสุขของการเป็นลูกปลาน้อย และตอนนี้หลิงเยว่ก็ยัง…
ไม่อาจปฏิเสธได้
จ่าฝูงปลาที่เริ่มเคลือบแคลงสงสัยในตัวปุโรหิตทั้งสอง ไม่ได้แสดงท่าทีใด ๆ ออกมา เพียงเอ่ยถามกลับไปว่า “พวกเจ้าคิดจะจัดการกับชิ้นปลาเหล่านี้อย่างไร?”
“ทิ้งไป…” พอมหาปุโรหิตเอ่ยสองคำนี้ออกมา พวกปลาที่ทำผิดซึ่งแกล้งตายอยู่ก็ไม่ยอมทันที!
“นั่นเป็นเนื้อของข้า พวกเจ้าจะทิ้งด้วยเหตุใด!”
“ใช่แล้ว จำกัดอิสรภาพของพวกข้าก็แล้วไป ตอนนี้ยังจะมายุ่งกับเนื้อพวกข้าอีก ยังมีความยุติธรรมอยู่หรือไม่!”
“บรรพบุรุษทั้งหลาย ขอท่านลืมตาดูด้วยเถิด พวกข้าถูกรังแกจนเป็นเช่นไรแล้ว…”
เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังขึ้นอีกครั้ง พลังเสียงที่แทรกอยู่ในนั้นทำให้ลูกปลาโม่ถึงกับมึนงงไปชั่วขณะ
โม่จวินเจ๋อที่อ่อนแอเช่นนี้จะสามารถทำภารกิจสำเร็จได้จริงหรือ?
หลิงเยว่ก้มหน้าครุ่นคิด
นางซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งเพื่อความปลอดภัย ทั้งยังเปิดใช้งานยันต์อำพรางระดับกลางไว้ด้วย สามผู้ยิ่งใหญ่คงไม่สามารถค้นพบได้
“หากทิ้งไปคงน่าเสียดาย ไม่สู้เอาไปต้มแล้วแจกเป็นรางวัลให้นักรบในเผ่าได้บำรุงร่างกายดีกว่า?” มหาปุโรหิตกล่าวต่อด้วยท่าทีสงบนิ่ง
คราวนี้พวกปลาที่ทำผิดยิ่งร้องโหยหวนกว่าเดิม
“คราวก่อนยังแบ่งให้กินไปตั้งชิ้นหนึ่ง คราวนี้พวกเจ้ากลับไม่คิดจะแบ่งน้ำแกงให้ข้าชิมบ้างเลยรึ!”
“ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี!”
หลิงเยว่แอบเห็นใจปลาเหล่าปลาที่อยู่ในบ่อลงทัณฑ์นัก แต่ตนเองยังยากจะเอาชีวิตรอด นางย่อมไม่อาจทำเรื่องโง่เขลาเอาเนื้อให้พวกมันกินจนต้องสังเวยชีวิตตนเองเป็นแน่
แต่… หึ! อีกไม่นานพวกเขาก็จะได้ลิ้มรสชาติอันโอชะของเนื้อตัวเองแล้ว!
“เจ้า… หรือว่าเจ้าเคยทำเรื่องโง่เง่าอย่างที่พวกมันทำ?”
ท่านผู้นำมองมาอย่างจับผิด ทำเอามหาปุโรหิตสำลักกับคำพูดนั้นทันที
“ตอนนั้นท่านอาจารย์ไม่ได้ทำไปเพราะความอยากลิ้มลองรสชาติ หากแต่เป็นการศึกษาเพื่อแก้พิษของมังกรต่างหาก จึง…”
“งั้นหรือ? เจ้าเองก็เคยกินเนื้อของตัวเองเหมือนกัน?”
ท่านผู้นำไม่รอให้ปุโรหิตน้อยอธิบายจบ ก็พูดแทรกขึ้นมาทันที แม้จะเป็นคำถาม ทว่าแววตาของเขากลับมั่นใจอย่างเห็นได้ชัด
เหตุใดการศึกษาเพื่อปรุงยาแก้พิษจึงต้องใช้เนื้อของเผ่าพันธุ์ปลาหมัวอินด้วย?
ท่านผู้นำถูกมหาปุโรหิตปรายตาราวกับมองว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กอมมือ พลันคิดในใจว่า เขาเป็นถึงผู้นำเผ่า ไม่รู้เรื่องแค่นี้ได้อย่างไร! ว่าจบก็คว้ามีดกระดูกปลาขึ้นมาแล่เนื้อปลาอย่างคล่องแคล่ว
ทางด้านท่านปุโรหิตน้อยเห็นท่าทีแล้ว ยิ่งอธิบายคงยิ่งเหมือนแก้ตัว จึงได้แต่หยิบมีดกระดูกปลาขึ้นมาช่วยหั่นอีกแรง
“หรือว่ามีเพียงข้าที่ไม่เคยลิ้มรสชาติเนื้อของตนเอง” ผู้นำเผ่าครุ่นคิด สายตากวาดมองมหาปุโรหิตตั้งแต่หัวจรดเท้า พลางคิดว่าครั้งก่อนพวกเขาแล่เนื้อส่วนใดกัน?
อ้อ! นึกออกแล้ว! เป็นเนื้อส่วนหาง!
ครั้งนั้นพวกเขาบอกว่าเผลอทำมีดบาดตัวเอง ที่แท้คือแอบตัดเนื้อตัวเองไปทำยา!