ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 329 นางไม่ได้โง่จริง แต่ถูกแพร่เชื้อ!
บทที่ 329 นางไม่ได้โง่จริง แต่ถูกแพร่เชื้อ!
บทที่ 329 นางไม่ได้โง่จริง แต่ถูกแพร่เชื้อ!
สรุปคือ ปลาทั้งสองร้อยเจ็ดสิบตัวนั้น ถูกโยนลงไปในบ่อลงทัณฑ์ทั้งหมด
บ่อลงทัณฑ์ดูแออัดขึ้นทันที
“พวกมันทำร้ายหัวหน้าแล้วถูกตัดสินแค่ห้าร้อยปี?!” พวกปลาที่ถูกลงโทษในบ่อลงทัณฑ์ไม่พอใจ มันแค่กินลูกปลาเล็ก ๆ ไปไม่กี่สิบตัวเท่านั้น แต่กลับถูกตัดสินจำคุกถึงหกร้อยปี!
นี่มันไม่ยุติธรรม!
“ไอ้ตัวที่ต่อยมหาปุโรหิตยังถูกตัดสินแค่เจ็ดร้อยปีเอง!”
อายุขัยของปลาหมัวอินอยู่ระหว่างเก้าร้อยถึงหนึ่งพันสองร้อยปี หัวหน้าทีมสามที่ถูกตัดสินจำคุกเจ็ดร้อยปี ตอนนี้อายุแค่ร้อยปี พอออกไปก็จะอายุแปดร้อยปี โทษเบาเกินไป!
หัวหน้าทีมสามที่ถูกตัดสินจำคุกเจ็ดร้อยปีร้องไห้น้ำตาสีเทาไหลอาบสองแก้ม มือของมันช่างบ้าจริง ๆ ทำไมต้องไปแตะเครื่องประดับศีรษะอันล้ำค่าของมหาปุโรหิตด้วย ไม่งั้นคงติดคุกแค่สองสามร้อยปีแล้ว!
ปลารับจ้างถูกจับไปหมดแล้ว แต่หลิงเยว่กลับยังไม่เห็นเงาลูกปลาน้อยสักตัว
เมื่อพวกมันเล่นด้วยเล่ห์เหลี่ยมเช่นนั้น นางจึงต้องเลือกแผนการที่สอง!
ยาพิษ!
ยาพิษเม็ดหนึ่งถูกโยนเข้าไปในกองไฟ หลิงเยว่ใช้ใบไม้อันใหญ่พัดลมใส่กองไฟอย่างบ้าคลั่ง ควันพิษจึงแพร่กระจายไปทั่วบริเวณอย่างรวดเร็ว คลุ้งไปด้วยม่านควัน
“หืม? กลิ่นอะไร? ช่างหอมประหลาด”
นักรบปลากลืนควันเข้าไปเต็มปอด ครู่ต่อมาปลาตัวนั้นกลับดูมีชีวิตชีวาขึ้น ไม่มีท่าทีว่าจะมึนเมาแม้แต่น้อย
หลิงเยว่มองไปยังปลาตัวอื่นที่อยู่ข้าง ๆ กำลังสนุกสนานกับการสูดควันพิษเข้าไปอย่างมีความสุข
“???”
หรือว่ายาพิษจะใช้ไม่ได้ผลกับเผ่าพันธุ์ปลาหมัวอิน!
ในคำอธิบายของปลาหมัวอินไม่ได้บอกไว้ว่ามันต้านทานพิษได้ ต้องเป็นเพราะฤทธิ์ยายังอ่อนเกินไปแน่ ๆ!
หลิงเยว่จึงโยนยาพิษเข้าไปในกองไฟอีกเม็ดหนึ่ง ควันพิษยิ่งหนาแน่นขึ้น ปลาทั้งหลายยิ่งสูดควันเข้าไปอย่างเมามัน
“เจ้ากำลังทำอันใดอยู่?”
เสียงของปุโรหิตน้อยดังขึ้นด้านหลังของหลิงเยว่ นางสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะยิ้มออกมา “ข้า… เอ่อ… กำลังปิ้งไข่นกอยู่”
“ท่านจะทานหรือไม่?”
หลิงเยว่รีบคุ้ยไข่นกที่ฝังอยู่ในกองไฟ นับว่านางคิดการณ์ไกลนัก รู้ว่าการฝังไข่นกไว้ในกองไฟมิใช่เพราะนางอยากกินเสียหน่อย!
“เก็บมาจากที่ใด?”
ปุโรหิตน้อยรับไข่นกมาด้วยท่าทางสง่างาม แล้วแกะเปลือกออกอย่างชำนาญ
“เก็บได้มาจาก…”
“เจ้าช่างรู้จักเก็บเสียจริง” ปุโรหิตน้อยกล่าวพลางเคี้ยวไข่นก
หลิงเยว่หัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะหยิบชามน้ำแกงสีดำที่ไร้เนื้อปลาออกมาจากพุ่มหญ้าด้านหลัง “ติดคอหรือไม่? ท่านดื่มเสียหน่อยเถิด”
ปุโรหิตน้อยดูพึงพอใจกับท่าทางเอาใจของหลิงเยว่ เขารับชามมาดมก่อน ดวงตาเลื่อนลอยฉายแววประหลาดใจ จากนั้นจึงจิบเล็กน้อย แล้วจึงดื่มจนหมดในอึกเดียว
“เจ้าเอาหญ้ามาต้มให้มีรสชาติเนื้อได้อย่างไรกัน?” ปุโรหิตน้อยทำปากขมุบขมิบ รสชาติเนื้อนั้นคุ้นเคยนัก แต่จำไม่ได้ว่าเป็นรสชาติเนื้ออะไร?
หรือเป็นเพราะไม่ได้กินเนื้อมานาน จึงรู้สึกไปเองว่าน้ำแกงนี้มีรสชาติเนื้อ
“ท่านกินออกว่าเป็นรสชาติเนื้อด้วยหรือ?” หลิงเยว่แสร้งทำเป็นประหลาดใจ “ข้ามิได้ใส่เนื้อลงไปสักหน่อย!”
“แล้วยังมีอีกหรือไม่?”
“มี ๆ ๆ!” หลิงเยว่รีบยกถังไม้อันใหญ่ขึ้นมา “หากท่านชอบ เชิญเอาไปให้หมดเลยเถิด…”
“เพียงแต่…”
หลิงเยว่บิดตัวอย่างเขินอาย พลางใช้ปลายนิ้วจิ้มกันไปมา แอบมองปุโรหิตน้อย พอเห็นอีกฝ่าย นางก็ก้มศีรษะลง ทำท่าทางปลาน้อยขี้อายได้อย่างแนบเนียน
ในใจนางกำลังทำตัวเป็นปลาน้อยขี้อาย แต่ปุโรหิตน้อยกลับรู้สึกคลื่นไส้ อยากจะอาเจียนไข่นกและน้ำแกงที่เพิ่งกินเข้าไปออกมาเสียให้หมด
ปุโรหิตน้อยพยายามสะกดกลั้นใจไม่ให้กะพริบตาและข่มความรู้สึกคลื่นไส้เอาไว้ เหลือบสายตาไปมองนางพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงแห้งผาก “มีอันใดก็ว่ามาเถิด!”
หลิงเยว่ยื่นถ้วยไม้ใบเล็กไปตรงหน้าอีกฝ่าย ดวงตาทั้งสองข้างฉายแววจริงใจ
ในถ้วยของเจ้าปลาตัวน้อยนั้นมีเนื้อผสมอยู่ด้วย
แต่เนื้อปลาถูกนางสับจนละเอียด ทำให้ดูเหมือนกับถ้วยอื่นที่ไม่มีเนื้อปนอยู่
ปุโรหิตน้อยเพียงแค่ชำเลืองมอง แล้วถือถ้วยเดินจากไปอย่างรวดเร็ว เพราะเกรงว่าหลิงเยว่จะแสดงท่าทางแปลกประหลาดชวนสยองอีก เขาทนเห็นไม่ไหวแล้ว!
หากรู้ว่าง่ายเช่นนี้ เหตุใดหลิงเยว่ต้องลงทุนจ้างปลาและสิ้นเปลืองโอสถพิษระดับกลางถึงสองเม็ดเช่นนี้?
มิเพียงเท่านั้น ยังสิ้นเปลืองของอร่อยไปมากมายเช่นนี้!
นางช่างโง่เง่าเสียจริง!
ไม่! ไม่ใช่เพราะตัวนาง แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะกลายเป็นปลา แล้วอยู่ท่ามกลางปลาโง่เง่าพวกนั้นนานเกินไป จึงโดนอิทธิพลและติดนิสัยมา เป็นไปไม่ได้ที่นางจะเป็นแบบนี้เอง!
หลิงเยว่มองไม่เห็นตอนที่อีกฝ่ายป้อนซุปให้โม่จวินเจ๋อ แต่เขาคงไม่แอบกินเองหรอกใช่ไหม?
เสียงฝีเท้าของปุโรหิตน้อยที่เดินเข้ามา ทำให้โม่จวินเจ๋อที่เพิ่งตื่นพลันหลับตาลงอีกครั้ง
ความจริงแล้ว ตอนเช้าที่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น เขาก็ตื่นแล้ว เพียงแต่ตอนนี้เขายังรับความจริงที่ตัวเองกลับมาเกิดเป็นปลาหน้าตาอัปลักษณ์ไม่ได้ จึงแกล้งหลับแทน
เหตุใดกัน ครั้งนั้นเจ้าปลาน่าเกลียดนั่นถึงคาบเขาไว้ แต่ไม่กินเขา กลับเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่…
หากไม่มีความทรงจำในอดีต บางทีเขาคงมีความสุขที่ได้เป็นปลาตัวหนึ่ง แต่ปัญหาคือ เขายังจำอดีตได้ ทั้งอาจารย์ ทั้งสหาย ทั้งหลิงเยว่…
เช่นนั้น เขาควรฝึกฝนต่อไป รอจนมีร่างเป็นมนุษย์แล้วค่อยออกตามหาพวกเขาหรือ?
โม่จวินเจ๋อลืมตาขึ้นเล็กน้อย เมื่อได้เห็นร่างมนุษย์ปลาอัปลักษณ์ เขาก็ตัดความคิดที่จะฝึกฝนร่างกายเป็นมนุษย์ทิ้งไปทันที
อัปลักษณ์เช่นนี้ เขาไม่เอาด้วยหรอก…
“เจ้าฟื้นแล้วรึ!”
ปุโรหิตน้อยรีบวางชามไม้และถังไม้ลง ใช้มือแงะเปลือกตาที่ดูสิ้นหวังของลูกปลาโม่ตัวน้อยออก หลังจากแงะเสร็จก็มองไปที่ท้องของเขา บาดแผลกำลังสมานตัว แม้ว่าความเร็วจะค่อนข้างช้า แต่ทุกอย่างกำลังไปในทิศทางที่ดีขึ้น!
ยาแก้พิษมังกรที่เผ่าพันธุ์ของพวกเขาคิดค้นขึ้นได้ผล!
“มา ดื่มน้ำแกงนี่หน่อย”
ปุโรหิตน้อยอดทนกับปลาตัวน้อยเป็นพิเศษ เขาตักน้ำแกงสีเทาเข้มมาจ่อที่ริมฝีปากของปลาตัวน้อย
แน่นอนว่าโม่จวินเจ๋อต่อต้านน้ำแกงสีเทาเข้มที่ดูเหมือนชามยาพิษ เพียงแต่สีของน้ำแกงนี้ทำให้นึกถึงอาหารปราบมารที่หลิงเยว่เพิ่งคิดค้นขึ้นใหม่ มันมีสีเช่นนี้และ… มีกลิ่นที่หอมมาก!
ด้วยความหิวทำให้โม่จวินเจ๋ออ้าปากดื่มน้ำแกงในช้อนโดยไม่รู้ตัว เพียงแค่คำเดียวเขาก็รู้ว่าเป็นฝีมือของหลิงเยว่!
หรือว่าปลาที่อยู่ตรงหน้าคือหลิงเยว่?
โม่จวินเจ๋อสลัดความคิดน่ากลัวออกไปจากหัวอย่างรวดเร็ว เป็นไปไม่ได้!
เขาซดน้ำแกงทีละคำจนหมดชาม โม่จวินเจ๋อรู้สึกราวกับได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ไม่สิ เขาไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่สักหน่อย!
ทว่าร่างกายกลับอุ่นสบายไปทั่วร่าง จิตใจเคลิบเคลิ้มง่วงงุน ก่อนจะผล็อยหลับไป เขารู้สึกคันแผล คิดจะยกมือขึ้นเกา ทว่ากลับพบว่าตนเองไม่มีมือเสียแล้ว
เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว…
“อืม ดูท่าทางเจ้าคงแข็งแรงดีแล้ว อีกสองวันคงลงน้ำได้” ปุโรหิตน้อยกล่าวด้วยความโล่งใจ ก่อนจะรินน้ำแกงจากถังไม้ออกมาดื่มอย่างเอร็ดอร่อย
ยิ่งดื่มน้ำแกงสมุนไพร ยิ่งรู้สึกอร่อย ยิ่งได้ลิ้มรสชาติของเนื้อสดใหม่หวานละมุนก็ยิ่งหยุดปากไม่อยู่!
หัวหน้าเผ่าถูกล่อลวงด้วยกลิ่นหอม มันไม่ได้เอ่ยถามอันใด เพราะมหาปุโรหิตมักจะต้มน้ำแกงสมุนไพรอยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะกลืนลงคอยากเย็น แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่เหมือนเดิม และมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ
หัวหน้าเผ่ายกชามไม้ขึ้นจิบเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็ดื่มรวดเดียวไปกว่าครึ่ง
“น้ำแกงสมุนไพรคราวนี้อร่อยดีนี่”
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้รับคำชมจากท่าน เช่นนั้นข้าต้องลองชิมน้ำแกงสมุนไพรนี้ดูสักหน่อยแล้ว!”
มหาปุโรหิตยกชามไม้ขึ้นซดน้ำแกงที่เหลือจนหมดสิ้น เมื่อน้ำแกงหมดลง เขาก็พลันรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงจ้องมองถังไม้ที่ว่างเปล่าอย่างไม่วางตา รสชาติของเนื้อยังคงติดตรึงอยู่ในโพรงปาก เมื่อครู่นี้เขารู้สึกราวกับว่าได้เคี้ยวเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อย แม้ว่ามันจะไหลลงสู่ท้องไปพร้อมกับน้ำแกงอย่างรวดเร็ว แต่นี่คือรสชาติที่เขาคุ้นเคย…
รสชาติที่เหมือนกับเนื้อของตัวเองไม่มีผิดเพี้ยน!