ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 100 กินสัตว์อสูรย่างแล้ว... บรรลุขั้นเลยหรือ!
บทที่ 100 กินสัตว์อสูรย่างแล้ว… บรรลุขั้นเลยหรือ?!
บทที่ 100 กินสัตว์อสูรย่างแล้ว… บรรลุขั้นเลยหรือ?!
ผู้คนเริ่มทยอยมารวมตัวกันที่หน้าจวนของเจ้าเมืองมากขึ้นเรื่อย ๆ มากเสียจนทหารยามต้องเข้าไปรายงานให้ท่านเจ้าเมืองทราบ
ซูซวงมองเห็นภาพด้านนอกด้วยปราณก็อดขำไม่ได้
พลังของเนื้อย่างช่างยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้เชียว
หากเป็นคนธรรมดา ย่อมมีภูมิคุ้มกันด้อยกว่าผู้บำเพ็ญอยู่แล้ว จึงไม่น่าแปลกใจเท่าใดนัก ทว่าเหตุใดทั้งผู้บำเพ็ญ รวมถึงพวกทหารชุดแดงถึงมาออกันหน้าจวนของเจ้าเมืองเพียงเพราะอาหารที่ส่งกลิ่นหอมเช่นนี้เล่า?
ซูซวงยกมือขึ้นกุมขมับ
ในตอนนี้หลิงเยว่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่หน้ากองไฟขนาดเล็ก ย่างเนื้อไปพลางน้ำลายไหลไปพลาง หากไม่ใช่เพราะสัตว์อสูรทั้งห้าตัวที่โดนเสียบไม้กำลังหมุนอยู่ตรงหน้า ท่าทางของนางก็นับว่าคล้ายกำลังกลั่นโอสถอยู่เช่นกัน
“กว่ามันจะสุกอีกนานหรือไม่?”
“อีกประมาณหนึ่งชั่วยามเจ้าค่ะ”
หลิงเยว่หันหลังให้ซูซวง ลอบยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ หึ! ถึงกับทนไม่ไหวแล้วหรือ เห็นแล้วก็หิวจนอยากจะร้องไห้เลยใช่หรือไม่
ทว่าหลิงเยว่เข้าใจผิดแล้ว ซูซวงยังมีสติยับยั้งชั่งใจอยู่บ้าง แต่กลับมีอีกหลายคนที่อยู่ด้านนอกนั้นต่างหากที่กำลังน้ำลายไหลยืดเพราะกลิ่นหอมยวนใจของสัตว์อสูรย่าง
ซูซวงเพียงต้องการส่งพวกสัตว์อสูรย่างนี้ออกไปก่อนสักสองสามตัว เพื่อให้เหล่าคนที่ยืนรออยู่ด้านนอกแยกย้ายกันไปเสียที!
ยิ่งย่างนานเท่าใด กลิ่นก็ยิ่งหอมมากขึ้นเท่านั้น
เอื๊อก!
ทหารยามที่ยืนอยู่หน้าประตูพลันกลืนน้ำลายลงคออย่างอดไม่ได้ กลิ่นหอมนี้ ทำให้ทรมานใจเสียจริง!
หนึ่งชั่วยามช่างยาวนานสำหรับทุกคน โดยเฉพาะหลิงเยว่ที่กำลังย่างสัตว์อสูรอยู่ ไม่นานนัก นางก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของปราณ ราวกับว่าตนเองกำลังจะก้าวข้ามขีดจำกัดของขั้นที่เก้า เหลือเพียงอีกขั้นเดียวเท่านั้น
หรือบางทีเมื่อถึงเวลากินแล้ว อาจยังเหลืออยู่อีกนิดก็เป็นได้…
หลิงเยว่เร่งไฟให้แรงขึ้น จนหนังด้านนอกของสัตว์อสูรกลายเป็นสีเหลืองทอง ดูน่ากินยิ่งนัก
ทันใดนั้น เปลวเพลิงสีม่วงก็มลายหายไปในพริบตา เผยให้เห็นซากสัตว์อสูรทั้งห้าตัวที่ย่างจนสุก ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจต่อมรับรสของผู้คนยิ่งนัก
หลิงเยว่ที่ทั้งหิวและอยากบรรลุขั้นของตนเอง จึงใช้มีดผ่าสัตว์อสูรตัวเล็กที่สุดออกเป็นสองส่วน
กรอบ!
เสียงนั้นช่างกระแทกใจหลิงเยว่นัก โอ้โห! หนังหลุดออกมาแล้ว นางจึงรีบลิ้มรสทันที
ขณะที่เธอกำลังเอื้อมมือออกไปนั้น พลันมีมืออีกข้างหนึ่งคว้ามันไปก่อน
ตุบ! กรอบ!
“ทำไมเจ้าถึงไม่ระวัง! ตกพื้นแล้วนั่น น่าเสียดายของจริงเชียว!” ซูซวงหรี่ตามอง พลางเคี้ยวเนื้อสัตว์อสูรแล้วพูดเสียงดัง
หนังสัตว์อสูรถูกย่างจนกรอบนอกนุ่มใน ยิ่งเคี้ยวก็ยิ่งหอม กลิ่นหอมของสัตว์อสูรผสมผสานกับกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของสมุนไพรวิญญาณ ช่าง… อร่อยนัก ทั้งยังรักษาสรรพคุณทางยาไว้ได้อีก นี่ทำให้นางรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ยังมีผลในการรักษาด้วย หลังจากที่ซูซวงได้รับรู้ถึงสรรพคุณของโอสถเหล่านี้ นางจึงรู้สึกถูกชะตากับหลิงเยว่มากขึ้น
น่าพอใจมาก!
[ท่านเข้าสู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเก้าได้สำเร็จ! ได้รับรางวัล ค่าพลังวิญญาณ 2,000 แต้ม อายุขัย +20 วัน ค่าพลังวิญญาณคงเหลือ 2,004,510 แต้ม อายุขัยคงเหลือ 583 วัน]
ปราณรอบข้างพลันถูกหลิงเยว่ดูดซับอย่างบ้าคลั่ง
ซูซวงที่เห็นดังนั้นชะงักไปชั่วครู่ กินสัตว์อสูรย่างแล้ว… สามารถบรรลุไปอีกขั้นได้เลยหรือ!
ดูเหมือนว่านางจะประเมินพลังของสัตว์อสูรย่างต่ำเกินไปเสียแล้ว
เหตุการณ์นี้ทำให้ซูซวงอารมณ์ดียิ่งขึ้น ขณะที่คอยปกป้องหลิงเยว่ นางก็ยื่นมือออกไป ทันใดนั้นขาที่สองของสัตว์อสูรก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เหล่าผู้อาวุโสนักกลั่นโอสถที่รีบรุดมาต่างรู้สึกผิดหวัง เมื่อพบว่าท่านเจ้าเมืองที่ยามปกติเยือกเย็นถึงเพียงนั้น กำลังนั่งแทะน่องขาสัตว์อสูรย่างอยู่บนพื้นอย่างเอร็ดอร่อย
ทั้งที่มีเก้าอี้ให้แท้ ๆ แต่เหตุใดจึงนั่งลงกับพื้นตามเด็กน้อยคนนั้นด้วยเล่า
เสียภาพลักษณ์ท่านเจ้าเมืองเสียจริง!
เมื่อหลิงเยว่เสร็จสิ้นจากการบำเพ็ญแล้ว นางจึงนั่งแทะน่องขาสัตว์อสูรย่างอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อเห็นผู้อาวุโสนักกลั่นโอสถ นางก็ยกมือที่เต็มไปด้วยน้ำมันจากเนื้อสัตว์ย่างขึ้นมาทักทายอย่างกระตือรือร้น
“ลองชิมดูสิเจ้าคะ”
สีหน้าของผู้อาวุโสนักกลั่นโอสถนั้นดูสงบเสงี่ยม ทว่าร่างกายไม่อาจปฏิเสธได้ ก่อนฉีกขาที่สามของสัตว์อสูรออกมา พร้อมกัดกินเสียคำใหญ่ เมื่อเนื้อย่างเข้าปาก รสชาติก็แผ่ซ่านออกมา!
“ข้าจะนำสิ่งนี้ไปด้วย ส่วนที่เหลือพวกท่านจัดการกันเองเถิด” หลิงเยว่ไม่ได้ละโมบ นางเพียงยกสัตว์อสูรย่างตัวที่น่องขาหายไปสามข้าง พร้อมถือขาของสัตว์อสูรอีกข้างที่กัดไปแล้วครึ่งหนึ่ง เตรียมจะจากไป
นางจะนำไปมอบให้เหลยซาเพื่อแสดงความขอบคุณ และแน่นอนว่าสมาชิกกองที่สิบแปดก็ขาดไม่ได้ เพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมา พวกเขาล้วนดูแลนางเป็นอย่างดี
ร่างกายนี้มีอายุยังน้อย จึงมักเป็นฝ่ายที่ได้รับการดูแล ทั้งสมัยที่อยู่สำนักหลานเทียนและเมื่อมาถึงเมืองฮั่วหยางด้วยเช่นกัน
หลิงเยว่เดินมาถึงประตู ทว่าพอเห็นฝูงชนที่รวมตัวกันกินข้าวอยู่ข้างนอก นางก็ตกใจจนต้องถอยหลังกรูด พลางหันกลับไปมอง
โอ้โห! เกิดอะไรขึ้นเนี่ย
หรือการกินข้าวหน้าประตูจวนเจ้าเมือง มันอร่อยกว่าอย่างนั้นหรือ?
หลิงเยว่เดินกลับมาได้ครึ่งทางถึงตระหนักได้ เมื่อสังเกตเห็นขาของสัตว์อสูรที่นางกำลังเอาเข้าปาก
พวกเขาคงตามกลิ่นมากันเป็นแน่ นึกไม่ถึงเลยว่าชาวบ้านในเมืองฮั่วหยางจะต้อนรับอย่างอบอุ่นและให้เกียรติกันถึงเพียงนี้ กลับกันพวกศิษย์สำนักหลานเทียนกลับไม่ค่อยจะให้เกียรติกันเสียเท่าใดนัก ตอนนั้นยอดเขาโอสถตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมเสียจนแทบวูบ ทว่าพวกเขาส่วนใหญ่กลับไม่กินเสียอย่างนั้น ทั้งยังนั่งดูคนอื่นกินได้หน้าตาเฉยอีก
หากพูดว่าไม่รู้สึกท้อแท้เลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ตอนนี้เหล่าคนที่มาอยู่หน้าประตูเมือง ได้เติมเต็มความท้อแท้ในใจนั้นให้หลิงเยว่จนเต็มเปี่ยมแล้ว
หรือบางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตา ที่นำพานางมาสู่สถานที่ที่ต้องการอาหารวิญญาณอย่างนั้นหรือ?
อย่างไรก็ตาม สำนักหลานเทียนมีโอสถอยู่มากมาย อาหารวิญญาณจึงเปรียบเสมือนการเติมบุปผาบนผ้าดิ้นแพร*[1] แต่สำหรับเมืองที่ขาดแคลนโอสถมาโดยตลอด และยังมีสัตว์อสูรอยู่มากมายเช่นนี้ ก็เหมือนการส่งถ่านกลางหิมะเลย*[2] ทีเดียว!
“ถูกต้องแล้ว เนื้อสัตว์อสูรย่างนี้ คนธรรมดาทั่วไปกินได้เพียงชิ้นเล็ก ๆ เท่านั้น”
เมื่อพูดจบ หลิงเยว่ก็พาตนเองและของที่ได้มา ปีนกำแพงออกไป
“พี่ชาย พี่ชาย!”
หลิงเยว่เดินตามหาอยู่นาน ในที่สุดก็เจอเหลยซาและเหล่าสหายอยู่บนกำแพงเมือง
“ข้ามีของดีมาให้พวกท่านเจ้าค่ะ!”
หลิงเยว่นำเนื้อสัตว์อสูรที่ย่างแล้วแต่ขาดขาไปสามข้างยัดใส่มือของเหลยซา
“เสี่ยวชิง ข้านึกไม่ถึงว่าเจ้าจะกินเก่งเพียงนี้ ถึงขนาดกินไปสามขาคนเดียวเชียวหรือ!” สหายที่จิตใจดีผู้นั้นเอ่ยอย่างตกใจพลางเบิกตากว้าง สองมือยังทำท่าประกอบบอกขนาดของขาสามขานั้นว่าใหญ่เพียงใด ซึ่งทำให้หลิงเยว่รู้สึกอึดอัดขึ้นมา
“ข้ากินไปเพียงขาเดียวเท่านั้น ส่วนอีกสองขาถูกท่านเจ้าเมืองและผู้อาวุโสกินไปต่างหากเจ้าค่ะ”
หลังจากฟังคำอธิบายของหลิงเยว่แล้ว เหลยซาที่เดิมทีตั้งใจจะปฏิเสธ แต่กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์และเย้ายวนใจก็ลอยมาเตะจมูกโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้ยากที่จะปฏิเสธได้ แม้ว่าสัตว์อสูรย่างนี้จะขาดไปสามขาแล้ว ทว่าที่เหลือก็เพียงพอสำหรับพวกเขาสองสามคนแล้ว
“หัวหน้า ให้ข้าเถอะ เดี๋ยวข้าแบ่งเอง!” สหายที่กระตือรือร้นหิวจนน้ำลายสอนานแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาอาหารกลางวันพอดี มันคงจะเหมาะมากหากได้กินกับข้าว
มีสหายคนหนึ่งควักชามข้าวที่เตรียมไว้มารอแบ่งเนื้อแล้ว
อาหารทุกอย่างถูกเตรียมมาจากที่บ้าน รวมถึงเนื้อสัตว์ด้วย แต่เมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์อสูรที่ย่างตรงหน้าแล้ว ก็ไม่สามารถนำมาเทียบกันได้เลยเสียด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวก่อน หากจะขอขาสุดท้ายไปให้พี่ชายข้า พวกท่านคงไม่มีปัญหาอะไรใช่หรือไม่?”
หลิงเยว่พูด มือก็ดึงขาที่ใหญ่กว่าตัวนางออกมา ส่งให้เหลยซาพร้อมรอยยิ้ม
เหลยซานิ่งไปชั่วครู่
“รับไปสิเจ้าคะ พี่ชาย” หลิงเยว่ยัดขาอสูรย่างใส่มือเหลยซา “หากพี่ชายพี่สาวคนอื่นไม่พอกิน ข้าค่อยทำให้กินใหม่แล้วกันเจ้าค่ะ”
“โชคดีของหัวหน้าจริง ๆ ได้น้องสาวมาแบบไม่ต้องทำอะไรเลย”
สหายในกองที่เต็มไปด้วยความห่วงใย รู้สึกตื้นตันใจทุกครั้งที่ได้พบกับเสี่ยวชิง เพราะนางทำให้เขาหวนนึกถึงน้องสาวที่พลัดพรากจากกันระหว่างทางมาเมืองฮั่วหยาง หากน้องสาวของเขาเติบโตขึ้นมา ก็คงจะมีอายุไล่เลี่ยกับนาง
ไม่เพียงแต่สหายผู้นั้นที่รู้สึกอิจฉา กระทั่งสหายคนอื่น ๆ ก็ต่างมองเหลยซาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความริษยาเช่นกัน
“ใช่ ข้าเองก็อยากได้น้องสาวเช่นนี้บ้าง”
“อย่าอิจฉากันเลย หาไม่ได้ก็กลับไปหาเมียตัวเองเถิด!”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนหัวเราะครืน ไม่นานเนื้ออสูรย่างก็ถูกแบ่งกันเรียบร้อยแล้ว
“นี่มันหมูป่าฟันเขี้ยวจริงหรือ?”
“โอ้โห กลิ่นหอมนัก!”
“เพิ่งจะเคยกินหมูป่าที่อร่อยขนาดนี้!”
“แปลกจริง ข้ารู้สึกเหมือนว่าอาการบาดเจ็บภายในกำลังค่อย ๆ ฟื้นฟูขึ้น”
ตอนแรกทุกคนเพียงรู้สึกอร่อยกับรสชาติของหมูป่าย่าง แต่พอเริ่มสังเกตว่าแผลภายในของพวกเขาเริ่มฟื้นฟู ทุกคนก็ตกตะลึงจนไม่กล้ากินต่อ
หากมีสรรพคุณทางยาจริง ๆ กินเช่นนี้จะไม่เสียดายของแย่หรือ!
“เสี่ยวชิง… เมื่อครู่เจ้าพูดว่า เจ้าเป็นคนย่างใช่หรือไม่?”
เหลยซาเพิ่งรู้สึกตัว มองขาหมูป่าที่ย่างพลางมองไปยังหลิงเยว่
ทันทีที่เขาพูดจบ หลิงเยว่ก็ตกเป็นจุดสนใจของคนกว่าร้อยคน สายตาของพวกเขากำลังจ้องมองนางราวกับจะเผาเด็กสาวให้มอดไหม้
[1] เติมบุปผาบนผ้าดิ้นแพร เป็นสำนวนจีน มีความหมายว่า กระทำสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นไป กล่าวได้ว่าจะทำหรือไม่ทำก็ได้ประโยชน์เป็นทุนเดิม
[2] ส่งถ่านกลางหิมะ เป็นสำนวนจีน มีความหมายว่า หยิบยื่นความช่วยเหลือให้แก่ผู้ที่กำลังลำบากได้ทันการณ์