ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 826 คนของร้านหนังสือ
ตอนที่ 826 คนของร้านหนังสือ
……….
หากก่อนหน้านี้ทนายอันร่าย ‘รายงานสุนทรพจน์’ ยาวกว่านี้อีกสักหน่อย
หากโจวเจ๋อและคนอื่นๆ เดินออกจากร้านหนังสือช้ากว่านี้สักหน่อย
หากก่อนหน้านี้นักพรตเฒ่าทำความสะอาดเร็วกว่านี้อีกสักหน่อย
บางทีทุกคนอาจจะไม่ได้เจอกันในเวลานี้ เรื่องราวทั้งหมดจะเข้าสู่ความโกลาหลยิ่งกว่า และโกวซินที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยในเวลานี้ น่าจะเป็นคนที่มีสิทธิ์พูดความรู้สึกนี้มากที่สุด
ตอนนี้นักพรตเฒ่าเพิ่งจะพาผู้หญิงคนนั้นขึ้นรถตัวเองและเขากำลังเตรียมจะเข้าไปนั่งตำแหน่งคนขับ ก็ดันเห็นพวกเถ้าแก่พาทุกคนเดินออกมาพอดี
“อยู่บนรถ” ทารกในอ้อมแขนทนายอันเอ่ยพูด
โจวเจ๋อชูมือขึ้น ทุกคนแยกย้ายกันไปล้อมรอบรถนักพรตเฒ่าทันที สีหน้าของทุกคนพลันจริงจังเล็กน้อย คล้ายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาความปลอดภัยรอบตัวผู้เชี่ยวชาญแกะสลักระเบิด
ในความเป็นจริง เผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตประเภทที่พกติดตัวไปด้วย ต่อให้จะจริงจังแค่ไหนก็ไม่ถึงว่ามากเกินไป
แม้ว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตนั่นจะถูกไท่ซานฝู่จวินรุ่นแรกผนึกไปชาติเศษแล้วและเสื่อมสลายไปเจ็ดแปดส่วนแล้ว
แม้ว่าครั้งนี้ต้นกำเนิดของมันจะออกมาเพียงบางส่วน
แม้ว่าต้นกำเนิดส่วนนี้จะถูกหั่นออกเป็นหลายส่วนแล้วผนึกไว้ในร่างของคนมากมาย
แต่ตะขาบแม้ถูกตัดขาดก็ไม่ตายยังคลานต่อได้ สิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงกลัวโบราณนี้เกือบจะทิ้งร่องรอยตามตำนานกล่าวขานได้จึงไม่ควรดูถูกและประมาทเด็ดขาด
นักพรตเฒ่าเกาหัวและงงงวงกับศึกครั้งนี้นิดหน่อย คนทั้งร้านหนังสือมารวมตัวกันเพื่อช่วยเขากวาดถนนใช่หรือเปล่า
“เอ่อ เถ้าแก่ครับ” นักพรตเฒ่ามองโจวเจ๋อด้วยสีหน้าฉงนใจ
ขณะนี้โจวเจ๋อลังเลเล็กน้อย ด้านหนึ่งเขาอยากลองให้นักพรตเฒ่าพาคนที่นั่งในรถไปรับลมสักหน่อยแล้วดูว่าจะมีผลกระทบอะไรบ้าง ชะตาชีวิตของนักพรตเฒ่ายังแข็งต่อไปหรือไม่ ส่วนอีกด้านหนึ่ง เขาก็เป็นห่วงว่าถ้าหากครั้งนี้นักพรตเฒ่าไม่รอดและเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นเพราะเหตุนี้ งั้นตัวเลือกก่อนหน้านี้ของเขาก็ดูไร้ความรับผิดชอบเกินไปหน่อย
เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นสิ่งที่อยู่ในร่างคนนั้นในรถตรงหน้า โจวเจ๋อตั้งปณิธานแน่วแน่ต้องชนะ เจ้าโง่ในร่างยังกระจองอแงกินอาหารอยู่เลย
“ขึ้นรถ พาไปที่โล่งๆ หน่อย ทุกคนขึ้นรถให้หมด” โจวเจ๋อนั่งเข้าไปในรถนักพรตเฒ่า นักพรตเฒ่าก็เข้าไปนั่งตำแหน่งคนขับอย่างงงๆ ส่งผลให้ที่นั่งแถวหน้าเต็มเอี๊ยด
ทนายอันมักจะเดินไปเปิดประตูรถข้างหลังจนเป็นนิสัย พอเห็นหญิงสาวแววตาว่างเปล่านั่งอยู่ที่เบาะหลัง
อ้าว…
“เถ้าแก่ ผมนั่งรถคันหลังนะ” ขณะที่พูดทนายอันก็ปิดประตูรถอีกรอบแล้วเดินไปด้านหลังแทน
เขาไม่กล้านั่งเบาะหลังเด่นเป็นสง่ากับหญิงสาวคนนั้น สวรรค์รู้ว่าเธอจะระเบิดเมื่อไร!
“เถ้าแก่จะไปไหนครับ นี่ผมกำลังจะไปส่ง…” นักพรตเฒ่าพูดไปเรื่อยๆ จนเลิกพูดแล้ว สายตาเริ่มสังเกตมองผู้หญิงที่นั่งเบาะหลังผ่านกระจกมองหลัง
ในช่วงสองปีที่ผ่านมาเขามีประสบการณ์ลมพายุฝนในร้านหนังสือแล้ว นักพรตเฒ่าก็ถือได้ว่ามีประสบการณ์เพิ่มขึ้น ขณะนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจถึงสาเหตุที่พวกเถ้าแก่ตั้งมั่นพร้อมรับมือกับศัตรูขนาดนี้ ทำไปเพราะผู้หญิงคนนี้นั่งอยู่ด้านหลังนะสิ
หายใจเข้าลึก
หายใจเข้าลึกๆ
นักพรตเฒ่าเอาแต่สงบจิตใจของตัวเองไม่หยุด
ณ ตอนนี้เวลานี้ เขาล่ะอยากหาข้ออ้างไปรถอีกคันเหมือนทนายอันจริงๆ แต่ตอนนี้เขานั่งอยู่ตำแหน่งคนขับไปแล้ว หรือจะบอกให้เถ้าแก่ลงรถแล้วอ้อมมานั่งตำแหน่งขับรถฝั่งตัวเองล่ะ
“ไปสนามแข่งกีฬาโอลิมปิกเขตชานเมือง” โจวเจ๋อสั่ง
“ครับ…เถ้าแก่”
นักพรตเฒ่าสตาร์ทรถ ขณะขับรถไปตลอดทาง นักพรตเฒ่ารู้สึกว่ามือทั้งสองข้างของเขาเปียกชื้นขึ้นมานิดหน่อย บนพวงมาลัยเต็มไปด้วยเหงื่อผุดออกจากฝ่ามือเขา
ให้ตายสิ เขาพาคนป่วยหรือพาระเบิดเวลามากันแน่เนี่ย
สนามกีฬาโอลิมปิกแห่งใหม่เขตชานเมืองทงเฉิงอยู่ระหว่างการก่อสร้าง เนื่องจากเป็นวันตรุษจีนจึงไม่ดำเนินการก่อสร้างต่อ บริเวณรอบนอกก็ค่อนข้างโล่ง ไม่มีบ้านพักอาศัยและไม่ค่อยนิยมมากนัก
รถแล่นเข้าไปจอดด้านหน้าลานกว้างของสนามกีฬาโอลิมปิกที่สร้างได้แค่ครึ่งหนึ่ง โจวเจ๋อเปิดประตูและลงรถ นักพรตเฒ่าก็ลนลานเปิดประตูรถพร้อมเซจนเกือบจะล้มลงกับพื้น จากนั้นใช้ทั้งมือทั้งเท้าวิ่งเตลิดออกไปให้ไกลที่สุด แค่ครู่เดียวก็ไม่กล้าอยู่ที่นี่
รถที่คนอื่นๆ ในร้านหนังสือนั่งก็ขับตามมาเช่นกัน จอดอยู่ห่างๆ และทุกคนพากันลงจากรถ ทนายอันอุ้มทารกเดินมาอยู่ข้างตัวโจวเจ๋อ หญิงสาวคนนั้นยังนั่งเฉื่อยอยู่ในรถ ไม่ได้ลงมาด้วย
“เกิดปัญหาขึ้นกับนางแล้วใช่ไหม” ทนายอันถาม
“น่าจะเกิดปัญหาขึ้นแล้ว ตอนที่นางต่อสู้บนเส้นทางสู่นรกและออกมาพร้อมกับพวกเรานั้นถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บ เดิมทีวิญญาณก็อ่อนแอและมีรอยแตกร้าวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บวกกับความไม่ทราบสาเหตุส่งผลให้ผนึกของนางแตกออก เมื่อทั้งสองอย่างปะทะกันจิตสำนึกของนางก็ตกอยู่ในสภาวะจับต้นชนปลายไม่ถูก ร่างนี้ในตอนนี้จึงดูเหมือนศพเดินได้เสียมากกว่า ตัวตนเจ้านั่นกำลังกลืนกินวิญญาณของนางและพยายามควบคุมผนึกและร่างนี้”
“เช่นนั้นทำไมนางถึงหาพวกเราเจอ” ทนายอันถาม
“น่าจะเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของข้าละมั้ง ตอนนี้นางกำลังสับสนมึนงง มีทั้งจิตสำนึกของตัวเองและมีจิตสำนึกของเจ้านั่นด้วยจึงตามหาและเข้าใกล้ประเภทเดียวกันกับตัวเองโดยสัญชาตญาณ เมื่อข้ามาถึงทงเฉิงก่อนหน้านี้ นางก็อยู่เมืองข้างเคียง นางเป็นคนที่นั่นอยากจะกลับไปเยี่ยมบ้าน แต่น่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างทาง จนท้ายที่สุดก็เริ่มเข้ามาใกล้ข้าเรื่อยๆ ด้วยความสับสนมึนงง”
โจวเจ๋อโบกไม้โบกมือให้คนของร้านหนังสือและพูด “เตรียมตัวกันหน่อย ผมไม่ออกโรง พวกคุณลุยนะ”
เหยื่อมาหาตัวเองถึงหน้าประตู ได้คู่ฝึกซ้อมดีๆ ขนาดนี้จะไปหาคนที่สองได้จากที่ไหนอีก ฉะนั้น หากไม่จัดสรรให้ดี ก็คงจะต้องขอโทษสำหรับโอกาสอันดีเช่นนี้จริงๆ
ไม่ใช่ว่าเถ้าแก่โจวอยากจะแอบขี้เกียจ แต่เป็นเพราะไม่ว่าจะประสบการณ์จิตสำนึกการต่อสู้ที่เจ้าครึ่งหน้าทิ้งไว้ให้หรือให้อิ๋งโกวออกโรง อย่างมากก็สามารถลงมือได้แค่ครั้งสองครั้ง จากนั้นร่างกายของเขาก็จะทนไม่ไหวแล้ว คงจะไม่ได้ให้ตัวเองนอนอยู่บนเตียงครึ่งเดือนโดยทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างใช่ไหม งั้นอาหารพวกนั้นล่ะจะทำอย่างไร
“เตรียมพร้อมหมดแล้ว เตรียมพร้อมแล้ว!” ทนายอันตะโกน ขณะเดียวกันเขาก็ถอดเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่ด้านในออกและผูกทารกไว้บนหลังตัวเอง
สภาพแบบนี้ ถ้าพูดให้น่าฟังหน่อยก็คล้ายกับจูล่งแห่งฉางซานฝ่าทัพช่วยนายน้อย หากพูดระคายหูหน่อยก็คล้ายกับ ‘มือซ้ายจับไก่ มือขวาจับเป็ดแล้วแบกเด็กอ้วนจ้ำม่ำไว้บนหลัง…’
“หึๆ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าวันหนึ่งข้าจะได้เป็นพ่อคน” ทนายอันไม่ได้ต่อกรกับเฉิงเกิน แต่ในเวลานี้อดหยอกล้อไม่ได้
“หากสตรีนางนั้นของเจ้าไม่ตาย ก็อาจจะทำให้เจ้าพึงพอใจได้”
ทนายอันได้ยินดังนั้นสีหน้าพลันเคร่งขรึมและเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “หากยังเอ่ยถึงนางอีก ระวังข้าจะโกรธเจ้าเอาได้นะ”
“เฮอะ เจ้าเองทำได้ ข้ากลับพูดไม่ได้งั้นหรือ แวดวงผู้ตรวจสอบของกลุ่มเรา ตอนนั้นมีใครไม่รู้บ้างว่าเจ้าอันปู้ฉีเป็นนายทัพโกรธเกศาชันเพื่อโฉมงาม เข้าไปพัวพันกับวังวนของการก่อรัฐประหารเพื่อสตรีนางหนึ่งที่ตายไปแม้กระทั่งวิญญาณดับสูญอย่างไม่ลังเล”
“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้”
“บางครั้งมันก็ค่อนข้างแปลกจริงๆ เจ้าสำมะเลเทเมาเที่ยวหญิงเล่นพนันไม่ขาด มองอย่างไรก็ไม่เหมือนผู้อุทิศตนให้ความรัก”
“ข้าไม่ทรมานตัวเองหรอก ไหนเลยจะเหมือนเจ้า เพราะความเห็นแก่ตัวของเจ้า ทำให้วิญญาณภรรยาและลูกสาวเจ้าไม่มีโอกาสได้เกิดใหม่เสียด้วยซ้ำ”
“อันปู้ฉี!”
“เช่นกันแหละน่า กัดก่อนได้เปรียบ”
ขณะที่ทั้งสองยังตีฝีปากกันอยู่นั้น ทางด้านของทุกคนในร้านหนังสือตั้งท่าเตรียมพร้อมแล้ว เหล่าจางยืนอยู่แถวแรก ยืนอยู่ใกล้ตำแหน่งรถเก๋งที่สุดทางด้านทิศตะวันออก
ส่วนแถวที่สองด้านทิศตะวันตกเป็นอิงอิงกับเด็กชาย ผีดิบทั้งสองตัวคุมอยู่
ตำแหน่งไกลออกไปหน่อยเป็นจิ้งจอกขาวและเจ้าลิง ตอนนี้จิ้งจอกขาวยังอยู่ในร่างของสัตว์อสูร และไม่ได้กลายร่างเป็นมนุษย์อีก บางทีเพราะได้ผ่านพ้นด่านความสัมพันธ์ไปแล้ว จะเป็นคนเป็นจิ้งจอก ก็ไม่สำคัญสำหรับใจนางอีกแล้ว
เจ้าลิงน้อยถือห่อขาวเกรียบในมือพลางเคี้ยวกิน ‘กร้วมๆ’ พวกมันทั้งสองอยู่ในตำแหน่งพร้อมสนับสนุนตลอดเวลา
รอบนอกนั้น สวี่ชิงหล่างกำลังจัดวางค่ายกล หลิวฉู่อวี่ เยว่หยา เจิ้งเฉียงและสาวน้อยโลลิทั้งสี่คนรับผิดชอบช่วยเหลือสวี่ชิงหล่างและปกป้องดูแลค่ายกล
เมื่อค่ายกลบางส่วนเริ่มทำงาน บางครั้งจำเป็นต้องให้คนเข้ามาเริ่มปรับเปลี่ยนก่อน พวกเขาก็แบกรับความรับผิดชอบนี้ ถึงอย่างไรคนที่มีเลือดเข้มหรือพลังโจมตีแข็งแกร่งล้วนมีหน้าที่แบกความรับผิดชอบเข้าออกด่านหน้า ยมทูตตัวเล็กๆ อย่างพวกเขาดูจะกระอักกระอ่วนนิดหน่อย ทำได้แค่งานบางอย่างเท่านั้น อย่างน้อยๆ ก็ไม่ทำให้ตัวเองดูเกียจคร้านขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นก็คงจะอับอายน่าดู
ตำแหน่งของฮวาหูเตียวจะไกลออกไปหน่อย มันนอนหมอบทั้งหาวและหรี่ตาอยู่บนพื้น ความเร็วของมันจะเป็นตัวกำหนดว่ามันสามารถละเว้นช่วงระยะได้ ขอแค่ต้องการมันก็จะออกโรงได้ แต่เพราะว่ามันกลัวความเจ็บปวด จึงใช้เป็นสารแต่งกลิ่นได้เท่านั้น ไม่มีใครกล้าฝากความเชื่อใจไว้ให้มันจนมากนัก
ส่วนเดดพูลยืนอยู่ไกลที่สุด สาวน้อยผิวเข้มไม่ได้ตามมาเพราะแข้งขาเดินเหินไม่สะดวก แต่แค่เดดพูลมาก็ถมเถแล้ว ในเวลานี้เท้าทั้งสองข้างของเขาอยู่ใต้พื้นดินแล้ว ใต้พื้นซีเมนต์เต็มไปด้วยเถาวัลย์
เขารับผิดชอบจัดการสถานการณ์พิเศษบางอย่าง
“หละหลวมเสียจริง” ทารกเอ่ยวิจารณ์
แต่มีสิ่งหนึ่งที่แม้แต่เกิงเฉินก็ไม่กล้าปฏิเสธ นั่นคือความแข็งแกร่งโดยรวมของคนหรือสัตว์อสูรในร้านหนังสือนั้นน่ากลัวจริงๆ
นี่ยังไม่นับรวมเถ้าแก่คนนั้นของทนายอันอีกนะ ชายคนนั้นเคยต้านทานการโจมตีของเขามาก่อน แต่เกิงเฉินมั่นใจว่า ชายคนนั้นจะต้องมีไพ่ตายที่น่ากลัวยิ่งกว่าและยังไม่เคยใช้
“รวมตัวกันลองสู้ไปก่อน ถือเป็นการฝึกทหาร” ทนายอันดึงแขนเสื้อขึ้นและยืนนิ่งอยู่ตรงกลาง
“เจ้ารวบรวมที่นี่…ไม่สิ เขาเป็นผู้จับกุมจะรวบรวมกลุ่มคนไว้ที่นี่เพื่ออะไร”
“เหอะๆ ทำไม ใจเต้นหรือ เจ้าก็อยากลุยหรือไง”
“เจ้าก็รู้ว่านี่มันเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าชาตินี้ข้าจะทำผิดพลาด แต่ก็ยังทำตามกฎและเชื่อในกฎเกณฑ์ ข้าหวังว่ายมโลกจะสามารถดำเนินต่อไปได้ หวังว่าหยินหยางจะแตกต่างกันไปตลอดกาล”
“กฎเกณฑ์หรือ” ทนายอันขำ บีบกำปั้นตัวเองแน่นและพูดต่อ “กฎเกณฑ์คือภรรยา กำปั้นคือสามี ออกไปข้างนอกตอนกลางวัน สามีก็คือสามี ภรรยาก็คือภรรยา พอตกกลางคืนปิดประตูอยู่ในบ้าน สามีก็ทำรักกับภรรยา มันก็เป็นเรื่องถูกต้องสมควรแล้ว”
เมื่อเกิงเฉินได้ยินดังนั้นก็พูดเย้ยหยัน “เป็นเพราะเจ้าขาดความเชื่อมั่นในกฎเกณฑ์ เป็นเพราะมีคนแบบเจ้ามากเกินไปจนยมโลกถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ไปทีละขั้นอย่างไรล่ะ”
“เมื่อกฎเกณฑ์ถูกทำลายง่ายๆ ด้วยกำปั้น ความผิดไม่ได้อยู่ที่หมัดแข็งแรงเกินไป แต่เป็นเพราะกฎเกณฑ์ต่างหากที่มีปัญหาต่างหาก การเกิดขึ้นของยมโลก เดิมทีก็เป็นลำดับผลงานระเบียบใหม่ที่พระกษิติครรภโพธิสัตว์และนำด้วยพระยมสิบตำหนักสร้างขึ้นหลังจากไท่ซานฝู่จวินรุ่นแรกหายตัวไป เป็นไปไม่ได้ที่มันจะเกิดปัญหา เพราะความจริงแล้วการมีอยู่ของมันต่างหากที่เป็นปัญหา”
ขณะนี่ร่ายคำพูดเหล่านี้ ทนายอันก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองนักพรตเฒ่าที่ยืนเช็ดเหงื่อชื้นๆ ของอยู่ตรงนั้น
“คำพูดนี้ใช่ว่าจะถูกหรือผิดเสียทีเดียว ยมโลกมีปัญหา เช่นนั้นยุคป่าเถื่อนก่อนยมโลกเล่า ยุคที่ยักษ์ทมิฬต่อสู้ฆ่าฟันกันเล่า หรือไม่ก็เก่ากว่านั้นอีก ยุคของจ้าวทะเลแห่งความตายในสมัยโบราณผู้นั้นเล่า”
“ให้ตายสิ ไม่คุยกับเจ้าแล้ว ไม่สนว่ามันจะดีจะเลว ข้านั่งอยู่บนนั้นไม่ได้สักหน่อย ยืนบนระดับเดียวกับปิรามิดไม่ได้ก็ต้องเลวอยู่แล้ว”
“นี่ถึงจะเป็นเจตนาเดิมของเจ้าสินะ”
ทนายอันกลอกตาและขี้เกียจตีฝีปากต่อแล้ว เขามองโจวเจ๋อที่ยืนอยู่ไม่ไกลและส่งสายตาให้สัญญาณ
โจวเจ๋อพยักหน้าและถอยหลังหนึ่งก้าว ให้สัญญาณว่าเริ่มได้แล้ว
“เอาล่ะ ทุกคนประจำที่!” ทนายอันตะโกน
ฝั่งสวี่ชิงหล่างชูมือขึ้นส่งสัญญาณว่าเขาจัดวางค่ายกลเสร็จสิ้น ที่ตำแหน่งด้านหน้าค่ายกลก็มีพวกสาวน้อยโลลิยืนครองตำแหน่งอยู่และพร้อมปรับเปลี่ยนตลอดเวลา
เดดพูลก็ชูมือขึ้นสงสัญญาณว่าด้านล่างเตรียมพร้อมสมบูรณ์แล้ว
ทนายอันหายใจเข้าลึกๆ และตะโกนบอก “เหล่าจาง คุณมายิงนัดแรก!”
มีเซี่ยจื้อคุ้มครองเหล่าจางเหมาะจะทำเรื่องนี้ที่สุดแล้ว
เหล่าจางไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าสีหน้าจริงจังแต่กลับไม่มีท่าทีขี้ขลาดใดๆ เขาเดินไปข้างๆ รถเก๋งและเอื้อมมือออกไปเปิดประตูเบาะหลัง
“เชิญสุภาพสตรีลงรถครับ” เหล่าจางเอ่ยพูดอย่างจริงจัง
“อ้วก!”
แต่ในตอนนี้เอง จู่ๆ หญิงสาวก็เอียงหัวยื่นออกมาจากตัวรถและเริ่มอ้วกอย่างบ้าคลั่ง สิ่งที่เธออาเจียนออกมาไม่ใช่สิ่งสกปรก แต่เป็นชิ้นเนื้อเป็นกองๆ ราวกับต้องการอาเจียนอวัยวะทั้งหมดในร่างกายตัวเองออกมา
เหล่าจางกำหมัดแน่น เดิมตั้งใจจะต่อยลงไป แต่เมื่อเห็นเธออาเจียนจนทรมานขนาดนี้จึงคลายหมัดลง และเปลี่ยนไปตบๆ ลูบๆ หลังหญิงสาวเบาๆ แทนเพื่อช่วยให้เธออาเจียนได้สบายขึ้นอีกหน่อย
หญิงสาวอาเจียนอยู่นานมาก เอาแต่อาเจียนจนกองเลือดเต็มใต้รถถึงได้หยุดพัก
“ฮู่ว…” หญิงสาวพิงประตูรถ ในแววตาดูเหมือนจะมีพลังมากกว่าเดิมเล็กน้อย เธอมองเหล่าจางแล้วยิ้มๆ
เหล่าจางก็ยิ้มแย้ม จากนั้นกำหมัดแน่นอีกครั้ง
หญิงสาวยังยิ้มต่อไป รอยยิ้มค่อยๆ เบิกกว้างขึ้นจนปากยืดขยายโค้งน่าสะพรึงกลัวที่คนปกติธรรมดาทำไม่ได้ ทันใดนั้นตามด้วยศีรษะขนปุกปุย มุดโผล่ออกมาจากปากของหญิงสาว เสียงร้องประหลาดใจดังออกมาจากปากหญิงสาว
“ฮะฮ่าๆๆๆ ในที่สุดก็ได้ออกมาแล้ว!”
เหล่าจางกำหมัดกระแทกอัดลงไป
‘ผัวะ!’
ราวกับช่างตีเหล็กใช้ค้อนขนาดยักษ์ทุบตีบนแผ่นเหล็ก ศีรษะที่เพิ่งโผล่ออกมาได้เพียงเล็กน้อยถูกอัดกลับเข้าไป ปากของหญิงสาวกลับมาหุบลงอีกครั้ง เหมือนกับกระเป๋าเดินทางโดนรูดซิปจนปิดแน่นสนิท จากนั้น สายตาของหญิงสาวพลันว่างเปล่าอีกครั้ง และนั่งพิงประตูรถอยู่ตรงนั้นต่อด้วยแววตาสับสนงุนงง…
ที่สับสนงุนงงไปพร้อมๆ กันนั้น ยังมีทุกคนในร้านหนังสือที่กำลังเตรียมพร้อมอยู่ด้านข้าง ทุกคนใช้สายตามองเหล่าจางเหมือนมองคนโง่
คุณทำอะไรลงไปเนี่ย!
……………………………………………………………………