ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 806 รักษาหน้า
ตอนที่ 806 รักษาหน้า
ทนายอันอยากจะถามเหลือเกินว่าคุณไปแอบเรียนภาษาเตียวมาตอนไหน หรือว่าตอนที่ผมไปหาสาวๆ คุณแอบตั้งใจเรียนเพิ่มอยู่ในห้อง
มันต้องจริงจังขนาดนั้นเลยเหรอ
แต่ว่าคนอื่นเขาเป็นผีดิบมาตั้งหลายร้อยปีแล้ว สามารถเข้าใจภาษาของสัตว์บางชนิดได้ก็ถือเป็นเรื่องปกติมาก ในบันทึกโบราณก็ไม่ขาดคนที่มีความสามารถพิเศษสามารถสื่อสารกับสัตว์ได้ อีกอย่าง ทนายอันก็ไม่สนใจจะสื่อสารพูดคุยกับเตียวโง่เง่าตัวนี้ด้วย
เกิดสื่อสารมากไปจนความฉลาดเปลี่ยนเป็นเหมือนเจ้าเตียวโง่เง่าตัวนี้ นั่นน่ะจะเสียมากกว่าได้อีก
เป็นสัตว์เลี้ยงเหมือนกัน ดูเจ้าลิงสิ ทั้งใกล้ชิดและสนิทกับเถ้าแก่ ทั้งยังสนิทกับนักพรตเฒ่าราวกับปู่หลาน แต่เจ้าเตียวโง่เง่าตัวนี้ล่ะ
ดันโดนเถ้าแกส่งไปให้ลูกน้องเลี้ยงไว้เป็นสัตว์เลี้ยงอีกที จุ๊ๆ
“ตอนนี้เรามีสองทางเลือก หนึ่งคือกลับห้องพักแล้วแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย สองคือเร่งเข้าสู้เส้นทางปราบปีศาจผดุงธรรม”
เมื่อพูดถึงตัวเลือกที่สอง ในแววตาของเด็กชายฉายแววเหยียดเบาๆ
ถ้าบอกว่าเมื่อสองปีก่อนตอนที่เพิ่งกลายเป็นยมทูต เหตุผลที่เถ้าแก่โจวโจมตีเจ้าลิงน้อย นั่นก็เพราะว่าตอนนั้นเถ้าแก่โจวยังคิดว่าตัวเองเป็น ‘หมอ’ และ ‘คน’ ในชาติที่แล้วตามสัญชาตญาณอยู่
เช่นนั้นสำหรับเด็กชายแล้ว ตัวเขาเองเดิมทีก็ตกเป็นเป้าหมายโจมตีของ ‘วิถีแห่งฟ้า’ สามารถจัดเป็นพวกเดียวกับ ‘ปีศาจ’ ได้ จะให้ ‘ปีศาจ’ ปราบปีศาจผดุงธรรม มันเป็นไปไม่ได้และฝืนใจคนอื่นเกินไป
ปกติตอนที่อยู่ในร้านหนังสือ นอกจากคำสั่งของโจวเจ๋อแล้ว เขาก็ไม่ซี้ซั้วออกไปเดินเล่นข้างนอก ทำตัวเป็นสุดยอดคนรักอย่างสงบสุข
“ก็ได้ กลับไปนอน นอนรอเถ้าแก่แจ้ง น่าจะเป็นตั๋วเครื่องบินเที่ยวพรุ่งนี้เช้า ผมเห็นการแจ้งเตือนในโทรศัพท์แล้วละ อิงอิงซื้อตั๋วเครื่องบินให้พวกเราแล้ว” ทนายอันหาวหวอดๆ หลังจากการต่อสู้อันดุเดือดจบลงก็ถึงเวลานอนบนเตียงคิดถึงจุดเริ่มต้นของจักรวาล
‘ปัง!’ เด็กชายปิดประตู
ไม่สนว่าตอนนี้โรงแรงแห่งนี้กำลังเล่น ‘ปีศาจเริงระบำ’ อะไร ตราบใดที่เจ้าสิ่งนั้นไม่คิดสั้นมาเคาะประตูห้องนี้ ทนายอันและเด็กชายจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นมัน
แต่ทว่า ทั้งสองเพิ่งจะขึ้นเตียงได้ไม่ถึงสิบนาที ทนายอันยังสูบบุหรี่มวนที่สองไม่ทันหมด
‘ก๊อกๆๆ!’ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
ทนายอันส่ายหน้า ในดวงตาฉายแววโมโหบางๆ ไม่อยากยุ่งคือขี้เกียจยุ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะปอดแหกจะขี้กลัว
พอเปิดประตูออก พี่ชายแอปเอ้อเลอเมอ (หิวหรือยัง) สวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินยืนถือถุงอยู่หน้าประตู ช่างเหมือนพี่ชายพนักงานเดลิเวอรี่แอปเหม่ยถวนสองคนที่ตัวเองเคยเห็นก่อนหน้านี้เปี๊ยบ
“พี่ชาย หักหลังค่ายเร็วขนาดนี้เลยเหรอ”
พี่ชายแอปเอ้อเลอเมอชะงักไปครู่หนึ่ง ดูไม่ค่อยเข้าใจเล็กน้อย และถือถุงพลาสติกขึ้นมาถามว่า “เป็นของที่พวกคุณสั่งหรือเปล่าครับ”
เสแสร้ง คุณเสแสร้งให้ผมดูต่อไปสิ
มือซ้ายของทนายอันเริ่มเผยกระดูกขาวอย่างช้าๆ
ในตอนนี้เอง เด็กชายเดินเข้ามารับเอาถุงพลาสติกไป ขณะเดียวกันก็ตอบกลับ “ขอบคุณครับ สวัสดีปีใหม่”
“สวัสดีปีใหม่” พี่ชายแอปเอ้อเลอเมอไปแล้ว
ทนายอันงงเป็นไก่ตาแตก มองเด็กชายถือถุงพลาสติกไปนั่งลงบนเตียง แล้วถามขึ้น “คุณสั่งของมาเหรอ”
“อืม สายดาต้าขาดแล้วน่ะ ข้าเลยซื้อที่ชาร์จมา” ขณะที่พูด เด็กชายก็แกะบรรจุภัณฑ์ เสียบที่ชาร์จไว้ข้างเตียงพร้อมเชื่อมกับโทรศัพท์มือถือและเริ่มชาร์จ
ทนายอันปิดประตู แล้วขึ้นไปบนเตียง หาวหวอดๆ แล้วเอ่ยว่า “พูดอีกอย่างก็คือ ทุกคนที่เข้าออกโรงแรมแห่งนี้หน้าตาจะกลายเป็นแบบนี้เหรอ”
“น่าจะใช่มั้ง” เด็กชายเปิดโทรศัพท์มือถือดู และเริ่มพิมพ์ข้อความส่งให้สาวน้อยโลลิ ‘โทษที เมื่อกี้แบตโทรศัพท์หมดน่ะเลยส่งข้อความช้า’
ทนายอันแอบเหลือบมอง แอบดูคนอื่นเขาส่งข้อความ แถมยังถามอย่างไร้ศีลธรรมจรรยา “นี่หลินเข่อส่งหรือว่าหวังหรุ่ยส่งมาล่ะ”
เด็กชายเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูด “บางครั้ง ก็เพราะว่าไม่รู้นี่แหละ ถึงได้น่าสนใจกว่า”
“เหอะ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นพ่อหยิบมือถือของลูกสาวมาส่งข้อความหาคุณก็ได้นะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เด็กชายก็ขมวดคิ้ว เนื่องจากเขารู้สึกว่าอาจเป็นไปได้ เพราะพ่อของหวังหรุ่ย ชายวัยกลางคนที่เกี่ยวข้องกับเถ้าแก่ในชาติก่อนคนนั้น แม้แต่ในมุมมองของตัวเด็กชายเองก็รู้สึกว่าเขามีความพิเศษมาก แต่ว่าพอคิดๆ ดูแล้ว เด็กชายก็ส่ายหน้า “เขาไม่ได้เบื่อหน่ายถึงขนาดนั้น”
“ผักกาดขาวที่ปลูกบนที่ดินของครอบครัวได้ไม่กี่ปีกำลังจะโดนคนอื่นยึดครอง ใครเป็นพ่อก็คงทนมองดูไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”
“เจ้าสามารถติดต่อกับเขาให้มากกว่านี้” เด็กชายพูด “ยิ่งติดต่อใกล้ชิดมากเท่าไร ก็จะยิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจมากขึ้นเท่านั้น”
“ผมไม่ชอบแบบนั้นสักหน่อย จุ๊ๆ รอครั้งนี้กลับไปทงเฉิงก่อนแล้วผมจะหาเวลาไปเซี่ยงไฮ้สักเที่ยวหนึ่ง”
“จะออกไปเที่ยวเล่นอีกแล้วหรือ”
“ให้อิสระกับตัวเองน่ะสิ ก็อย่างที่คุณพูดนั่นแหละ เอาแต่อยู่ในร้านหนังสือทั้งวัน ผมใกล้จะกลายเป็นเสียงหลินส่าว[1]อยู่แล้ว
‘ซ่าๆๆ…ซู่ซ่า…ซ่าๆๆ…’
นอกห้อง มีเสียงน้ำไหลดังลอดเข้ามา คล้ายกับตอนนี้ห้องพักแห่งนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ
“นี่มีเอฟเฟกต์เสียงด้วยเหรอ” ทนายอันหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ผมเดาว่าอีกเดี๋ยวน่าจะมีเสียงผู้หญิงดังตามมาทีหลัง”
เด็กชายกลอกตาใส่เขาและพูดว่า “ไฟยังไม่มอดอีกหรือ”
“เหอะ”
“ฮือออออ…ฮือออออ…” เสียงคร่ำครวญของผู้หญิงดังขึ้น
‘เป๊าะ’ ทนายอันเดาะลิ้น ก่อนจะเอื้อมมือไปตบหัวเด็กชายเบาๆ อย่างได้ใจ และพูดต่อ “ถึงเวลาที่เธอจะร้องเพลงแล้ว ไม่สิ ร้องงิ้วต่างหาก”
เป็นไปตามคาด สิ้นเสียงของทนายอัน เสียงท่วงทำนองดังมาจากทางเดินด้านนอก เสียงผู้หญิงไพเราะเสนาะหู น่าประทับใจมาก
“ร้อง ‘บันทึกหงเหมย’” ทนายอันอธิบาย
“เจ้าฟังมันออกด้วยหรือ” เด็กชายประหลาดใจเล็กน้อย
“ไม่ว่ายังไงเราก็เป็นลูกผู้ดีมีเงินในสมัยสาธารณรัฐจีน สมัยนั้นไม่มีความบันเทิงอื่นใด ต้องฟังแต่งิ้ว แล้วหาพวกทาแก้มแดงทั้งชายและหญิงสักสองสามคน ให้การสนับสนุนเธอ (เขา) แล้วเก็บสะสม เหมือนกับการเลี้ยงนกกระจอก”
ผู้ใหญ่และเด็กทั้งสองคนนอนบนเตียงอยู่อย่างนี้ พูดคุยนอกประเด็นไปเรื่อยๆ คล้ายกับกำลังเดาพฤติกรรมของสิ่งที่อยู่ตรงทางเดินด้านนอก
“นางจะทำอะไรกันแน่” เด็กชายดูเวลาในโทรศัพท์
“ไม่รู้สิ วันนี้อาจจะอารมณ์ดีละมั้งเลยอยากจะร้องงิ้วสักพัก สำหรับคนที่ชอบการร้องงิ้วเนี่ยมันช่างน่าหลงใหลและชวนให้เสพติดจริงๆ”
เด็กชายเอื้อมมือออกไปหยิบหน้ากากงิ้วที่วางเป็นของตกแต่งบนตู้ข้างเตียงลงมา และสวมเข้ากับใบหน้าตนเอง
นี่เป็นหน้ากากงิ้วสีแดง เมื่อเทียบกับขนาดหัวของเด็กชายมันดูใหญ่เกินไปหน่อยอย่างเห็นได้ชัด
“งิ้วทางเสฉวนนี้ งิ้วเปลี่ยนหน้าน่าจะค่อนข้างมีชื่อเสียงพอตัวเลยใช่หรือไม่” เด็กชายถาม
“ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว ที่จริงถ้าอยู่ในวงการจะไม่พูดแบบนั้นหรอก แต่จะว่ายังไงดีล่ะ สำหรับคนธรรมดาส่วนใหญ่ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องและคุ้นชินกับงิ้วมากนักแค่ดูเพื่อความตื่นเต้นเท่านั้น การเปลี่ยนหน้าเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นและเร้าใจจริงๆ”
“เปลี่ยนกันยังไงนะ มีวิธีการเฉพาะใช่ไหม”
ทนายอันหัวเราะคิกคักและสนใจขึ้นมาอย่างชัดเจน โดยพื้นฐานแล้วคนส่วนใหญ่คงมีความอยากอวดความรู้กับคนข้างๆ
“จริงๆ แล้วนี่เป็นเรื่องง่ายมาก ในยุคแรกๆ งิ้วเปลี่ยนหน้าถูกวาดบนกระดาษฟาง ไม่ใช่กระดาษม้วนที่เราใช้เช็ดก้น แต่เป็นกระดาษฟางโบราณ อืม ส่วนทำได้ยังไงหรือมีลักษณะเจาะจงยังไงจริงๆ ผมก็ไม่ค่อยจะรู้แน่ชัด แต่ตอนนี้ฐานะของทุกคนดีขึ้นแล้ว โดยทั่วก็น่าจะใช้ผ้าซาตินแล้วละมั้ง ก็แค่วาดทีละแผ่นๆ แล้ววางซ้อนทับบนใบหน้าของนักแสดงให้เรียบร้อย
แต่ละใบหน้าจะมีเส้นด้ายเชื่อมต่อกัน และตำแหน่งที่ร้อยด้ายอาจจะผูกไว้ที่เอวหรือพันไว้ที่แขนของนักแสดง สรุปก็คืออยู่ที่ใครจะสะดวกแบบไหน จากนั้นตอนที่เปลี่ยนหน้าก็ดึงด้ายให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของจังหวะและฉาก แล้วค่อยใช้การเคลื่อนไหวและท่าทางปกปิดไว้ ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนหน้านี้ก็ออกมาแล้ว”
“งั้นก็ค่อนข้างง่ายเลยน่ะสิ”
“มันก็ยังขึ้นอยู่กับทักษะอยู่ดี”
“งั้นข้างนอกนี่นับว่าเป็นอะไรล่ะ งิ้วเปลี่ยนหน้าระดับสูงกว่ารึ ทำให้คนทั้งโรงแรมแห่งนี้หน้าตาเหมือนกัน หน้าตากลายเป็นเหมือนผู้ชายคนนั้นหมดเลย”
ก่อนหน้านี้ทนายอันเจอพี่ชายพนักงานเดลิเวอรี่สามคนหน้าตาเหมือนกันหมด เห็นได้ชัดว่า ลักษณะแบบนั้นถึงจะเป็นรูปแบบที่กำลังใช้อยู่ในเวลานี้ แต่ตัวพวกเขาเองดันไม่รู้ตัวเลยสักนิด
“น่าจะถือว่าเป็นงิ้วเปลี่ยนหน้าระดับสูงมากละมั้ง แต่ว่าปล่อยให้เธอสนุกไปเถอะ บอกตามตรงว่าสำเนียงการร้องดีจริงๆ รู้สึกเหมือนตอนที่ผมไปดูนักแสดงชื่อดังเหล่านั้นติดขอบเวทีเลย ขอแค่เธอไม่คลุ้มคลั่งและฆ่าคนไปทั่วโรงแรมก็ปล่อยเธอไปเถอะ ลุงป้าน้าอาเต้นรำที่จัตุรัสรบกวนผู้คนก็ไม่เห็นว่าจะมีใครเข้าไปควบคุมได้เลยสักคน”
เด็กชายเบ้ปาก หากนางไม่ได้ทำอะไรเลย เช่นนั้นใบหน้านางออกมาจากอากาศหรืออย่างไร
“เอาละ นอนกันได้แล้ว พรุ่งนี้ยังต้องขึ้นเครื่องอีกนะ”
“เช่นนั้นเจ้าไปอาบน้ำก่อน บนกายเจ้ามีกลิ่นไม่เข้าท่าติดอยู่”
“กลิ่นน้ำหอมของเธอบนตัวคุณ เป็นจมูกของฉันเองที่ทำผิด ไม่ควรเชยชมความงามของเธอ เช็ดทุกอย่างออกไปแล้ว แล้วนอนกับคุณ” ทนายอันร้องเพลงพลางลุกออกจากเตียงไปห้องน้ำอาบน้ำอาบท่า จากนั้นก็เช็ดตัวพลางเดินไปที่อ่างล้างหน้าทางด้านนี้
“เมื่อไรนางจะร้องจบ ข้าอยากอ่านหนังสือสักพัก นางเสียงดังนิดหน่อย”
“นี่มันเป็นศิลปะนะ เข้าใจไหม ศิลปะน่ะ! คุณอยู่มาตั้งหลายร้อยปีแล้ว อย่ามัวแต่ตามท่วงทำนองชาวบ้าน ต้องรู้จักเพลิดเพลินไปกับความมีระดับ ฟังดูสิ คนเขาร้องไพเราะขนาดไหน ร้อง ‘บันทึกหงเหมย’ จบแล้ว ตอนนี้เปลี่ยนเป็น ‘เสาเผาเล่า’ จุ๊ๆ อี๋ยายายา…”
ทนายอันฮัมเพลงตาม และหยิบโฟมล้างหน้ามาถูหน้า ขณะเดียวกันก็เอ่ยขึ้น “อันที่จริง น่าเสียดายจริงๆ ที่เหล่าสวี่ในร้านหนังสือของเราไม่ไปเรียนร้องงิ้ว ร่างเล็กๆ นั่น ดวงตาคู่นั้น ท่าทางแบบนั้น จุ๊ๆ จะมีสักกี่คนที่ทนไหว”
“เขาไม่แต่งหน้าร้องงิ้ว ก็มีไม่กี่คนที่ทนไหว”
“ก็จริง”
ทนายอันกวักน้ำล้างหน้า และหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาเช็ดหน้า จากนั้นเขาก็ตะลึงค้างไป ทันใดนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงขรึม “ผมรู้สึกว่าจำเป็นต้องมีคนไปจัดการคนที่รบกวนคนอื่น รบกวนการพักผ่อนของคนอื่น ช่างผิดศีลธรรมจรรยาที่สุด!”
เด็กชายวางโทรศัพท์มือถือลง แล้วถามอย่างสงสัย “ไม่ใช่ว่าต้องเพลิดเพลินแบบมีระดับหรือ”
“ความเพลิดเพลินที่รบกวนคนอื่นก็เป็นความหยาบคายอีกแบบหนึ่ง!”
ทนายอันเดินออกจากห้องน้ำด้วยความโมโหและจะไปเปิดประตู เพราะเมื่อเขาเพิ่งล้างหน้าและส่องกระจกนั้น จู่ๆ ทนายอันก็พบว่าใบหน้าที่หล่อเหลาแต่เดิมของเขาดันถูกเปลี่ยนไปเหมือนกันน่ะสิ!
เขาอันปู้ฉี่ ยังต้องรักษาหน้าอยู่นะ!
……………………………………………………………………….
[1]เสียงหลินส่าว ตัวละครในเรื่องสั้นของหลู่ซวิ่นเรื่อง ‘อวยพร’ เป็นตัวแแทนของกลุ่มคนที่ถูกบีบคั้นจากกฎเกณฑ์และความเชื่องมงายของระบบศักดินา