ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 221 หน้าครึ่งซีก
ตอนที่ 221 หน้าครึ่งซีก
สิ่งที่แตกต่างจากความตื่นเต้นของถังซือก็คือ ตอนนี้หลังของโจวรู้สึกเย็นวาบเล็กน้อย เพราะโจวเจ๋อเคยเห็นภาพร่างที่พังเละเดินเตร่ไปทั่ว และใช้ความตายวาดภาพศิลปะในศูนย์วิจัยมาแล้ว
การเดินปล่อยอารมณ์แบบนั้น ความเชื่องช้านวยนาดแบบนั้น เหลือเพียงแค่ทุ่มเงินเก้าเหวิน (อีแปะ) ต่อหน้าคุณแล้วถามคุณว่าคำว่า ‘ตาย’ เขียนได้กี่วิธี
ถ้าคนอื่นพูดว่า ‘ตอนผมบ้าขึ้นมา แม้แต่ผมยังกลัวตัวเอง’ เป็นแค่คำหยอกล้ออย่างหนึ่งละก็
อย่างนั้นสำหรับเถ้าแก่โจวคนปัจจุบันแล้ว นี่เป็นคำอธิบายที่เหมาะสมที่สุด
ทั้งๆ ที่เป็นตัวเขาเอง แต่ในใจของเขากลับมีความรู้สึกหวาดกลัวสุดขีดต่อคนคนนั้นจริงๆ
“ที่จริงแล้ว…คุณมองข้ามปัญหาหนึ่งมาโดยตลอด”
ขณะที่ถังซือเอ่ยขึ้นก็ค่อยๆ เดินไปด้านหน้า
“ปัญหาอะไร”
“นั่นคือสิ่งที่คุณเคยเป็นเมื่อในอดีต ก็คือคุณ คุณในปัจจุบัน ก็คือคุณเอง ในเมื่อคุณในปัจจุบันเป็นตัวคุณเอง อย่างนั้นคุณในอดีต ก็ไม่ใช่คุณแล้วยังไงล่ะ”
นักพรตเฒ่านับคำว่า ‘คุณ’ หลายคำอยู่ข้างๆ พูดตามตรง เขาไม่เข้าใจว่าคำพูดของถังซือสื่อถึงอะไรกันแน่ ในขณะเดียวกันนักพรตเฒ่าก็เริ่มมีความสงสัยในใจ
ผีตายพวกนี้แตกต่างจากคนทั่วไปจริงๆ ด้วยสินะ ในสถานที่น่ากลัวแบบนี้ ยังถกประเด็นปัญหาปรัชญาอยู่อีก
พูดตามตรง ตอนนี้นักพรตเฒ่ารู้สึกเสียใจที่ตามลงมาด้วยกัน รู้อย่างนี้ดูต้นทางอยู่ข้างบนดีกว่าเสียอีก ข้างล่างนี้เดิมทีก็น่าตื่นตระหนกอยู่แล้ว พวกเขายังจะพูดอะไรแปลกๆ อีก
โจวเจ๋อนั้นฟังเข้าใจว่าถังซือหมายถึงอะไร ฉากที่เขาเห็นในความฝันนั้นเป็นตัวเองเมื่อในอดีตที่ฆ่าคน อย่างนั้น แปดสิบปีต่อมา เขาได้กลายเป็นโจวเจ๋อ เขาสูญเสียความทรงจำไปไม่น้อยทีเดียว และก็จำได้แค่เรื่องที่ตัวเองคือโจวเจ๋อเท่านั้น แต่จิตวิญญาณได้รับการสืบทอดต่อกันมา นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำไมเขาก็สามารถกลายเป็นผีดิบได้ด้วย
ด้วยเหตุนี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาและร่างที่พังเละนั้นจะปรากฏขึ้นในยุคสมัยเดียวกัน ต่อให้ตอนนี้อีกฝ่ายจะอยู่ที่นี่ แต่มันก็เป็นเพียงร่างกายหนึ่งเท่านั้น
เพราะเมื่อแปดสิบปีก่อนร่างพังเละนั้นสังหารหมู่และสร้างศิลปะแห่งความตายอยู่ที่นี่ จิตวิญญาณของเขาได้กลายเป็นจิตวิญญาณในปัจจุบันของตัวเองเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น เหลือเพียงแค่ซากว่างเปล่า ระดับการคุกคามนั้นไม่ร้ายแรงเท่าในอดีตอย่างแน่นอน
“คุณไม่รู้สึกสนใจเรื่องในอดีตของตัวเองสักนิดเลยเหรอ ฉันไม่รู้สึกว่าคุณจะอยากรู้ตัวตนที่แท้จริงในอดีตของตัวเองมากสักเท่าไรเลย” ถังซือหลบเลี่ยงซากศพใต้ฝ่าเท้าพลางถามขึ้น
“ผมจำได้แค่ผมก็คือตัวผม ผมคือโจวเจ๋อ ผมคิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว” โจวเจ๋อตอบ
“เหอะ สภาพจิตใจไม่เลวจริงๆ”
“ในร้านหนังสือของผมมีเรื่องราวในหนังสือไม่น้อยเลย ที่ตัวเอกต้องไขปริศนาประวัติชีวิตของตัวเองเพื่อตามหาความจริงที่ถูกลืมเลือน และต้องทนทุกข์อันใหญ่หลวงมาตลอดทาง แต่นั่นน่ะมันเหนื่อยจะตาย”
“มีเหตุผลมาก” ถังซือพยักหน้า
“ที่จริง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ถ้าหากได้ตัวตนเดิมกลับคืนมา ผมกลัวว่าผมจะไม่ใช่ผมในปัจจุบันอีกต่อไป สำหรับผมในปัจจุบันแล้ว แทบจะเท่ากับผมถูก ‘ฆ่าตาย’ เสียด้วยซ้ำ”
นักพรตเฒ่าที่ฟังอยู่ด้านหลังรู้สึกสับสนมากจริงๆ
แม่งเอ๊ย หญิงชายนอกรีตสองคนนี้คุยจนติดงอมแงมไปแล้วละมั้ง แถมยังคุยถึงขั้นลึกซึ้งขนาดนั้น
ในที่สุดก็เดินมาถึงหน้าประตูห้องทดลองห้องนั้น ประตูห้องทดลองถูกปิดอยู่
“สุดท้ายเขาก็พาตัวเองวิ่งกลับเข้าตู้นิรภัยงั้นเหรอ” ถังซือถาม
“ผมไม่แน่ใจ”
‘แอ๊ด…’
ประตูผุพังเปิดออกอย่างช้าๆ พร้อมกับส่งเสียงเสียดสีแสบแก้วหู ดังก้องในศูนย์วิจัยแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง บางมุมในระยะไกลๆ ยังมีเสียงก้องสะท้อนออกมา ราวกับว่าดวงวิญญาณที่ตายไปแล้วยังคงโหยหวนอยู่
“คุณถัง เวลานี้เราใช้มือจริงๆ เปิดประตูได้ไหม เจ้าเปิดประตูแบบนั้นทีไรข้ารู้สึกตื่นตระหนกอยู่เสมอเลย”
นักพรตเฒ่าบ่นเบาๆ อยู่ข้างๆ
ถังซือมองนักพรตเฒ่าแล้วยักไหล่
“ถ้าฉันบอกคุณว่าเมื่อครู่นี้ฉันไม่ได้ใช้พลังจิต คุณจะยิ่งรู้สึกตื่นตระหนกมากขึ้นหรือเปล่าล่ะ”
“…” นักพรตเฒ่า
ถังซือไม่รีบร้อนเดินเข้าไป แต่มองไปรอบๆ อีกครั้ง เธอมักจะรู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ในที่มืดและกำลังเฝ้าดูตัวเองและคนอื่นๆ อยู่
“โจวเจ๋อ เหมือนว่าพวกเราจะมองข้ามปัญหาพื้นฐานที่สุดข้อหนึ่งไป โทษที ฉันไม่เคยจัดการปัญหาที่ซับซ้อนอย่างคุณมาก่อน ดังนั้นจึงมองข้ามมาโดยตลอดและคิดไม่ออกน่ะ”
“อะไร”
“นั่นก็คือ ในเมื่อคุณในปัจจุบันอยู่ที่นี่ คุณคือโจวเจ๋อ อย่างนั้นหมายความว่าช่วงแปดสิบปีมานี้ ต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับคนคนนั้นที่อยู่ที่นี่แน่นอนใช่หรือเปล่า ไม่อย่างนั้น คุณจะมาจากที่ไหนกัน”
‘ปัง!’
ทันทีที่ถังซือพูดจบ เสียงทุ้มต่ำดังลอยมาจากด้านในห้องทดลอง
ถังซือจ้องเขม็ง ไม่สนใจถกปัญหาเมื่อสักครู่กับโจวเจ๋ออีกต่อไป และเดินตรงดิ่งเข้าไปในห้องทดลอง
ประตูตู้นิรภัยถูกปิดลงแล้ว และยังมีฝุ่นฟุ้งกระจายอยู่รอบๆ ด้านบนของตู้นิรภัยมีรูขนาดเท่าใบหน้าคนอยู่
แต่ด้านล่างนั้นกลับมีซากศพที่เหลือแค่โครงกระดูกเท่านั้น ส่วนกะโหลกขาวยังคงขาวกว่าส่วนอื่นของร่างกาย คล้ายกับว่าเพิ่งขูดหินปูนมา
นักพรตเฒ่าหลบอยู่หลังโจวเจ๋อ และกำยันต์ไว้ในมือ แต่ดวงตาของเขาสอดส่องไปรอบๆ ซากศพนั้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันก็เอ่ยถามโจวเจ๋อ
“เถ้าแก่ หัวกะโหลกอันนั้นเอากลับไปได้นะ มันเหมือนงานศิลปะเลย”
“ถ้าคุณจะเอา คุณก็เอากลับไปเถอะ” โจวเจ๋อไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้
ถังซือเหลือบมองโจวเจ๋อ ให้สัญญาณว่าเธอกำลังจะเปิดตู้นิรภัยแล้ว
โจวเจ๋อพยักหน้าแล้วหันตัวตะแคงไปด้านข้าง เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
‘แอ๊ดดด…’
เสียงเสียดสีเบาๆ ดังลอยมาจากตู้นิรภัยตรงนั้น คล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ข้างในดึงรั้งไว้ไม่ให้ถังซือใช้พลังจิตเปิดออกมา
ถังซือขมวดคิ้วน้อยๆ และเพิ่มแรงเข้าไปอีก
‘ปัง!’
ได้ยินเพียงเสียงโครมคราม แล้วทั้งตู้นิรภัยก็ลอยขึ้นไป
ใช่แล้ว ลอยขึ้นไป
โจวเจ๋อรีบผลักนักพรตเฒ่าทันที จากนั้นเขาเองก็ถอยออกไปเพื่อเลี่ยงไม่ให้ตู้นิรภัยหล่นทับ
‘จี๊ดๆๆ จี๊ดๆๆ จี๊ดๆๆ…’
ประตูตู้นิรภัยเปิดออกเอง จู่ๆ หนูรูปร่างใหญ่ก็พุ่งกรูออกมาจากข้างใน หนูแต่ละตัวพวกนี้มีขนาดใหญ่พอๆ กับลูกแมว ขณะเดียวกันในลูกตาของพวกมันมีแสงสีดำ หลังจากกรูกันออกมามันก็ไม่กลัวผู้คน ทั้งยังรวมกันต่อหน้าผู้คนราวกับว่าพร้อมที่จะจู่โจมทุกเมื่อ
ด้านล่างที่เป็นตำแหน่งเดิมของตู้นิรภัย กลับปรากฏโพรงขนาดใหญ่หนึ่งโพรง โพรงนี้เป็นหลุมยุบเว้าลงไป ตรงนี้ยังมีควันสีขาวหลงเหลืออยู่
เศษกระจกสองชิ้นบนพื้นถูกถังซือควบคุมและกวาดตรงไปทางพวกหนูตัวใหญ่เหล่านั้น ทันใดนั้นทั้งเลือดทั้งเนื้อของหนูกระเซ็นปลิวว่อนไปทั่ว บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ส่วนที่เหลือรีบวิ่งกรูกลับเข้าไปในโพรงด้วยความตกใจกลัว
“เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น” โจวเจ๋อเหลือบมองชิ้นส่วนของซากศพหนูบนพื้นและถามถังซือ
“มีบางอย่างสู้กับพลังจิตของฉันอยู่ด้านล่าง”
ถังซือไม่รีบร้อนเข้าไปที่โพรงนั้น แต่กลับมองผนังโดยรอบ
“โจวเจ๋อ ฉันคิดว่าปัญหาในตอนนี้มันไม่ง่ายเหมือนการจัดการซากที่หลงเหลือทิ้งไว้ในอดีตของคุณแล้วละ ยังมีอย่างอื่นอยู่ที่นี่จริงๆ”
ทันทีที่ถังซือพูดจบ จู่ๆ ผนังในห้องทดลองก็ร้อนระอุและเริ่มแตกร้าว ทันใดนั้นสิ่งที่คล้ายกับหนวดหมึกฟาดขวางเข้ามา ส่งเสียงแผดก้องในอากาศแฝงด้วยพลังความแกร่งถึงขีดสุด!
ถังซือแบมือออกทั้งสองข้าง พลังจิตก่อตัวเป็นกำแพงที่มองไม่เห็นขวางหนวดหมึกส่วนใหญ่เอาไว้
มีหนวดเส้นหนึ่งพุ่งทะลุเข้ามาจากอีกทางหนึ่ง และตอนที่กำลังจะสัมผัสเข้ากับถังซือก็ถูกโจวเจ๋อคว้าเอาไว้ได้ จากนั้นใช้เล็บกรีดมันออก ชั่วขณะหนึ่ง ของเหลวเหม็นเน่าปรากฏขึ้นตรงฝ่ามือของโจวเจ๋อ
และในเวลานี้เอง เสียง ‘ฉึบฉับๆ’ ดังมาจากส่วนอื่นของศูนย์วิจัย คล้ายกับมีเถาวัลย์จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังแผ่ขยายมาทางนี้
‘เพล้งๆ…’
กระจกบริเวณใกล้เคียงก็ถูกกระแทกจนแตกเช่นกัน เถาวัลย์เหล่านั้นปิดกั้นทางออกและซอกหลืบทั้งหมดของห้องทดลองนี้อย่างรวดเร็ว พวกมันไม่ได้โจมตี แต่เริ่มหลั่งของเหลวสีขาวข้นหนืดแทน ของเหลวสีขาวเหล่านี้มีกลิ่นที่มีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรงมาก เมื่อกระทบพื้นจะรู้สึกเหมือนกรดกำมะถันรั่วไหลออกมาอย่างไรอย่างนั้น
“บ้าเอ๊ย นี่มันตัวบ้าอะไรวะเนี่ย” นักพรตเฒ่ากลัวจนตัวเริ่มสั่นเทา
ฉากนี้ดูเหมือนว่าตัวเองและคนอื่นๆ เดินเข้าไปในท้องของดอกไม้กินคน ตอนนี้มันเตรียมจะย่อยตัวเองและคนอื่นๆ แล้ว
“น่าจะเป็นพืชที่ได้รับผลกระทบจากสถานที่แห่งนี้” ถังซือพูดพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่ใช่ มันเป็นสัตว์ประหลาดก่อนหน้านี้ฉันรู้สึกว่ามันแปลกๆ เห็นๆ กันอยู่ว่าที่นี่ไม่มีร่องรอยวิญญาณเลยสักนิด แต่มักจะรู้สึกว่ามีตัวอะไรบางอย่างจ้องมองฉันอยู่ มันคือปีศาจ!”
‘เปาะแปะ…เปาะแปะ…’
ของเหลวสีขาวขุ่นรอบๆ เริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย และค่อยๆ เริ่มไหลเข้าใกล้โจวเจ๋อและคนอื่นๆ
“มันจะให้พวกเราเข้าไปในโพรงนั้น”
โจวเจ๋อชี้ไปข้างหน้าที่เป็นจุดที่หนูเพิ่งมุดกลับเข้าไป
“หยิ่งมาก พวกเรามาถึงที่นี่ แกไม่ออกมาเจอพวกเราก่อน แล้วยังอยากจะให้พวกเราเข้าไปกราบไหว้แกก่อนน่ะเหรอ”
ถังซือหลับตา จากนั้นก็ค่อยๆ ลืมตาอย่างช้าๆ
ในส่วนลึกของดวงตาเธอมีแสงสีม่วงกะพริบระยิบระยับอยู่ และเท้าทั้งสองข้างของเธอก็เหมือนกำลังลอยขึ้นไปเช่นกัน แน่นอนว่าระยะที่ลอยอยู่นั้นไม่สูงเท่าไร เพียงแค่ไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น
จากนั้นลมก็พัดแรงขึ้น ชั่วขณะหนึ่งของเหลวสีขาวที่ไหลบนพื้นก็ลอยขึ้นเช่นกัน และลอยปลิวย้อนกลับไปสาดใส่บนตัวหนวดเหล่านั้นทั้งหมด
ก่อนหน้านี้เห็นได้ชัดว่ามันเป็นของเหลวที่หลั่งออกมาจากหนวดเหล่านั้น แต่ตอนนี้มันกลับสร้างความเสียหายให้กับพวกมันด้วยเช่นกัน ทันใดนั้น โจวเจ๋อเริ่มบิดและสลายหนวดที่มากมายหนาแน่นอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นมันก็เริ่มล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว กลิ่นของกลูเตนย่างตลบอบอวลอยู่ในอากาศ
ถังซือหลับตาลงอีกครั้ง สูดหายใจเข้าลึก
ร่างกายของเธอเซเล็กน้อย แต่ยังฝืนเอาไว้ เมื่อครู่นี้เธอรู้สึกว่าใช้พลังมากเกินไปหน่อย
‘กุกกักๆ…กุกกักๆ…”
เสียงเสียดสีชัดเจน เริ่มดังขึ้นมาจากโพรงด้านล่างเป็นระยะๆ ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวมาทางนี้
สิ่งนั้นมาแล้ว
เงาค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากโพรงด้านล่างอย่างเชื่องช้า เหมือนเป็นใบหน้ามนุษย์
นักพรตเฒ่าหยิบไฟฉายโทรศัพท์มือถือออกมาส่องตรงนั้น และก็เบิกตากว้างทันที
สิ่งที่โผล่ออกมาจากตรงโพรง คือใบหน้าครึ่งหนึ่งของมนุษย์ ส่วนใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งเหมือนถูกผ่าออกไปอย่างราบเรียบมาก และยังมีเงาแวววาวประหลาดๆ อีกด้วย
………………………………………………..