ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 220 การกลับมาอีกครั้ง
ตอนที่ 220 การกลับมาอีกครั้ง
เข้าสู่ช่วงดึกแล้ว
มีคนสองคนนั่งอยู่บนม้านั่งในสวนสาธารณะหลังสถานีตำรวจ ฝั่งหนึ่งเป็นผู้ชาย และอีกฝั่งหนึ่งก็เป็นผู้ชาย
จางเยี่ยนเฟิงล้วงบุหรี่ออกจากกระเป๋า ยื่นให้โจวเจ๋อ จากนั้นก็คาบไว้ในปากตัวเองอีกมวนหนึ่ง
พวกเขานั่งแบบนี้มาพักใหญ่แล้ว
นักพรตเฒ่ากับถังซือก็ยืนอยู่ไม่ไกลนัก
“ชักช้ายืดยาด”
ถังซือดูจะไม่ค่อยพอใจกับสไตล์การทำงานที่ลีลายืดยาดของโจวเจ๋อ ตามนิสัยของเธอแค่ทำให้ตำรวจคนนั้นหมดสติไปเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว
“คุณจาง ครั้งนี้เชื่อผมเถอะ วิธีที่ปลอดภัยที่สุดของเรื่องนี้ก็คือให้ผมลงไปดูก่อน แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญจะมาวันพรุ่งนี้แล้วก็ตาม ผลลัพธ์ล้วนไม่ดีเท่าผมลงไปเองหรอกครับ”
จางเยี่ยนเฟิงยังคงเงียบไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่พ่นควันบุหรี่อย่างเงียบๆ
“ผมไม่มีความจำเป็นต้องโกหกคุณ จริงๆ นะ”
“ข้างล่างคือห้องทดลองวิจัยแบคทีเรียในอดีตของกองทัพญี่ปุ่น คุณมั่นใจแค่ไหนว่าการลงไปโดยพลการจะไม่ทำให้ก๊าซอันตรายรั่วไหล” จางเยี่ยนเฟิงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “คุณรู้ไหมว่ามีคนอาศัยอยู่แถวนี้กี่คน”
“ผมขอพูดให้ชัดๆ เลยนะ หากข้างล่างอยู่ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เมื่อถึงเวลานั้นสิ่งของเน่าเสียจะสร้างความเสียหายได้มากกว่าการรั่วไหลของก๊าซพิษเสียอีก”
เมื่อนึกถึงร่างกายที่พังเละนั้น และในตอนท้ายเขาที่ไม่สามารถแม้แต่จะควบคุมตัวเองได้ หากเขาฟื้นขึ้นอีกครั้ง ผลที่ตามมาจะเลวร้ายมาก
“คุณตีผมสลบได้นะ” จางเยี่ยนเฟิงโยนก้นบุหรี่ลงบนพื้นแล้วเหยียบขยี้มัน
“อะไรนะ” โจวเจ๋อตะลึงไปครู่หนึ่ง
“ผมรอคุณตีผมให้สลบอยู่น่ะ แน่ละว่าผมจะตอบโต้ เพราะมันเป็นงานของผม แต่ผมเชื่อว่าคนอย่างคุณ…สามารถตีผมสลบได้แม้ผมจะต่อต้านก็ตาม ถึงตอนนั้น ไม่ว่าคุณจะทำอะไรผมก็ไม่สามารถหยุดคุณได้”
“ทำไมคุณถึงได้ดื้อด้านขนาดนี้นะ” โจวเจ๋อพูดอย่างเอือมระอาเล็กน้อย
“ที่ดื้อด้านน่ะ ไม่ใช่ผม แต่เป็นคุณต่างหาก”
จางเยี่ยนเฟิงชี้ถังซือและนักพรตเฒ่าที่ยังรออยู่ใต้ไฟกิ่งถนนด้านหน้าและพูดขึ้น
“เด็กสาวคนนั้นน่ะ เคยฆ่าคนใช่ไหม”
โจวเจ๋อไม่ตอบ
“แค่เห็นเธอครั้งแรกผมก็รู้แล้ว เหอะๆ ผมเคยเป็นทหารมาก่อน ต่อมาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอาชญากรรม ผมทำงานสายนี้มาหลายปีแล้ว เจอคนชั่วเลวทรามมาไม่น้อย สายตาของเด็กสาวคนนั้นน่ะ แค่มองปราดเดียวผมก็รู้แล้วว่าเธอเคยฆ่าคนมาก่อน และเป็นประเภทที่ไม่สนใจชีวิตมนุษย์ ถ้าผมไม่เชื่อคุณละก็ ตอนนั้นที่อยู่ในสถานีตำรวจ ผมก็สามารถเรียกคนมาล้อมเธอเอาไว้ได้ จากนั้นก็ตรวจสอบตัวตนของเธอ”
โจวเจ๋อหัวเราะ “ตรวจสอบไม่ได้หรอก”
จางเยี่ยนเฟิงเหลือบมองโจวเจ๋อด้วยความประหลาดใจ
“ในโลกนี้ มีหลายอย่างที่ตรวจสอบไม่ได้ เอาจริงนะ ตอนแรกที่คุณจับผม ก็ตรวจสอบอะไรไม่พบไม่ใช่เหรอครับ แต่ผมสามารถบอกคุณได้ชัดเจน ในปีที่ผ่านมา ผมส่งคนลงนรกไปนับไม่ถ้วนแล้ว”
“งั้นทำไมคุณยังยอมนั่งกับผมที่นี่นานนักล่ะ” จางเยี่ยนเฟิงถามด้วยความสงสัย
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองมีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด ในตอนแรกโจวเจ๋อเป็นผู้ต้องสงสัย ส่วนจางเยี่ยนเฟิงเป็นตำรวจ ต่อมาทั้งคู่ได้เป็น ‘เพื่อนร่วมคุก’ แต่ตอนนี้ ทั้งสองเป็นเหมือนเพื่อนในวงการสองคนที่ชื่นชมซึ่งกันและกัน
“อย่างแรก ยังไม่เที่ยงคืน ยังเช้าอยู่เลย อย่างที่สอง ผมคิดว่าคุณเป็นตำรวจที่ดี และผมยินดีเสียเวลากับคุณอีกสักหน่อย”
“ผมควรรู้สึกเป็นเกียรติจากสิ่งนี้ไหมเนี่ย”
โจวเจ๋อลุกขึ้นยืน จางเยี่ยนเฟิงก็ถูกบังคับให้ยืนขึ้นด้วยกัน
“ผมเชื่อว่าในโลกนี้ยังมีคนดีอีกมาก ผมเคยเจอตำรวจดีๆ หลายคนมาก่อน เป็นตำรวจดีที่ปฏิบัติตามกฎอย่างแท้จริง ผมเคารพนับถือพวกเขา ดังนั้นตอนนี้ก็เคารพคุณเช่นกัน เพราะฉะนั้นหวังว่าคราวนี้คุณจะไม่เป็นพวกทำงานคร่ำครึ คุณสามารถลงไปกับผมได้ คุณมีโซ่ตรวนที่เท้าด้วย หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิดละก็ บางทีญาติคนไหนของบรรพบุรุษคุณอาจเสียชีวิตที่นั่นก็ได้”
“ผมสืบมาแล้ว ผมมีคุณปู่รอง ว่ากันว่าเขาเข้าร่วมกองทัพในช่วงสงครามต่อต้านญี่ปุ่น แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราว สมาชิกในครอบครัวก็ไม่สามารถหาคำตอบได้”
“ลงไปกับผมเถอะ” โจวเจ๋อเอ่ยชวน
จางเยี่ยนเฟิงหยิบปืนออกมาและจี้ไปที่หลังของโจวเจ๋อ
“ผมไม่รู้จักตัวตนของคุณเสียหน่อย พูดตามตรง ผมเองก็กลัวที่จะรู้ คุณอาจคิดว่าพฤติกรรมของผมนั้นเป็นคนอวดรู้และดื้อรั้นมาก แต่ขอโทษด้วย ประสบการณ์ชีวิตและประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาบอกว่า บางครั้งต้องใจแข็งและอดทนจริงๆ จะถอยไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว”
“อืม ผมเคารพ…”
‘พลั่ก!’
ไม่ใช่กระสุนปืน แต่เป็นก้อนหินที่เขวี้ยงโดนคอของจางเยี่ยนเฟิง
จางเยี่ยนเฟิงสลบลงบนม้านั่ง
ถังซือเดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าหมดความอดทนอย่างเห็นได้ชัด
“เขาบอกให้คุณตีเขาสลบ คุณมัวพูดไร้สาระอะไรอยู่ ฉันควรเตรียมน้ำชาเพิ่มให้พวกคุณด้วยไหม เอาวิดีโอดิจิทัลมาถ่ายบันทึกให้ด้วยเลยไหม จะได้ให้บทสนทนาพลังบวกระหว่างพวกคุณสองคนสามารถเผยแพร่ต่อไปได้”
โจวเจ๋อกางเล็บออกและสะเดาะกุญแจมือออกอย่างง่ายดาย พลางถอนหายใจเอ่ยขึ้น “คุยกับคุณไม่รู้เรื่อง ในสมองของคุณนอกจากทอฟฟี่กระต่ายขาวแล้วยังใส่อะไรไว้อีก”
ถังซือจ้องตาถลึง ราวกับเตรียมจะระเบิด แต่สุดท้ายก็ยั้งใจเอาไว้ หันหลังกลับและเดินตรงไปยังพื้นที่ก่อสร้างตรงนั้น
นักพรตเฒ่าหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ ในใจก็คิดว่าหลังจากที่เถ้าแก่ของเขารู้เคล็ดวิชาอู๋ซวง เมื่อเจอกับน้องถังซืออีกครั้ง เขาก็เชิดขึ้น รวมถึงการปฏิบัติตัวต่อสาวน้อยโลลิก็เป็นแบบนี้ด้วยเช่นกัน
เป็นไปตามคาด ถ้าผู้ชายมีเงินแล้วไม่เปลี่ยนไป อย่างนั้นแม่หมูที่ปีนต้นไม้ได้ก็ไม่แปลกอะไรเช่นกัน
ทั้งสามคนมาถึงพื้นที่ก่อสร้างด้วยกัน บริเวณใกล้เคียงถูกล้อมกั้นปิดเอาไว้แล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถหยุดพวกเขาได้
“ตำแหน่งไหน” ถังซือพูดขึ้นอย่างเย็นชา
“ตรงนี้แหละ ขุดลงไปข้างล่างก็ได้แล้ว ระวังอย่าเสียงดังจนเกินไปล่ะ” โจวเจ๋อชี้ลงไปที่เท้า
เพียงไม่นาน หินและไม้ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าเริ่มลอยขึ้นมาเอง และลอยไปกองกันอยู่อีกฝั่งเงียบๆ เพราะมีของเดิมที่ขุดไว้เมื่อกลางวัน จริงๆ แล้วขั้นต่อมาสะดวกมากเลยทีเดียว อีกทั้ง ‘ประสิทธิภาพในการทำงาน’ ของถังซือก็ไม่ได้ช้าไปกว่าเครื่องจักรขนาดใหญ่เลย
ก่อนหน้านี้เถ้าแก่โจวเคยคิดมาก่อน ถ้าเขาก่อตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้าง กำไรก็น่าจะมากโข มีไป๋อิงอิงผู้ทรงพลังทำงานเล็กๆ เพิ่มถังซือเข้าไปอีกคนทำหน้าที่เป็นเครื่องจักรก่อสร้าง คนหนึ่งไม่กินข้าว อีกคนหนึ่งไม่ต้องใช้ไฟฟ้า โดยทั่วไปแล้วไม่มีต้นทุนอะไร มีแต่กำไรเน้นๆ
ผ่านไปพักหนึ่ง ทางเดินสำหรับคนหนึ่งคนลงไปก็โล่งเตียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โจวเจ๋อเป็นคนแรกที่ลงไป ถังซือเป็นคนที่สอง นักพรตเฒ่าเป็นคนที่สาม
ข้างล่างไม่มีกลิ่นก๊าซพิษอะไรเลย มีแต่กลิ่นเหม็นอับชื้น
เมื่อเดินลงมาตามบันได หยิบโทรศัพท์มือถือมาส่องเป็นไฟฉาย ภาพการมองเห็นตรงหน้าถือว่าชัดเจนดี
นักพรตเฒ่าเดินอยู่ด้านหลังสุด เพียงแค่รู้สึกว่าพื้นรองเท้าเหนียวหนืดเล็กน้อย จึงพึมพำว่า “มีอะไรอยู่บนพื้นกันล่ะเนี่ย”
“รอยเลือด” ถังซือตอบ
“ซี้ด…”
นักพรตเฒ่าไม่กล้าพูดพล่ามอีกต่อไป และตามหลังผู้มีอิทธิพลทั้งสองไปติดๆ
ดันประตูเหล็กที่เป็นสนิมผุกร่อนมานานตรงหน้าออก สิ่งที่ดึงดูดสายตาเป็นทางเดินของห้องขังที่คุ้นเคย มีห้องขังอยู่ทั้งสองฝั่ง
โจวเจ๋อยังจำฉากที่เขาสวมโซ่ข้อเท้าเดินผ่านที่นี่ในความฝันได้ คนที่อยู่ในห้องขังใกล้เคียงต่างมองมาทางเขาด้วยสายตาอิจฉาริษยา
เมื่อผ่านมาทางนี้อีกครั้งแล้วหยิบไฟฉายส่องดู เท่าที่สายตามองเห็นในห้องขังมีศพแห้งๆ อยู่เต็มไปทั่ว
หลังจากชาวญี่ปุ่นระเบิดทางเข้าและทางออกแล้ว ก็น่าจะไม่ได้วางแผนที่จะเริ่มเปิดใหม่อีกครั้ง ต่อมาอาจเป็นเพราะสถานการณ์สงครามหรือเหตุผลอื่นๆ แม้หลังจากนั้นญี่ปุ่นจะพ่ายแพ้ก็ตาม ที่นี่ก็ถูกลืมไปแล้ว
คนที่ถูกคุมขังในห้องขังอยู่แล้ว ถูกขังอยู่ที่นี่จนตาย
“ไม่ได้หิวตายหรอก”
ในเวลานี้ถังซื้อได้ใช้พลังจิตทำลายลูกกรงสองซีกโดยตรง และถึงกับคุกเข่าลงเพื่อตรวจสอบศพและเอ่ยว่า
“ตอนที่ทางเดินถูกระเบิดน่าจะมีฝุ่นเยอะมาก คนเหล่านี้ถึงได้ตายเพราะขาดอากาศหายใจ ไม่ใช่เพราะในปีนั้นคุณเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยเลย”
“ขอบคุณ”
โจวเจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึก
“ผมขอคืนคำประโยคที่ผมบอกว่าสมองคุณมีแต่ทอฟฟี่กระต่ายขาวก่อนหน้านี้แล้วกัน”
“คุณล่ะ คุณอยู่ที่ไหน” ถังซือเอ่ยถาม “ร่างนั้นที่คุณบอกน่ะ”
โจวเจ๋อชี้ไปข้างหน้า
“อย่าเสียเวลาเลย จะทำพิธีเซ่นไหว้ต้องรอพรุ่งนี้”
ขณะที่พูด ถังซือก็เดินไปข้างหน้าก่อน หลังจากเดินผ่านทางเดินด้านหน้า ข้างหน้าก็สว่างไสวปลอดโปร่ง เพราะเข้าสู่พื้นที่ของห้องทดลองแล้ว
ถังซือหยุดฝีเท้าลง นักพรตเฒ่าที่ตามมาก็หยุดฝีเท้าพร้อมกับถังซือ จากนั้นนักพรตเฒ่าปิดปากและก้มตัวลง ร่างกายของเขากระตุกไม่หยุด ดูเหมือนจะอาเจียนอย่างควบคุมไม่ได้
โจวเจ๋อเป็นคนสุดท้ายที่มาถึง ภาพตรงหน้าไม่ได้ทำให้เขาประหลาดใจมากนัก ถึงอย่างไรเขาก็ได้สัมผัสภาพแบบเรียลไทม์ที่คมชัดที่สุดในความฝันมาแล้ว
แต่ตอนนี้ ในพื้นที่ห้องทดลอง มีผู้คนตายอย่างอนาถทุกรูปแบบ วิธีการตายที่ไร้มนุษยธรรมประเภทต่างๆ ภาพเกินจริงที่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายศิลปะหลากหลายรูปแบบ เพราะเวลาผ่านมาตั้งแปดสิบปีแล้วล้วนถูกฝุ่นกลบไปตามกาลเวลา ภาพเหล่านั้นจึงไม่สดใหม่และน่าตกใจเหมือนในตอนแรกอีกแล้ว
แน่นอนว่าสำหรับคนที่ไม่ได้ดูเวอร์ชันต้นฉบับ สถานการณ์นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะเรียกว่านรกบนดิน
“คนที่เสียชีวิตที่นี่ โดยพื้นฐานแล้วเป็นทหารและนักวิจัยชาวญี่ปุ่น พวกเขาสมควรตาย” โจวเจ๋ออธิบาย
“พูดก็พูดได้ แต่เถ้าแก่ ฉากนี้มันจำกัดอายุเกิน 18 ปีขึ้นไป ข้านักพรตเฒ่าทนไม่ได้จริงๆ”
นักพรตเฒ่าเช็ดมุมปาก ใบหน้าซีดเซียว
“จัดการเศษอ้วกของตัวเองบนพื้นด้วย อย่าให้ทีมผู้เชี่ยวชาญที่ลงมาวันพรุ่งนี้นำตัวอย่างของคุณกลับไปทำการวิจัยได้ล่ะ” โจวเจ๋อเตือน
เมื่อพูดจบ โจวเจ๋อก็หันไปมองถังซือแล้วถามขึ้น
“คุณโอเคหรือเปล่า”
ถังซือส่ายหน้า
โจวเจ๋อรู้สึกงุนงงเล็กน้อย ว่ากันตามหลักแล้วความอดทนทางจิตใจของเธอสูงกว่านักพรตเฒ่าเสียอีก
รอจนโจวเจ๋อเดินก้าวไปข้างหน้าสองก้าว และเห็นใบหน้าของถังซือ ก็พบว่าเธอกำลังยิ้มจริงๆ สีหน้าท่าทางเผยถึงความตื่นเต้นและชื่นชม
“เอ่อ…”
ถังซือมองโจวเจ๋อและพูดขึ้น
“มันยากที่จะจินตนาการว่าคุณในอดีตเคยมีรสนิยมและสไตล์แบบนี้ รูปภาพที่นี่ ศพที่นี่ รูปร่างคนตายที่นี่ รวมถึงลวดลายที่เกิดจากเลือดมากมาย มันสวยงามมากจริงๆ”
“…” นักพรตเฒ่า
“…” โจวเจ๋อ
‘กุกกัก…’
ทันใดนั้นเสียงที่คมชัดก็ดังมาจากส่วนลึกของห้องทดลอง
โจวเจ๋อหันไปมองทางนั้นทันที ถ้าจำไม่ผิดละก็ห้องทดลองนั้นคือพื้นที่ที่วางตู้นิรภัย!
ถังซือเลียริมฝีปาก เธอดูประหม่านิดหน่อย แต่ก็ยากที่จะซ่อนความตื่นเต้น และเอ่ยขึ้นช้าๆ
“คุณดูสิ เขาก็เห็นด้วยกับฉัน”
……………………………………………………