ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 198 ดอกพลับพลึงแดง
ตอนที่ 198 ดอกพลับพลึงแดง
พระขี้เรื้อนลูบศีรษะของตัวเองด้วยความกลัดกลุ้มใจ จากนั้นจึงลดแขนทั้งสองข้างลงมา สองมือประสานกันอย่างช้าๆ แล้วเอ่ยพูดในขณะเดียวกันว่า
“ท่านยมทูตโจว โลกหลังความตายนั้นใหญ่มาก อาตมาก็รู้ แต่ไม่ว่าอย่างไรที่นี่คือโลกมนุษย์ ต่อให้มือของคุณในโลกหลังความตายยาวแค่ไหน ก็อย่าคิดเข้ามาก่อความวุ่นวาย อีกทั้งอาตมาก็ยังไม่ได้มรณภาพ!”
พระขี้เรื้อนยกสองแขนขึ้นมาในทันใด ยันต์กระดาษสองใบปรากฏอยู่กลางฝ่ามือของเขา ยันต์กระดาษเป็นสีม่วงเวลานี้มีงูไฟฟ้าเลื้อยไปมาอยู่ในด้านใน
ตอนแรกที่พระขี้เรื้อนเข้าไปในร้านหนังสือเคยพูดเยาะเย้ยนักพรตเฒ่า บอกว่าตัวเองกับนักพรตเฒ่าไม่ใช่คนประเภทเดียวกัน เพราะในสายตาของเขา นักพรตเฒ่าเป็นแค่นักพรตจอมปลอมที่หลอกข้าวกิน ส่วนเขาเป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในศาสนาอย่างแท้จริง
“อูๆ…อูๆ…อูๆ….”
สาวๆ ที่ยืนเรียงกันแน่นอยู่ริมระเบียงชั้นสองส่งเสียงนี้ออกมา เพียงชั่วเวลาเดียว ตรงชั้นหนึ่งเกิดลมพัดขึ้นมาเป็นระลอก
พระรูปหนึ่งให้ความร่วมมือกับผีกลุ่มหนึ่ง เป็นความเข้ากันที่แปลกประหลาดไปนิด แต่กลับทำให้พระขี้เรื้อนรู้สึกเหมือนเจ้าบ้านที่พร้อมรบ
“เรื่องของคน ผมไม่สน แต่เรื่องของผี ก็คือเรื่องของผม และคุณที่เป็นพระ ได้ล้ำเส้นแล้ว!”
“อย่างนั้นก็ต้องดูว่า ใครจะเป็นใครจะตาย คิดว่ามีสมุดยมทูตก็ไร้ศัตรูในใต้หล้าแล้วเหรอ โลกกว้างใหญ่มาก ไม่ได้มีแค่เมืองทงเฉิงอย่างเดียว!”
พระขี้เรื้อนกระโจนเข้ามาโดยตรง เขาตัวไม่สูงแต่ขาใหญ่ เสือเตี้ยแบบนี้เวลาวิ่งก็เร็วเหมือนสายลมเช่นกัน!
“อูๆ…อูๆ…อูๆ…”
โจวเจ๋อกำลังจะพุ่งเข้าไปเช่นกัน แต่เวลานี้กลับมีเส้นไหมสีดำพ่นออกมาจากปากของสาวๆ ที่อยู่ข้างบนแล้วร่วงลงมาทันที วนอยู่รอบเกราะซามูไรของเขา จากนั้นจากเดิมที่เป็นเส้นไหมอ่อนนุ่มกลับออกแรงพร้อมกันในฉับพลัน เพียงชั่วพริบตาเดียวโจวเจ๋อเหมือนเหยื่อที่ถูกพันด้วยใยแมงมุม เมื่อเขาได้สติอยากจะดิ้นให้หลุด แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองเหมือนตกอยู่ในโคลนลึกยากที่จะถอนตัว และพระขี้เรื้อนก็ได้เข้ามาใกล้แล้ว โจวเจ๋อถึงขนาดได้ยินเสียง ‘จือๆ’ ที่ส่งออกมาจากยันต์กระดาษที่อยู่กลางฝ่ามือของอีกฝ่ายได้ชัดเจน
เขาหลับตา ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว โจวเจ๋อจึงเลือกที่จะเข้าสู่สภาวะนั้น ถึงแม้สภาพร่างกายในตอนนี้ยังดีไม่มาก ยังฟื้นฟูกลับมาไม่หมด แต่โจวเจ๋อคิดว่าสามารถแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าได้ไม่มีปัญหา อย่างมากก็แค่นอนสลบอีกครึ่งเดือน
‘เพียะ!’ ขณะที่โจวเจ๋อเพิ่งจะหลับตา ลิ้นยาวอันหนึ่งได้ยื่นขยายออกมาจากชั้นสองพอดี เหมือนกับแส้หนังเส้นหนึ่งที่หวดเข้ามาอย่างแรง
‘เพียะๆๆๆๆๆ….’ ใบหน้าของสาวๆ ทุกคนเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง จากนั้นเส้นไหมที่พันอยู่รอบเกราะซามูไรของโจวเจ๋อก็ขาดทันที โจวเจ๋อได้รับอิสรภาพอีกครั้ง
สาวน้อยโลลิปรากฏตัวอยู่บนชั้นสอง ในมือถือ ‘หนังสือชุดโจทย์คณิตศาสตร์ ม.3’ เล่มหนึ่ง เธอไปหาสถานที่แอบทำการบ้านจริงๆ ด้วย!
สาวน้อยโลลิขยี้ตา หาวหนึ่งที ก่อนจะแลบลิ้นเลียปากของตัวเอง จากนั้นยันระเบียงด้วยมือข้างหนึ่ง พลางมองโจวเจ๋อที่อยู่ข้างล่าง สาวน้อยต้องอดหลับอดนอนเพื่อทำการบ้านอดไม่ได้ที่จะง่วงหงาวหาวนอน ท่าทางช่างน่ารักจริงๆ
พระขี้เรื้อนเดินมาอยู่ตรงหน้าโจวเจ๋อ เล็บมือทั้งสองข้างของโจวเจ๋อยื่นเข้าไปโดยตรง
‘ฉึก!’ ฝ่ามือทั้งสองข้างของพระขี้เรื้อนถูกเจาะเป็นรูโบ๋ด้วยสิบนิ้วของโจวเจ๋อ แต่ในระหว่างนี้ งูไฟฟ้าที่อยู่บนยันต์กระดาษเหมือนได้เห็นโอกาสรอดชีวิต เลื้อยเข้าไปในร่างกายของโจวเจ๋อทันที โจวเจ๋อรู้สึกชาไปทั่วร่าง คุกเข่าลงทันทีโดยไม่รู้ตัว
และพระขี้เรื้อนถึงแม้มือทั้งสองของตัวเองจะเป็นรูโบ๋แล้ว แต่ยังคงรักษาท่ายืนเอาไว้ จากนั้นยิ้มมุมปากอย่างเยาะเย้ย
“อาตมานั้น…”
วินาทีต่อมา โจวเจ๋อเงยหน้า เล็บทั้งสิบนิ้วงอกยาวออกมาอีกครั้ง ‘ฉึก!’ เสียงเหมือนผ้าขาด ฝ่ามือทั้งสองข้างของพระขี้เรื้อนระเบิดแยกจากกันทันที
“โอ๊ยๆๆๆ!!!” พระขี้เรื้อนเดินถอยหลังพลางร้องอย่างน่าเวทนาไม่หยุด เขาหลังจากที่สูญเสียมือทั้งสองข้างแล้วจึงดูไม่สมบูรณ์เท่าไร โดยเฉพาะแขนทั้งสองข้างที่เหมือนน้ำแข็งแท่งแบบนั้น ดูโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด
โจวเจ๋อสูดลมหายใจลึกๆ สองสามที เขาเหนื่อยพอสมควร แต่เนื่องจากความช่วยเหลือของสาวน้อยโลลิก่อนหน้า เขาจึงไม่เลือกที่จะใช้เคล็ดวิชา ถ้าไม่ต้องนอนป่วยเป็นอัมพาตก็อย่าทำดีกว่า มีใครบ้างว่างมากชอบนอนสลบ เขาพยายามฝืนลุกขึ้นมา บนเกราะซามูไรมีรอยที่เป็นหลุมเป็นบ่ออยู่หลายจุด เหมือนรอยแผลหลังจากที่ถูกไฟเผา
พูดตามความจริง ถ้าหากไม่มีเกราะซามูไรอันนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่โจวเจ๋อจะเสียชีวิตจากยันต์กระดาษของพระขี้เรื้อนเมื่อครู่ ของเล่นพรรค์นั้นสำหรับผีแล้วเป็นสิ่งที่ไม่ถูกกันเป็นอย่างมาก
พระขี้เรื้อนสองมือไพล่หลัง เชิดหน้าขึ้น ขนาดเวลานี้เขายังรักษาความหยิ่งผยองของตัวเองไว้ได้อีก
โจวเจ๋อรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เพราะตอนที่เจอในร้านหนังสือครั้งที่แล้ว ถึงแม้พระขี้เรื้อนจะดูเหมือนเป็นโรคป่วย ม.2 แต่ก็ยังมีออร่าของความเป็นพระอยู่บ้าง แต่ทำไมคนที่อยู่ที่นี่นอกจากจะเล่นกับสาวๆ และชกต่อยแล้ว ยังกระโดดโลดเต้นไปมาอีกด้วย นี่ไม่ใช่บทที่ดาราชอบเล่น บทบาทที่กลับตาลปัตรของไอ้หมอนี่ ทำให้คนเดาไม่ถูกเล็กน้อย
“อูๆๆ…” สาวๆ ที่อยู่ชั้นสองเหมือนจะก่อเรื่องอีกครั้ง สาวน้อยโลลิหันไปและอ้าปากอีกครั้ง ครั้งนี้ลิ้นยาวของเธอไร้ซึ่งความปรานี ทิ่มพวกเธอแต่ละคนเหมือนกับถังหูลู่ (ผลไม้สดเคลือบน้ำตาลเสียบไม้ก้านยาว) จากนั้นจึงเหมือนงูยาวเลื้อยคดเคี้ยวไปมาอยู่บนชั้นสอง พวกสาวๆ ที่อยู่บนลิ้นบ้างก็หมุนวน บ้างก็กระโดดไปมาและหลับตาบ้าง
ท่าทางแบบนี้เหมือนเด็กที่ค้นพบเกมใหม่ที่อัศจรรย์ แต่ไม่ช้าเธอก็เบื่อแล้ว จึงสะบัดลิ้นโดยตรง พวกสาวๆ ที่อยู่บนลิ้นต่างร่วงกราว กระแทกลงบนพื้นซ้อนทับอยู่ด้วยกัน เหมือนคนกระดาษและเหมือนตุ๊กตายางที่ถูกเจาะยางออก
สาวน้อยโลลิถอนหายใจยาว จากนั้นจึงแลบลิ้นออกมาด้วยความปวดเมื่อย จากนั้นเธอจึงหยิบดินสอกดแล้วเปิดหน้าหนังสือแบบฝึกหัด แล้วพูดเร่งว่า “เจ้าจัดการต่อ ข้าจะทำการบ้านแล้ว”
ไม่เจอกันครึ่งเดือน โจวเจ๋อพบว่าสาวน้อยโลลิเหมือนจะกลับไปเป็นคนที่เย่อหยิ่งเย็นชาคนนั้นอีกแล้ว สไตล์การทำงานก็เป็นอิสระไม่แคร์ใคร
ก็เหมือนกับตอนนั้นที่เธอมาอ่านหนังสือในร้านหนังสือของเขาก่อน พออ่านเหนื่อยแล้วก็ไปเก็บวิญญาณของพ่อแม่ของสวี่ชิงหล่างที่อยู่ร้านข้างๆ จากนั้นก็คอยดูสวี่ชิงหล่างร้องไห้ดิ้นแหงกๆ อยู่บนพื้น แล้วจึงโบกมือลากลับมาที่ร้านหนังสือต่อ
บางทีอาจเป็นเพราะแผลของเธอหายดีแล้ว แต่วิญญาณเลือดของสาวน้อยคนนี้ยังอยู่ในมือของเขาอยู่นะ เธอทำเป็นเก่งแบบนี้ฉันรู้สึกไม่พอใจมาก สรุปแล้วเธอเป็นเถ้าแก่หรือว่าฉันเป็นเถ้าแก่
โจวเจ๋ออยากจะวางท่าแล้วสั่งให้สาวน้อยโลลิลงมาสู้ต่อ แต่เขารู้สึกว่าเด็กกำลังทำการบ้านแต่ตัวเขาที่เป็นผู้ใหญ่กลับไปรบกวนเธอ ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร
เวลานี้พระขี้เรื้อนก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองว่าง เขากัดปลายลิ้นแล้วพ่นเลือดสดออกมา จากนั้นปากก็เริ่มท่องมนต์คาถาไม่หยุด
เพียงชั่วเวลาเดียว ภาษาสันสกฤตที่ทรงพลัง เหมือนกับไฟสปอตไลต์ดวงหนึ่งส่องแสงมาที่ตัวของเขา พร้อมกับกลิ่นอายของความศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจล่วงล้ำได้
แสงนี้ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกทรมานอยู่บ้าง มีหลายครั้งที่โจวเจ๋อลืมตัวว่าตัวเองจริงๆ แล้วเป็นผี แต่ยังคิดว่าตัวเองเป็นคน จนกระทั่งเวลานี้ เขาเพิ่งรู้ตัวว่าคนกับผีมีความแตกต่างกัน บนโลกใบนี้ มีอีกหลายสิ่งที่สามารถควบคุมหยุดยั้งผีได้โดยธรรมชาติ
โชคดีที่ตอนนี้สวี่ชิงหล่างก็ไม่ทำตัวว่างเช่นกัน เขาไม่ใช้ยันต์กระดาษและไม่ใช้เครื่องรางอย่างเกราะหัวใจ เพราะเขารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ใช้ปราบผี และเหตุผลเดียวกัน แสงแห่งธรรมของพระต่อให้เท่แค่ไหน ก็มีผลกับโจวเจ๋อเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ไม่ค่อยมีผลอะไรกับสวี่ชิงหล่าง หรือสามารถพูดได้ว่าไม่มีผลเลย ด้วยเหตุนี้ สวี่ชิงหล่างจึงใช้วิธีที่ชัดเจนที่สุด คือซัดเข้าไปโดยตรง!
เหล่าสวี่ชกต่อยเป็น ถึงแม้เขาจะหน้าตาเหมือนผู้หญิง แต่ตอนที่เป็นวัยรุ่นก็เคยเป็นนักเลงมาก่อน ถ้าหากตอนนั้นไม่ได้เจอหัวหน้าตำรวจคอยเคี่ยวเข็ญให้กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี ตอนนี้เขาอาจจะเป็นหัวหน้านักเลงก็เป็นได้ ฝีมือการต่อยมวยของเขาแท้จริงแล้วถือว่าไม่เลว
พระขี้เรื้อนพยายามท่องคาถา แต่ยังท่องไม่ทันเสร็จก็โดนสวี่ชิงหล่างซัดเข้าให้สองสามหมัด ท่าทางเหมือนข่มเหงรังแกคนอยู่บ้าง
พระขี้เรื้อนมีวิชาสูงกว่าสวี่ชิงหล่างก็จริง แต่วิชามากมายของเขามีไว้ใช้กับผีและปีศาจ สวี่ชิงหล่างเป็นคนดังนั้นวิชาที่เขาเรียนมาทั้งหมดไม่ต่างจากทักษะการเชือดมังกร ไม่สามารถใช้การได้อย่างสิ้นเชิง
อีกทั้งพระขี้เรื้อนเพิ่งถูกโจวเจ๋อตัดมือเมื่อครู่ ตอนนี้สวี่ชิงหล่างจึงต่อยไม่ยั้ง สวี่ชิงหล่างยิ่งต่อยก็ยิ่งติดลม เขาต่อยจนพระขี้เรื้อนกลิ้งไปบนพื้น จากนั้นจึงนั่งบนตัวของพระขี้เรื้อนแล้วต่อยซ้ำอย่างไร้ความปรานี
‘พลั่กๆๆๆๆ!!!!’
โจวเจ๋อค่อยๆ เก็บเกราะซามูไรกลับไป เขาจำได้เมื่อก่อนสวี่ชิงหล่างเคยพูดว่าเวลาที่ตัวเองทะเลาะกับคนอื่นเหมือนผู้หญิงที่ตบตีกันข่วนหน้าเป็นอย่างเดียว และตอนนี้พอมองวิธีการต่อสู้ของสวี่ชิงหล่างแล้ว เหอะๆ ไม่ต่างจากสาวๆ พวกนั้นเลย พระขี้เรื้อนโดนต่อยจนเริ่มหมดลม สุดท้ายต่อยไปต่อยมา พระขี้เรื้อนกลับกลายเป็นคนกระดาษ เป็นคนกระดาษที่วาดรูปเหมือนของพระขี้เรื้อน บนนั้นระบุวันเดือนปีเกิดและยังเขียนอารมณ์ทั้งเจ็ดของมนุษย์อีกเจ็ดคำ
สาวน้อยโลลิเดินลงมาจากข้างบน มองกระดาษที่อยู่บนพื้นแล้วเอ่ยว่า “นี่ไม่ใช่ร่างที่แท้จริงของพระขี้เรื้อน เขาน่าจะทิ้งร่างตัวแทนไว้ ถือว่าเป็นวิธีที่ดีมาก ทิ้งความผิดของตัวเองไว้ที่นี่ แล้วตัวเองก็เหลือแต่ความบริสุทธิ์และเปี่ยมไปด้วยธรรม”
โจวเจ๋อพยักหน้า แบบนี้การตอบสนองก่อนและหลังของพระขี้เรื้อนก็สามารถเชื่อมโยงกันได้แล้ว เพียงแต่ ที่นี่มีอะไรเก็บไว้กันแน่ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ…ความลับ
โจวเจ๋อเดินไปข้างหน้า ลองเปิดฉากกันลมที่อยู่ตรงหน้าออก กลับพบว่าฉากกันลมเป็นของปลอม เพราะเป็นภาพที่วาดอยู่บนกำแพง
“ที่นี่ดูเหมือนจะมีพื้นที่กว้างมาก แต่ในความเป็นจริงกลับเล็กมากถึงมากที่สุด รวมทั้งห้องที่อยู่บนชั้นสองหน้าต่างก็ถูกวาดเช่นกัน” สาวน้อยโลลิเอ่ย
โจวเจ๋อเดินถอยหลังสองก้าว จากนั้นวิ่งพุ่งไปข้างหน้าแล้วถีบฉากกันลม
ปึง!
ฉากกันลมแตกละเอียด แล้วกำแพงนี้ก็พังทลายลงมาเช่นกัน เบื้องหน้าเป็นพื้นที่ที่มืดมากแห่งหนึ่ง มีคนอายุต่างกันหลายสิบคนกำลังยืนโซเซอยู่ตรงนั้น พวกเขาเป็นดวงวิญญาณ ซึ่งก็คือผลงานที่เถ้าแก่โจวสูญเสียไปในช่วงนี้
และตรงเท้าของดวงวิญญาณ มีดอกไม้สองสามดอกเริ่มบานกระจัดกระจาย กลีบดอกไม้พลิ้วไหว เกสรมีเสน่ห์ชวนหลงใหล กลิ่นหอมโชยมาเตะจมูก กิ่งก้านงดงามอรชร
“นี่คือดอกไม้อะไร สวยมาก ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย วันนี้เป็นวันแห่งความรักของจีนไม่ใช่เหรอ เด็ดดอกไม้เอาไปให้คนอื่นได้พอดีเลย ถือว่ามาไม่เสียเที่ยว ใช่ไหม” สวี่ชิงหล่างชี้ไปที่ดอกไม้ที่อยู่ข้างหน้าแล้วถาม จากนั้นเขาก็ไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ เมื่อหันไปมองด้านหลัง สวี่ชิงหล่างพบว่าโจวเจ๋อกับสาวน้อยโลลิต่างมองเขาด้วยสายตาเหมือนเห็นคนโง่
“อ้าว เป็นอะไร” สวี่ชิงหล่างถามเขาด้วยความสงสัย
สาวน้อยโลลิชี้ไปที่ดอกไม้ที่อยู่ข้างหน้า แล้วมองสวี่ชิงหล่าง จากนั้นเอ่ยว่า “ดอกไม้บานอีกฝากฝั่งที่ไร้ฝั่ง ดวงวิญญาณเวียนวนอยู่ที่แม่น้ำลืมเลือน นี่คือ…ดอกพลับพลึงแดง”
…………………………………………………………………..