ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 196 ขจัดให้สิ้นซาก!
ตอนที่ 196 ขจัดให้สิ้นซาก!
โทรแจ้งสาวน้อยโลลิก็เพราะโจวเจ๋อคิดถึงกฎที่ว่าเป็นลูกน้องก็ต้องเอามาใช้งานจะได้ไม่สิ้นเปลืองอย่างไรก็ตามวิญญาณเลือดของเธอก็อยู่ที่เขา และตัวเขาก็ไม่ต้องทำทีเป็นเห็นอกเห็นใจลูกน้องอะไร อีกอย่างตอนที่ทั้งสองฝ่ายรู้จักกันในตอนแรก สาวน้อยโลลิก็มองเขาเป็นสินค้าที่ใช้เสร็จแล้วก็ทิ้งไป จึงไม่จำเป็นต้องอ่อนโยนอะไร
เวลาที่เขาต้องการเรียกเธอมาใช้งานก็พอ ใช้เสร็จก็โยนทิ้ง ต่างคนต่างกลับบ้าน และเวลาที่เขาต้องการใช้งานอีกครั้งก็ค่อยโทรไป เรียกเมื่อไรเธอก็ต้องมาเมื่อนั้น
คิดหรือว่าเถ้าแก่โจวไม่รู้จริงๆ ว่าแท้จริงแล้วสาวน้อยโลลิหวังอยากให้ตัวเองตายแค่ไหน อยากจะหวังก็หวังไปเถอะ คนที่ตายมาแล้วหนึ่งครั้งไม่กังวลกับข้อห้ามอะไรพวกนี้แล้วจริงๆ
พอเดินออกมาจากร้านหนังสือ โจวเจ๋อตกใจเล็กน้อยเมื่อพบว่าข้างร้านหนังสือมีร้านอาหารเปิดใหม่ชื่อ‘ร้านอาหารหวังฝูจวี’ คาดว่าน่าจะเปิดใหม่ตอนที่เขาสลบไปในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา
มีชายชราคนหนึ่งยืนอยู่หน้าร้านพอดี ศีรษะโล้น ใส่เสื้อผ้าสีขาว อายุน้อยกว่านักพรตเฒ่า คาดว่าน่าจะอายุประมาณห้าสิบปี ดูแล้วเหมือนคุณตาคุณยายที่เพิ่งกลับมาจากรำมวยไทเก๊กตอนเช้า
เวลาตีสามแบบนี้ เขากลับยังนั่งอยู่หน้าร้าน มีเก้าอี้หวายหนึ่งตัวกับน้ำชาหนึ่งกา นั่งดื่มอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว
“โอ้ว คุณคือเถ้าแก่โจวใช่ไหม คุณกลับมาแล้วเหรอ”
ชายชราให้ความเป็นกันเอง เขารู้ว่าโจวเจ๋อเป็นใคร น่าจะเป็นเพราะตอนที่โจวเจ๋อสลบอยู่ช่วงหนึ่งได้เข้ามาทำความรู้จักกับคนอื่นๆ ในร้านหนังสือแล้ว แต่เขารู้ว่าในร้านมีเถ้าแก่ที่เก็บตัวไม่ค่อยให้ใครเห็น
แน่นอนว่า เขาไม่รู้ว่าเถ้าแก่คนนั้นแท้จริงแล้วอยู่ในร้านตลอด ทว่าเขานอนสลบอยู่
โจวเจ๋อแปลกใจเล็กน้อย การเปิดร้านอาหารในย่านที่เป็นเงินเป็นทองทุกตารางนิ้วอย่างถนนหนานต้าแบบนี้มีความหมายว่าเก่งมาก ร้านอาหารหลายร้านรู้สึกหยิ่งยโส เห็นได้ชัดว่าอยากจะบอกคุณว่าวันนี้ต้องทำหลายโต๊ะ และวันหยุดเทศกาลฉันก็ต้องพักผ่อน ถ้าคุณอยากมา ก็รอนะ ค่อยๆ ต่อแถว
แต่เถ้าแก่คนนี้กลับให้ความสนิทสนมกับเขามากเกินไป กระทั่งกระตือรือร้นเกินเหตุ
ทว่าไม่ช้าโจวเจ๋อก็เข้าใจแล้ว เถ้าแก่คนนี้คงจะคิดว่า คนหนุ่มที่เช่าพื้นที่เปิดร้านหนังสือทั้งที่ต้องขาดทุนแน่ๆ ในทำเลที่แพงแบบนี้ จะต้องเป็นคนมีอิทธิพลแน่นอน
ถ้าไม่ใช่คนโง่ ก็ต้องเป็นลูกพี่ที่มีเงินเยอะมากจนหาที่ใช้เงินไม่ได้เลยมาเปิดเล่นๆ หลังจากเถ้าแก่เห็นโจวเจ๋อแล้วจึงตัดข้อแรกออกไป เพราะโจวเจ๋อดูแล้วไม่เหมือนคนโง่อย่างเห็นได้ชัด
อีกฝ่ายยื่นนามบัตรและบุหรี่หนึ่งมวนมาให้ โจวเจ๋อโบกมือเพื่อบอกว่าตัวเองรู้แล้ว เถ้าแก่เองก็รู้จักกาลเทศะดีจึงพูดว่าหากมีเวลาว่างก็มากินข้าวที่ร้านแล้วเดินจากไป
“เถ้าแก่ร้านนี้ไม่เลวเลยนะ” สวี่ชิงหล่างเวลานี้เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยและเดินออกมาพอดี
โจวเจ๋อไม่พูดอะไร
“คุณไม่ค่อยพอใจเขาเหรอ”
“เหอะๆ นอนตื่นมาพบว่าข้างๆ มีเหล่าหวังเพิ่มขึ้นมาอีกคนนายจะดีใจไหม”
สวี่ชิงหล่างหาวหนึ่งที
“แต่นายน่าจะดีใจมาก เพราะร้านอาหารน่าจะมีเคล็ดลับการทำอาหารอยู่แล้ว นายไม่เข้าไปพูดกับเขาล่ะ” โจวเจ๋อถาม
“น้ำมันทำลายผิว ผมไม่ไป” สวี่ชิงหล่างตอบ
โจวเจ๋อส่ายหน้า พลางถอนหายใจอยู่ในใจ รู้สึกว่าจิตใจเด็กหนุ่มสมัยนี้ไม่เหมือนคนสมัยก่อนแล้ว สวี่ชิงหล่างคนขยันเปิดร้านบะหมี่ในตอนแรกหายไปกับสายลมในความทรงจำเนิ่นนานแล้ว
แต่พอคิดดูอีกที ดูเหมือนสวี่ชิงหล่างกลายเป็นแบบนี้หลังจากที่รู้จักกับตัวเขาเองนี่นา นี่ตรงกับสำนวนที่ว่าคบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผลหรือไม่
พอลองคิดดูอย่างละเอียด ชาติที่แล้วตัวเขาขยันและลำบากมากอย่างเห็นได้ชัด แต่หลังจากที่ตายมาแล้วหนึ่งครั้งกลับเหมือนลูกบอลที่ถูกเจาะเป็นรูพรุน อ่อนปวกเปียก
สาวน้อยโลลิมาแล้วและยังสะพายกระเป๋าเป้อีกด้วย เธอยืนอยู่ที่อีกฟากของถนนด้วยความขุ่นเคือง ภายใต้แสงไฟข้างทาง หน้าปากทางถนนตอนเช้ามืด จู่ๆ ก็มีสาวน้อยน่ารักปรากฏตัวอยู่ตรงนั้น ความรู้สึกที่ให้กับคุณไม่ใช่ความตื่นเต้นแต่เป็นความน่ากลัว
สวี่ชิงหล่างขับรถ โจวเจ๋อนั่งข้างคนขับ สาวน้อยโลลิเข้ามานั่งและยังคงโกรธอยู่
อิงอิงตอนนี้นอนพักผ่อนจะดีที่สุด ไม่ต้องออกไป นักพรตเฒ่าเป็นคนเฝ้าร้านอยู่ โจวเจ๋อจึงลากสวี่ชิงหล่างมาเป็นคนขับรถ
จากประสบการณ์ที่รีสอร์ตน้ำพุร้อนครั้งที่แล้ว โจวเจ๋อจึงระมัดระวังตัว หากไม่มีเรื่องจำเป็นจะไม่ยกโขยงไปทั้งหมด ไม่อยากให้สุดท้ายตัวเองไม่ตายแต่กลับทำให้พวกเขาเกิดอุบัติเหตุ แล้วตัวเองก็รู้สึกผิดอยู่ในใจ
ไม่มีที่อยู่บนบัตร แต่โจวเจ๋อใช้เล็บลูบบนนั้นก็สามารถสัมผัสได้ถึงตำแหน่งที่หนึ่ง พวกวิญญาณและผีไม่ต้องดูก็สามารถสัมผัสได้เช่นกัน
โจวเจ๋อบอกทาง สวี่ชิงหล่างขับรถ หลังจากผ่านไปยี่สิบนาทีกว่าๆ รถได้ขับมาถึงหมูบ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในเขตกั่งจ๋า
พอลงจากรถ เบื้องหน้าคือคันนา เชื่อมต่อกับต้นกล้าข้าวสาลีไปทั่ว และมีบ้านเรือนสองสามหลังที่ประดับประดาอยู่ท่ามกล่างระหว่างนั้น
ตรงนี้แหละ น่าจะไม่ผิด
โจวเจ๋อหันมา อยากให้สาวน้อยโลลิลงมาหาด้วยกัน ผลปรากฏว่าสาวน้อยโลลิกำลังนั่งทำการบ้านอยู่ที่เบาะหลัง
‘ก๊อกๆๆ…’ โจวเจ๋อยื่นมือเคาะกระจกรถ อยากจะถามสักประโยคว่าเธอมาเล่นตลกเหรอ
สาวน้อยโลลิปิดสมุดการบ้านด้วยความไม่พอใจและเอ่ยว่า “การบ้านของนางเยอะมาก และข้าก็เพิ่งตื่นพอดี จึงช่วยนางทำการบ้านของสัปดาห์นี้ให้เสร็จไปเลย นางจะได้ผ่อนคลายบ้าง”
โจวเจ๋อสายตานิ่งเล็กน้อย ตอนนี้เขานึกถึงยมทูตสาวที่สิงร่างของน้องสาวภรรยาก่อนหน้านั้น เธอน่าจะเกิดปัญหาเหล่านี้เช่นกัน ความคิดของตัวเจ้าของจะส่งผลกระทบต่อตัวเอง เป็นผลทำให้เธอมีความคิดสับสน
และดูเหมือนจะเป็นโรคทั่วไป ไม่ว่ายมทูตตนไหนที่เลือกร่างมนุษย์เพื่อเก็บดวงวิญญาณของตัวเองไว้ล้วนได้รับผลกระทบทั้งสิ้น
แต่โจวเจ๋อก็ไม่ได้พูดอะไรมาก วันนี้เขามาเพื่อหาเรื่อง ไม่มีเวลาว่างพูดเรื่องชีวิตกับสาวน้อยโลลิ
สาวน้อยโลลิผลักประตูรถ ยื่นมือบิดขี้เกียจ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้สึกถึงอะไรเลย”
“ช่วงนี้ผลการทำงานของคุณเป็นยังไงบ้าง” โจวเจ๋อถาม
“ไม่ดีเลย” สาวน้อยโลลิตอบ
โจวเจ๋อหยิบบัตรสีดำออกมา แล้วมองอย่างละเอียดพักหนึ่ง จากนั้นเงยหน้ามองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “เป็นเพราะพวกเรามีร่างมนุษย์ ดังนั้นจึงหาที่นั่นไม่เจอ”
“หรืออาจจะสัมผัสได้ถึงการมาของพวกเรา ดังนั้นพวกเขาจึงซ่อนตัว” สาวน้อยโลลิยักไหล่ หยิบบัตรมาจากในมือของโจวเจ๋อ แล้วพูดต่อ “ก็เหมือนกับสอดบัตรเข้าไปตามช่องประตูของห้องพักลูกค้าในโรงแรม พวกเขาผ่านไประยะหนึ่งก็จะเปลี่ยนสถานที่และเบอร์โทรศัพท์ เพื่อป้องกันการกวาดล้างเหลือง[1]ไม่ใช่เหรอ”
โจวเจ๋อรู้สึกว่าสาวน้อยโลลิพูดมีเหตุผลมาก แต่ถ้ากลับไปมือเปล่าโจวเจ๋อไม่ยอมจริงๆ ไม่แน่ตัวเองเพิ่งจะไปหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ก็เริ่มเปิดบริการอีก
ถึงตอนนั้นตัวเองนอนอยู่ในร้านหนังสือ ไม่เจอผีเลยสักตัวทุกวันทุกคืน แล้วแบบนี้จะใช้ชีวิตที่สบายได้อย่างไร
หากพูดแบบไม่จริงจัง นี่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของตัวเองหลังจากนี้ หากพูดแบบจริงจังมาก นี่คือการสูญเสียทรัพย์สินของยมโลก
“พวกคุณไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ” สวี่ชิงหล่างหันมาถาม
ตอนนี้โจวเจ๋อเพิ่งพบว่ามียันต์กระดาษใบหนึ่งแปะอยู่บนหน้าผากของสวี่ชิงหล่าง ครั้งที่แล้วสวี่ชิงหล่างเข้าไปในหมู่บ้านซานเซียงก็แปะสิ่งนี้เหมือนกัน เพื่อให้นักพรตเฒ่าเรียกวิญญาณมาประทับร่างก็ใช้สิ่งนี้
นี่คือยันต์กระดาษที่ง่ายที่สุดชนิดหนึ่ง ขอแค่เป็นคนที่เข้าใจด้านนี้เล็กน้อยก็วาดเป็น นี่เหมือนผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่กินแล้วสามารถทำให้อาการป่วยของร่างกายคุณดีขึ้นหายากจริงๆ หายากมาก
แต่ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่คุณกินนิดหน่อยก็อิ่มท้องและไม่ได้มีข้อดีข้อเสียอะไรสามารถผลิตออกมาได้ง่าย ในตลาดส่วนใหญ่ก็เป็นประเภทนี้
ส่วนสิ่งที่กินแล้วสามารถทำให้คุณป่วยหรือตายเลย นั่นยิ่งง่ายเข้าไปอีก
ยันต์กระดาษประเภทนี้คือสิ่งที่แปะให้คนเป็นเพื่อลดพลังหยาง ถือเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมชนิดสุดท้าย
“นายมองเห็นอะไร” โจวเจ๋อถามด้วยความสงสัย
สวี่ชิงหล่างชี้ไปข้างหน้า โจวเจ๋อมองตาม ตรงนั้นมีหลุมฝังศพแห่งหนึ่งที่ไม่สะดุดตามากนัก ด้านหน้าหลุมฝังศพปักธงเล็กสีต่างๆ อยู่ไม่น้อย สำหรับเด็กที่เติบโตมาจากชนบทไม่น่าจะรู้สึกแปลกใจกับสิ่งนี้ มีเด็กจำนวนไม่น้อยเวลาที่เดินผ่านหลุมฝังศพชอบดึงธงออกมาโบกไปมาเป็นของเล่น
“ตรงนั้นมีอะไร” โจวเจ๋อถามสวี่ชิงหล่าง ขณะเดียวกันก็มองสาวน้อยโลลิ พบว่าเธอก็งงเหมือนกับตัวเขา ไม่น่าจะเป็นแบบนี้ ระดับของสวี่ชิงหล่างก็ไม่ได้มีฝีมืออะไร พวกเขาสองคนที่เป็นยมทูตอยู่ตรงนี้มองไม่เห็นอะไร แต่สวี่ชิงหล่างกลับเห็นสิ่งที่ผิดปกติอย่างนั้นเหรอ
สาวน้อยโลลิเหมือนจะเข้าใจอะไรแล้ว จึงหลับตาทันที จากนั้นโจวเจ๋อรู้สึกว่าสาวน้อยโลลิที่อยู่ข้างกายมีลมหายใจที่อ่อนแรงลง กระทั่งให้ความรู้สึกเหมือนคนป่วยกระเสาะกระแสะ เธอลืมตาขึ้นแล้วมองไปข้างหลัง พร้อมกับเอ่ยพูดว่า “หาเจอแล้ว อยู่ตรงนั้น”
“ทำได้ยังไง” โจวเจ๋อถาม
“ลดพลังของตัวเองลง ที่นั่นเป็นที่สิงสถิตของภูตผีวิญญาณ ข้ากับเจ้าอาศัยอยู่ในร่างของมนุษย์ พลังหยางจึงแรงมาก ดังนั้นต้องลดพลังที่อยู่ในร่างกายของเจ้าถึงจะเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมของพวกเขาได้ เจ้าหลับตาจินตนาการว่าตัวเองกำลังป่วย อย่างไรก็ตามพยายามบอกตัวเองว่าเจ้าเหนื่อยมากอ่อนแอมาก เจ้าใกล้จะตายแล้ว”
โจวเจ๋อได้ยินดังนั้นจึงหลับตา จากนั้นพยายามนึกถึงความรู้สึกแบบนั้นในใจไม่หยุด ไม่นาน ดูเหมือนเขาจะหาเขตนั้นเจอแล้ว ตอนที่เขาลืมตาขึ้น แล้วมองหลุมฝังศพตรงนั้นอีกครั้งกลับรู้สึกไม่เหมือนเดิม
เดิมทีเป็นหลุมฝังศพที่เรียบง่ายไม่มีอะไรพิเศษ แต่ตอนนี้ลองมองอีกที กลับพบว่าเหมือนซุ้มประตูจีน มีความรู้สึกเหมือนหอนางโลมในสมัยโบราณเล็กน้อย แถมยังแขวนโคมไฟหลากสี หน้าประตูยังมีคนตัวเล็กเตี้ยใส่ชุดกุยกง[2]สมัยโบราณยืนอยู่ตรงนั้นคอยต้อนรับและส่งลูกค้า
พวกโจวเจ๋อทั้งสามคนเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาก่อน ผู้ชายคนนั้นตอนแรกไม่ได้สังเกตโจวเจ๋อและคนอื่นๆ หรืออาจจะเหมือนที่สาวน้อยโลลิพูด ผีก็มีแวดวงของผี คนก็มีแวดวงของคน ถึงแม้ยมทูตจะสามารถมองเห็นผีได้ก็ตาม แต่ไม่ได้หมายความว่ายมทูตจะอยู่ในแวดวงนี้ ดังนั้นก่อนหน้านี้กุยกงคนนี้จึงมองไม่เห็นโจวเจ๋อ ก็เหมือนกับที่โจวเจ๋อมองไม่เห็นความผิดปกติของหลุมฝังศพนี้ในตอนแรก
“อ้าว พวกคุณ เชิญข้างในครับ!” กุยกงโน้มตัวต้อนรับ เขาจากเดิมที่เตี้ยอยู่แล้วกลับเตี้ยยิ่งขึ้น
โจวเจ๋อพยักหน้าเดินนำเข้าไปก่อน ประตูบานนี้ต่ำไปนิดหน่อย โจวเจ๋อต้องโค้งตัวถึงจะเดินเข้าไปได้ หลังจากเดินเข้าไปแล้ว ในนั้นกลับคึกคักมาก โอ้โห มีทั้งระบำ ร้องงิ้ว แสดงกายกรรม แสงไฟสว่างจ้า มากมายไปด้วยสาวงามเมือง คึกคักสนุกสนาน
หากไม่มีการเปรียบเทียบก็คงไม่เจ็บปวด โจวเจ๋อรู้สึกว่าถ้าหากตัวเองเป็นผี ก็อยากจะเลือกมาที่นี่เพื่อปลดปล่อยอารมณ์ให้สนุกสุดเหวี่ยง และจะไม่เลือกไปที่ร้านหนังสือที่แสนน่าเบื่อกินข้าวเย็นๆ ที่จืดชืดไร้ความจริงใจของสวี่ชิงหล่างจากนั้นก็ถูกโจวเจ๋อตบเข้าประตูนรกไป
“โอ้ว นายท่าน เชิญขึ้นข้างบน! มาเล่นด้วยกัน!”
“ใช่แล้ว นายท่าน มาสิ ขึ้นมาข้างบน พวกเราจะดูแลท่านเอง!” โจวเจ๋อมองไปที่ชั้นสองทางขวามือ พบว่ามีผู้หญิงใส่ชุดสีแดงสดหลายคนยืนอยู่บนระเบียงกำลังโบกไม้โบกมือเรียกเขาอยู่
ผู้หญิงพวกนี้แต่งหน้าเข้มและแต่งตัวเหมือนสาวญี่ปุ่นแบบนั้น ใบหน้าขาวทาปากแดง ดูแล้วรู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อยจริงๆ
“ฮ่าๆๆๆ…” เสียงหัวเราะชอบใจดังมาจากข้างบน จากนั้นโจวเจ๋อจึงเห็นผู้ชายตัวอ้วนคนหนึ่งปิดตาเล่มเกมซ่อนหาในหมู่สาวๆ แต่ไม่ทันระวังเดินมาถึงระเบียง เขาจับผู้หญิงที่เพิ่งเรียกโจวเจ๋อเมื่อครู่แล้วจูบเธอโดยตรง
โจวเจ๋อเห็นแล้วรู้สึกเข็ดฟัน ปากของผู้ชายคนนั้นมีชั้นไขมันเยิ้มหนาติดอยู่หนึ่งชั้น แต่ไม่ช้าโจวเจ๋อก็พบว่าผิดปกติ ผู้ชายคนนั้นศีรษะโล้น แค่ศีรษะโล้นก็ยังพอทน แต่บนศีรษะนั้นยังเต็มไปด้วยขี้กลากขี้เกลื้อน
“พระขี้เรื้อน!” โจวเจ๋อตะโกนออกมาโดยตรง
“ใคร ใครเรียกฉัน” พระขี้เรื้อนเปิดผ้าปิดตาทันที ทันใดนั้นก็พบว่าโจวเจ๋อยืนอยู่ข้างล่าง เขาพลันตกใจตัวสั่นรีบตะโกนทันควัน “กวาดล้างเหลือง เจ้าหน้าที่กวาดล้างเหลืองโว้ย!”
…………………………………………………………………………
[1] กวาดล้างเหลือง หมายถึง การกวาดล้างสิ่งลามกหรือหญิงหากิน
[2]กุยกง คือ ชายที่หลอกหาแขกให้หญิงโสเภณี