ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 181 ไม่เล่นเหรอ
ตอนที่ 181 ไม่เล่นเหรอ
ในร้านหนังสือยังคงเงียบเหงาเหมือนเคย แน่นอนว่าถ้าร้านหนังสือเริ่มคึกคักเมื่อไร เมื่อนั้นคงได้เห็นผีจริงๆ แล้วละ
หลังจากรับสายโทรศัพท์จากสวี่ชิงหล่างแล้ว ไป๋อิงอิงก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที เมื่อตอนที่นางกำลังล็อกประตูเตรียมตัวจะออกไป นางเห็นสไปเดอร์แมนนั่งอยู่ข้างในอย่างเดียวดาย นางขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็เปิดประตูและเดินเข้าไปพูดกับสไปเดอร์แมนที่กำลังนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ
“นี่ เกิดเรื่องกับเถ้าแก่แล้ว ข้ากับเจ้าไปช่วยเขาด้วยกันเถอะ”
สไปเดอร์แมนเงยหน้าขึ้นมองไป๋อิงอิง จากนั้นลุกขึ้นยืนอย่างเงียบๆ เขาฟังแค่คำสั่งของโจวเจ๋อเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีสติปัญญาใดๆ เลย
เมื่อพาเขาออกไปนอกร้าน ไป๋อิงอิงก็จัดการล็อกประตูร้าน ในเวลานี้เองมีรถแท็กซี่แล่นเข้ามาพอดี สาวน้อยโลลินั่งอยู่ข้างคนขับ
พอไป๋อิงอิงกับสไปเดอร์แมนเข้าไปนั่งด้านในเรียบร้อยแล้ว โชเฟอร์เหลือบมองแขกในรถพลางยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น
“อย่างพวกคุณนี่เรียกว่าอะไรนะ อ้อ คนรักคอสเพลย์ใช่ไหมครับ”
ไป๋อิงอิงไม่ตอบ
สาวน้อยโลลิไม่ตอบ
บาทหลวงยิ่งตอบไม่ได้เข้าไปใหญ่
โชเฟอร์รู้สึกกระอักกระอ่วน จากนั้นจู่ๆ ก็รู้สึกว่าในรถของเขาหนาวขึ้นมาทันที เมื่อก้มหน้ามองก็ไม่ได้เปิดแอร์นี่นา
“โชเฟอร์ออกเดินทางเลย ไปเขาเจียงจวินค่ะ” สาวน้อยโลลิเอ่ยเร่ง
ตอนนี้นางอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เพราะโจวเจ๋อมักจะชอบแส่หาเรื่องและเกิดเรื่องอยู่บ่อยๆ นางหวังเพียงว่าโจวเจ๋อจะทำผลงานจนเลื่อนขั้นเป็นผู้ตรวจสอบอย่างแน่วแน่ จากนั้นนางก็จะสามารถเป็นอิสระได้แล้ว
ในความเป็นจริง นางคิดว่าโจวเจ๋อเป็นคนที่รู้จักประมาณตนมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นก่อนหน้าหรือหลังจากที่นางถูกเขากำราบ สาวน้อยโลลิก็ยังคงรักษามุมมองแบบนี้ไว้ไม่เคยเปลี่ยน
เพราะว่าเขาขี้เกียจมาก ขี้เกียจจนไม่ต่างอะไรกับพวกคนไม่เอาถ่าน แต่คนไม่เอาถ่านคนนี้ทำไมถึงแส่หาเรื่องได้มากมายถึงขนาดนี้กันนะ
อย่างแรกเลยก็คือ หนังสือรับรองของท่านผู้วายชนม์ แล้วก็เจ้าแม่ชิงอี ต่อมาเป็นสมุดหยินหยาง ตามด้วยบาทหลวงอีก ตอนนี้ยังถ่อไปถึงเขาเจียงจวินจนทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาวะ ‘หลับไม่ตื่น’ นี่อีก
สาวน้อยโลลิสูดลมหายใจเข้าลึก เจอผู้จับกุมอย่างนี้มันลำบากจริงๆ เลยนะ
“มีวิธีแก้ปัญหาของเถ้าแก่หรือไม่” ไป๋อิงอิงถามสาวน้อยโลลิ
สาวน้อยโลลิขำ “ข้าเพิ่งได้รับสายโทรศัพท์ไป เจ้าคนที่เปิดร้านบะหมี่คนนั้นเป็นเพียงพวกไร้น้ำยาที่ศึกษาอภิปรัชญามาเท่านั้น คำอธิบายของเขาแทบจะไม่ได้ให้ข้อมูลที่มีประโยชน์มากนัก ข้าจำเป็นต้องไปตรวจสอบที่เกิดเหตุถึงจะได้ข้อสรุป แต่มีสิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันได้ นั่นก็คือคนอย่างเถ้าแก่ของพวกเจ้าถ้าไม่มีเจ้าและไม่มีตู้แช่ละก็ให้ตายอย่างไรเขาก็นอนไม่หลับหรอก แล้วจะตกอยู่ในสภาวะหลับไม่ตื่นได้อย่างไร โดยเฉพาะตอนที่ร่างกายไร้บาดแผลน่ะนะ”
เมื่อไป๋อิงอิงได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและเอ่ยขึ้น “ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เจ้าต้องปลุกเถ้าแก่ให้ตื่น”
“ข้าจะพยายามก็แล้วกัน” สาวน้อยโลลิบุ้ยปาก
“ถ้าเถ้าแก่ไม่ตื่น เจ้าก็จะถูกฝังไปด้วย”
เมื่อสาวน้อยโลลิได้ยินดังนั้น สีหน้าพลันเคร่งขรึมและพูดเสียงต่ำ “เวลานี้เจ้ายังจะมาขู่ข้าอีก ไม่มีประโยชน์หรอกนะ”
โชเฟอร์กำลังฟังเด็กน้อยทะเลาะกับเด็กสาววัยรุ่น แม้จะไม่เข้าใจว่าพวกเธอพูดถึงอะไรอยู่กันแน่ แต่ก็รู้สึกว่าน่าสนใจทีเดียว เขาอยากพูดแทรก แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้อยู่ในวงการคอสเพลย์นี้ด้วยเลยยากที่จะมีหัวข้อร่วมกัน
แต่ทว่า โชเฟอร์ก็ยังหาจุดแทรกเข้าไปจนได้แล้วพูดขึ้น “พวกคุณจะไปเที่ยวที่เขาเจียงจวินกันเหรอ ว่ากันว่าที่นั่นเพิ่งจะเกิดคดีฆาตกรรมไปนะ”
สาวน้อยโลลิเงียบ
ไป๋อิงอิงเงียบ
บาทหลวงยังคงเงียบต่อไป
โชเฟอร์ยิ่งรู้สึกหนาวเข้าไปอีก หนาวจนเขาไม่อยากขับรถต่อแล้ว เท้าก็เริ่มสั่นสะท้านอีกต่างหาก
นี่เป็นเรื่องปกติ ต้องบอกก่อนว่าวันนี้โชเฟอร์เจอแจ็กพอตใหญ่เข้าแล้ว ดึงดูดผู้โดยสารมาสามคน คนหนึ่งเป็นยมทูต คนหนึ่งเป็นผีดิบ อีกคนหนึ่งก็เป็นซากศพ เขาแม่งจะไม่หนาวได้อย่างไรล่ะ
โชเฟอร์ขับแท็กซี่ธรรมดาขับรถไปงานศพหรือสุสานในตอนกลางคืน มองเห็นเงาสีขาวรางๆ อยู่ตรงนั้นไกลๆ ก็น่าทึ่งมากแล้ว แต่ปรากฏว่าเขากลับคว้าแชมป์แกรนด์สแลมไปเลยเต็มๆ
ลูกพี่มองเห็นผีบรรลุสุดยอดความสำเร็จสูงสุด!
“เขาเจียงจวินน่ะ เป็นสถานที่ที่ดีมากเลยนะ พวกคุณรู้ประวัติความเป็นมาของเขาเจียงจวินหรือเปล่า” โชเฟอร์ยังอยากจะพูดจ้อต่อไป ไม่พูดก็ไม่ได้ เขาหนาวจนพ่นไอเย็นออกมาแล้ว
“ประวัติความเป็นมาอะไรคะ” ไป๋อิงอิงถาม
ดูเหมือนเป็นเพราะไป๋อิงอิงเริ่มคุยด้วยก่อน ทำให้นางจงใจยับยั้งพลังวิญญาณชั่วร้ายในกายเอาไว้ ทันใดนั้นโชเฟอร์รู้สึกว่าอุณหภูมิกลับมาเป็นปกติแล้ว นี่จะโทษไป๋อิงอิงไม่ได้ นางออดอ้อนกับโจวเจ๋อคนเดียวเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับคนอื่นนั้น นางจะเย็นชามากจริงๆ ยิ่งหลังจากเกิดเรื่องกับเถ้าแก่แล้วอารมณ์ของไป๋อิงอิงก็ไม่ค่อยจะดีนัก
“รู้จักเฉาติ่งไหมล่ะ” โชเฟอร์ถามขึ้น
“เขาเป็นใคร” ไป๋อิงอิงถาม
“แม่ทัพต่อต้านญี่ปุ่นเลื่องชื่อ แน่นอนว่าเทียบกับชีจี้กวงไม่ได้ แต่ก็เก่งกาจมากทีเดียว เขาเป็นชาวทงเฉิงของพวกเราน่ะ ในยุคของจักรพรรดิเจียจิ้งของราชวงศ์หมิงช่วงนั้น พวกโจรสลัดญี่ปุ่นสร้างปัญหามากไม่ใช่เหรอ ทงเฉิงของเราตั้งอยู่บนปากแม่น้ำแยงซีฝั่งนี้ ก็มีโจรสลัดญี่ปุ่นเข้ามาจำนวนมากเหมือนกัน เขานำทัพไปขับไล่โจรสลัดญี่ปุ่นอยู่หลายครั้งหลายครา แต่เมื่ออายุได้สี่สิบสี่ปี ก็ถูกสังหารในสนามรบ ตายเยี่ยงวีรบุรุษ”
“อ้อ” ไป๋อิงอิงพยักหน้า
จู่ๆ สาวน้อยโลลิก็เริ่มสนใจขึ้นมาและพูดขึ้น “เขาเจียงจวินเกี่ยวข้องกับแม่ทัพเฉาติ่งอย่างไรคะ”
“เพราะเขาเลื่องชื่อไงล่ะ บนเขาเจียงจวินยังมีจุดชมวิวที่เรียกว่าสุสานวาโกะ เอาไว้ใช้ในการสักการะเขา ตอนนั้นโจรสลัดญี่ปุ่นเผา ฆ่า และปล้นสะดมตลอดทาง แม่ทัพเฉาติ่งเอาชนะพวกเขาได้ ตอนที่ไล่ฆ่าโจรสลัดญี่ปุ่นไปถึงบนเขาเจียงจวิน ก็เกิดอุบัติเหตุให้ต้องพลีชีพ เดิมชื่อเขาเจียงจวินไม่ใช่ชื่อนี้ และเฉาติ่งก็ไม่มีตำแหน่งทางการที่สูงเช่นกัน แต่ชาวทงเฉิงคิดถึงเขามาก จึงเรียกเขาลูกนี้ว่าเขาเจียงจวิน ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยเปลี่ยนชื่ออีก”
สาวน้อยโลลิเลียริมผีปากอย่างครุ่นคิด
ราวๆ หนึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดรถก็แล่นเข้าไปถึงตีนเขาเจียงจวิน สาวน้อยโลลิจ่ายเงินและลงจากรถไปก่อน
เมื่อรอให้ไป๋อิงอิงลงจากรถแล้ว นางก็เห็นสาวน้อยโลลิเงยหน้ามองขึ้นไปบนยอดเขา ท่าทางเหมือนกับผู้ใหญ่ตัวน้อยเสียอย่างนั้น
“มองเห็นอะไรงั้นเหรอ” ไป๋อิงอิงถาม
“ปัญหาก็คือมองอะไรไม่เห็นเลยน่ะสิ” สาวน้อยโลลิขมวดคิ้วพูดขึ้น “นี่ถึงจะเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุด เพราะเจ้าคนแซ่สวี่บอกว่าพวกเขาเห็นผีในรีสอร์ตน้ำพุร้อนบนยอดเขา แถมยังมีจำนวนไม่น้อยอีกด้วย แต่ที่นี่กลับเงียบสงบมาก และไม่มีร่องรอยของวิญญาณชั่วร้ายเลยสักนิด ข้าคิดว่าเถ้าแก่ของเจ้าน่าจะสงสัยเหมือนกับข้า เห็นๆ กันอยู่ว่ามีผี แต่กลับเงียบสงบมาก”
“ทำไมล่ะ”
“ไม่ได้ยินสิ่งที่โชเฟอร์พูดมาก่อนหน้านี้หรือ ที่นี่เป็นสถานที่ที่วีรบุรุษสละชีพ และเพลิดเพลินไปกับการจุดธูปเซ่นไหว้ของชาวบ้านรุ่นสู่รุ่น ต่อให้วิญญาณชั่วร้ายปรากฏตัวขึ้นที่นี่ พวกมันจะถูกยับยั้งอย่างที่สุด แม้กระทั่งเจ้าและข้าต่างก็ถูกกดเอาไว้”
“งั้นเถ้าแก่ล่ะ”
“น่าจะไม่หรอกมั้ง เถ้าแก่ของเจ้าแม้ว่าจะเป็นผี แต่ก็ไม่น่าจะตกเป็นเป้าหมายโดยตรง อีกอย่าง นับตั้งแต่ยุคจักรพรรดิเจียจิ้งจนถึงปัจจุบัน ผ่านมาตั้งห้าร้อยปีแล้ว ไม่ว่าวิญญาณวีรบุรุษจะแข็งแกร่งเพียงใดก็อยู่ได้ไม่นานถึงขนาดนี้หรอก ผู้คนมักจะลืมเลือนอยู่เสมอนั่นแหละ”
“ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับเถ้าแก่ที่รีสอร์ตก่อนดีกว่า”
เมื่อไป๋อิงอิงพูดจบก็เดินตรงขึ้นไปบนเขาทันที
สาวน้อยโลลิเดินตามหลังไป ส่วนบาทหลวงเดินตามมาเป็นคนสุดท้าย
แต่ทว่า เมื่อเดินไปเรื่อยๆ
จู่ๆ บาทหลวงก็หยุดฝีเท้าลงกะทันหัน ร่างที่เดิมทีงองุ้มค่อยๆ ยืดตัวขึ้นตรง หมวกที่คลุมอยู่ตรงตำแหน่งดวงตากลับมีแสงสีเขียวจางๆ ลอดออกมา
สาวน้อยโลลิหันกลับไปมองบาทหลวงและเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง “เขาคงไม่ได้เสียการควบคุมหรอกใช่ไหม”
ไป๋อิงอิงส่ายหน้ายืนยันหนักแน่นและเอ่ยขึ้น “ไม่มีทาง เขาไม่ใช่เขาคนเดิมอีกแล้ว เจ้าไม่ใช่ผีดิบ เจ้าเลยไม่เข้าใจความรู้สึกของผีดิบอย่างพวกเรา ข้าสามารถบอกเจ้าอย่างมั่นใจเลยว่า ชาตินี้เขาจะไม่มีวันทรยศเถ้าแก่อย่างแน่นอน”
สายตาของบาทหลวงสอดส่องไปรอบๆ ดูเหมือนว่ากำลังตามหาอะไรบางอย่าง และราวกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเรียกเขาอยู่
ส่วนไป๋อิงอิงกับสาวน้อยโลลิแทบจะไม่รู้สึกถึงอะไรเลยด้วยซ้ำ
“มีอะไรเหรอ” ไป๋อิงอิงถามบาทหลวง
บาทหลวงรู้สึกมึนงงเล็กน้อย แบมือทั้งสองข้างราวกับไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ตั้งแต่โจวเจ๋อพาเขากลับไปที่ร้านหนังสือ เขาก็ไม่เคยพูดออกมาเลยสักประโยค
ตอนที่เขาสื่อสารกับโจวเจ๋อนั้นง่ายมาก แต่ตอนที่เขาสื่อสารกับคนอื่นนั้นยากเหลือเกิน
“สรุปแล้วเป็นอะไรกันแน่” ไป๋อิงอิงจี้ถาม
บาทหลวงยังคงสับสนเหมือนเดิม แต่เขาก็ยังก้มลงไปคว้าก้อนหินขึ้นมาสองก้อนโดยอัตโนมัติ ก้อนใหญ่หนึ่งก้อนและก้อนเล็กหนึ่งก้อน
หินก้อนเล็กวางซ้อนอยู่บนหินก้อนใหญ่ จากนั้น บาทหลวงเอื้อมมือไปบีบหินก้อนเล็กที่อยู่ข้างบนจนเกิดเสียงดัง ‘เปรี๊ยะ’ ในชั่วพริบตาหินก้อนเล็กแตกกระจายทันที เศษเล็กเศษน้อยค่อยๆ ร่วงออกจากปลายนิ้วของบาทหลวง
จากนั้น เขามองไปที่ไป๋อิงอิงและสาวน้อยโลลิ ราวกับจะดูว่าพวกนางเข้าใจหรือไม่
“อ้อ…”
สาวน้อยโลลิอ้าปากแล้วเปล่งเสียงออกมา
“หมายความว่าอย่างไร” ไป๋อิงอิงมองสาวน้อยโลลิ
“อ้อ…ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี” สาวน้อยโลลิ
“…” ไป๋อิงอิง
บาทหลวงเอื้อมมือขึ้นไปเกาหัวยิกๆ ราวกับกำลังคิดหาวิธีที่จะแสดงออกมา
“ช่างเถอะ ไปหาเถ้าแก่ของพวกเจ้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
สาวน้อยโลลิไม่อยากเสียเวลาจึงหันหลังและเดินขึ้นไป ไป๋อิงอิงเหลือบมองบาทหลวง แล้วเดินตามขึ้นไปด้วยกัน
บาทหลวงเดินตามหลังพวกนางต่อไปเรื่อยๆ ด้วยความสับสน
บาทหลวงเดินอย่างหนักแน่น แต่ในทุกย่างก้าวเขาได้ทิ้งรอยเท้าเอาไว้บนพื้น ในขณะเดียวกันเขาก็ส่ายหน้าอย่างไม่รู้ตัว เหมือนวัวตัวหนึ่งกำลังไล่แมลงวันที่มาตอมเสียงดังหึ่ง
…
“เฮ้ ผมขัดขาข้างนี้ของคุณจนสะอาดแล้ว ไม่เลวทีเดียว เป็นขาที่ผมเล่นได้เป็นปีๆ เลย”
โจวเจ๋อจับท่อนขาของเด็กสาวโบกไปมาไปทางผนัง
ในภาพลวงตาก่อนหน้านี้นักพรตเฒ่าเคยลงไปในน้ำพุร้อนและจับท่อนขาหนึ่งออกมาจากบ่อ จริงๆ แล้วมันคือท่อนขาที่โจวเจ๋อถืออยู่ในมือตอนนี้
“คุณอยากเล่นไหมล่ะคะ” เด็กสาวข้างห้องถามขึ้น
“ขอโทษครับ ผมแค่ล้อเล่นน่ะ อีกอย่างพวกเราต่างก็เป็นคนตายแล้วก็น่าจะล้อเล่นกันได้”
“ฉันถามคุณว่า…คุณอยากเล่นไหมคะ”
หญิงสาวรบเร้าถามต่อ
“ไม่อยากเล่นครับ”
โจวเจ๋อมองท่อนขาที่อยู่ในมือแล้วเลือกที่จะปฏิเสธ
และในขณะที่โจวเจ๋อปฏิเสธนั้น
บ่อน้ำพุร้อนฝั่งของโจวเจ๋อเริ่มมีน้ำร้อนปรากฎขึ้น มันไม่ใช่น้ำพุร้อนแต่มันเป็นเลือดร้อนผ่าวที่ไหลสาดเข้ามา
เลือดนองเต็มบ่อน้ำพุร้อนอย่างรวดเร็ว คล้ายกับหม้อไฟเฉิงตูที่ทั้งร้อนทั้งเผ็ดกำลังเดือดพล่าน
กระทั่งมีบางอย่างที่กำลังถูกต้มและเดือดพลิกไปพลิกมาอยู่เรื่อยๆ
นั่นก็ขาอีกข้างหนึ่ง
นั่นก็แขน
นั่นก็หน้าอก
นั่นก็คอ
ซากศพแต่ละท่อนพลิกกลับไปมาอย่างต่อเนื่อง
เธอมาแล้ว
เธอกระโดดข้ามกระจกที่กั้นจากผนังอีกฟากมาหาโจวเจ๋อฝั่งนี้!
ท่ามกลางน้ำเลือด ศีรษะค่อยๆ ลอยโผล่ขึ้นมา ส่วนมือเท้าทั้งสี่และกระดูกท่อนต่างๆ ของเธอต่างก็กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ข้างๆ เธอไม่หยุด
ในขณะเดียวกัน เธอก็เอ่ยขึ้นว่า
“ไม่เล่นเหรอ”
……………………………………………………