ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 180 ขัดสีฉวีวรรณ!
ตอนที่ 180 ขัดสีฉวีวรรณ!
เสียงเอ่ยว่า ‘ไง’ นี้แฝงไปด้วยอารมณ์ขันที่เยือกเย็นมาก
ผู้คนมักคิดว่าผีต่างมีแต่ความอาฆาตพยาบาทและความเคียดแค้นฝังหุ่น นี่เป็นภาพจำโดยธรรมชาติของผู้คน
เมื่อก่อนโจวเจ๋อก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน จนกระทั่งตัวเขาเองกลายเป็นผี
ผีกับมนุษย์แตกต่างกันอย่างไรกันแน่
ในแง่ของความคิดชั่วร้าย
มนุษย์รู้ว่าผีน่ากลัว ผีรู้ว่ามนุษย์มีใจอำมหิต
ในแง่ของด้านอื่นๆ
ผีก็มาจากมนุษย์ ในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นนิสัยและประสาทสัมผัสการรับรู้ ความจริงมีอารมณ์ความรู้สึกเข้ามาทดแทนอย่างลึกซึ้งเฉกเช่นมนุษย์
ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียว อาจจะเป็นไปได้ว่าโดยส่วนใหญ่แล้วผีมีนิสัยสุดโต่งคล้ายกับพวก ‘ผู้หลบหนี’ และ ‘นักโทษที่หลบหนี’ เป็นเรื่องยากสำหรับพวกมันที่เร่ร่อนอยู่บนโลกนานๆ แม้ว่าจะมีสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันอยู่บ้าง ลงนรกไม่ได้ ยมทูตก็ยังหาไม่เจอ แต่การใช้ชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์มันเหมือนหนูที่ซ่อนตัวอยู่ในท่อระบายน้ำเสียมากกว่า
มนุษย์กลัวผี แต่ในโลกนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่สามารถทำร้ายและหยุดยั้งผีได้
อย่างเช่นเป้ากางเกงของนักพรตเฒ่า
โจวเจ๋อยกมือขึ้นลูบหัวและหาวหวอดๆ ความอัดอั้นทั้งคืนวานนี้ ตอนนี้ดูเหมือนจะลดลงไปไม่น้อย คนที่เคยไปเส้นทางสู่นรกมาแล้ว ไม่มีอะไรที่ปล่อยวางไม่ได้หรอก
อยากกลับไป อยากกลับร่างของตัวเองอีกครั้ง อยากกลับไปสู่ชีวิตเดิมของตัวเอง มันแน่นอนอยู่แล้ว
แต่ในเมื่อตอนนี้ยังหาทางไม่ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องหงุดหงิดและเครียดจนเกินไป
“ตอนนี้บอกผมมาได้แล้ว ใครเป็นคนฆ่าพวกคุณ” โจวเจ๋อถาม
ครอบครัวนั้นทั้งสามคนยังคงมองเขาอยู่ จากนั้นก็เงียบ
ความรู้สึกที่ถูกคนหัวขาดทั้งสาม ‘จ้อง’ อยู่ มันแย่มากจริงๆ
แม้จะเป็นเถ้าแก่โจวก็ตามที ก็ยังมีความรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อยในตอนนี้
‘เคร้ง…’
เสียงช้อนกระทบจานดังกังวานลอยมาจากข้างๆ โจวเจ๋อ จากนั้นเมื่อโจวเจ๋อหันกลับไป ก็มองเห็นเด็กสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เขา เหมือนกำลังตั้งใจจะรับประทาน
เด็กสาวหันหน้ามาเหลือบมองโจวเจ๋อ อ้อ ไม่สิ ที่จริงมองไปที่ทั้งสามคนในครอบครัวนั้น และพยักหน้าให้พวกเขาเบาๆ
เยี่ยม
โจวเจ๋อรู้สึกว่าตัวเองช่างน่าเศร้าและเหี่ยวเฉาเล็กน้อย
ความจริงแล้วเธอกำลังทักทายคนอื่นที่ตัวเขากำลังคั่นอยู่ แล้วเขาก็เข้าใจผิดอีกต่างหาก มันรู้สึกอึดอัดวางตัวไม่ถูก
จากนั้นทั้งสามคนในครอบครัวนั้นก็นั่งตัวตรงมองไปที่อาหารตรงหน้า…นิ่งๆ อีกครั้ง
ส่วนเด็กสาวรับประทานอาหารอย่างไม่รีบร้อน เธอกินอย่างสง่างาม แต่ไม่ใช่ชนิดที่สุภาพเรียบร้อยและไม่เป็นธรรมชาติจนเกินไปนัก ความจริงแล้วเธอกินไวมาก แต่กลับมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด
โจวเจ๋อมองเด็กสาวกินข้าวไปทั้งอย่างนี้
โชคดีที่นักพรตเฒ่าและสวี่ชิงหล่างยังคงร้อนรนเพราะโจวเจ๋อยังไม่ตื่นขึ้นมาสักที ยังคิดไปไม่ถึงขั้นลอดบ่อน้ำพุร้อนเข้ามาดูอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นถ้าพวกเขาเข้ามาเห็นโจวเจ๋อกำลังจ้องมองเด็กสาวรับประทานอาหารเหมือนกับเขาเป็นคนปกติที่ไม่มีปัญหาอะไร อาจจะโกรธจนเลือดขึ้นหน้าไปเลยก็ได้
เด็กสาวรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย และดื่มนมที่เหลืออยู่นิดหน่อยตามลงไป ก่อนจะหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดปากของเธอ จากนั้นก็ลุกขึ้น ดูเหมือนกำลังจะจากไป
โจวเจ๋อก็ลุกขึ้นเดินตามเธอไป คล้ายกับเป็นพวกโรคจิตที่ตามต้อยๆ
แต่นั่นไม่ใช่เพราะโจวเจ๋อถูกใจเธอหรืออะไร ภายใต้สภาพแวดล้อมและสภาวะอย่างนี้ โจวเจ๋อยังไม่ถึงขั้นทุบไหให้แตกแล้วแตกอีก[1] แต่เป็นเพราะโจวเจ๋อมองว่าเด็กสาวคนนี้แตกต่างจากคนอื่นๆ ในห้องอาหารมากทีเดียว
แขกนักชิมคนอื่นๆ ในห้องอาหาร แม้ว่าจะรับประทานได้ แต่การะกระทำของพวกเขาให้ความรู้สึกว่าไม่ต่างอะไรจากครอบครัวที่หัวขาดสามคนนั้นเลย
เฉื่อยชา
เงียบสงัด
แฝงไปด้วยกลิ่นผ้ารัดเท้าของหญิงชรา
แต่บนตัวเด็กสาวคนนี้กลับมีกลิ่นอายที่เหมือนมีชีวิตจริงๆ ภายใต้สภาพแวดล้อมนี้ดูเหมือนว่าเธอจะมีอิสระ…ในระดับที่สูงกว่าคนอื่นๆ เฉกเช่นเดียวกันกับเขาเลย
โจวเจ๋อเดินตามเธอออกมาจากห้องอาหาร สิ่งที่ทำให้โจวเจ๋อประหลาดใจก็คือ ทั้งเขาและเธอพากันเดินผ่านเฉลียงทางเดินกระจก
นี่มันเหมือนกับรวงผึ้งที่ข้างในสลับซับซ้อน ผึ้งทุกตัวต่างก็มีตำแหน่งรูของตัวเอง
โจวเจ๋อเดินตามหลังเด็กสาวไปเรื่อยๆ คนหนึ่งนำหน้าคนหนึ่งตามหลัง ทั้งสองเดินไปอย่างเชื่องช้า
เมื่อเดินไปเรื่อยๆ เด็กสาวก็หยุดฝีเท้าลง ดูเหมือนว่าจนถึงตอนนี้เธอเพิ่งจะสังเกตเห็นโจวเจ๋อ
เด็กสาวหันหน้ามายิ้มให้โจวเจ๋อ เป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์มาก
“คนนิจิวะ” (สวัสดีค่ะ)
เด็กสาวโค้งตัวให้โจวเจ๋อเล็กน้อย
คนญี่ปุ่นเหรอ
ปฏิกิริยาแรกของโจวเจ๋อคือนึกถึงสไปเดอร์แมนที่บ้านเขาเอง
“สวัสดีครับ”
โจวเจ๋อตอบ
ภาษาญี่ปุ่นง่ายๆ แบบนี้โจวเจ๋อยังพอเข้าใจ แต่เขาก็ยังตอบด้วยภาษาจีนอยู่ดี
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวตอบอีกครั้งเป็นภาษาจีน
จากนั้นเด็กสาวก็เดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ โจวเจ๋อก็เดิมตามหลังไปเรื่อยๆ
การแลกเปลี่ยนสื่อสารและการทักทายเมื่อสักครู่เหมือนเป็นฉากเล็กๆ ที่แทรกเข้ามา ราวกับโยนก้อนหินลงไปในทะเลสาบที่เงียบสงัด หลังจากระลอกคลื่นผ่านไปก็กลับมาเงียบสงบดังเดิม
กระทั่งเดินไปจนถึงสนามหญ้าที่ประตูห้องฝั่งนั้น โจวเจ๋อก็เห็นเด็กสาวเลี้ยวไปทางอื่น
แท้จริงแล้วเป็นเพื่อนบ้านนี่เอง
รูปแบบวิลลาของรีสอร์ตน้ำพุร้อนแห่งนี้เป็นแบบนี้ วิลล่าเดี่ยวหลังหนึ่งถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนเพื่อการใช้งาน ซึ่งทุกคนจะร่วมใช้ผนังเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้เอง ทางเดินที่โจวเจ๋อและเด็กสาว ‘เดิน’ เป็นทางเดียวกันก็สามารถอธิบายได้แล้ว แต่เมื่อถึงตรงนี้ทุกคนต่างมีทางเดินแยกเป็นของตัวเอง โจวเจ๋อพยายามเดินไปทางฝั่งนั้นของเด็กสาวแล้ว แต่ถูกกระจกบางๆ ขวางเอาไว้ทันที
โจวเจ๋อเลิกดิ้นรนแล้วกลับไปที่ห้องของตัวเอง
เมื่อนั่งลงที่ห้องนั่งเล่นก็จุดบุหรี่หนึ่งมวน จากนั้นโจวเจ๋อลุกขึ้นยืนและเดินไปดูที่กรอบรูปตรงนั้นอีกครั้ง ในกระจกนั้นเขายังคงนอนอยู่บนโซฟา นักพรตเฒ่านั่งผล็อยหลับอยู่ข้างๆ เขา ส่วนสวี่ชิงหล่างคุยโทรศัพท์อยู่ด้านข้าง เหมือนกำลังติดต่อใครบางคน
โจวเจ๋อเดาว่ากำลังติดต่อไปหาไป๋อิงอิงในร้านหนังสือ หรือไม่ก็ติดต่อไปหาสาวน้อยโลลิอีกครั้ง ถึงอย่างไรเขาที่อยู่ในความเป็นจริงนั้นตกอยู่ในสภาวะที่เรียกเท่าไรก็ไม่ตื่น มันทำให้พวกสวี่ชิงหล่างไม่เข้าใจและไม่สามารถรับมือได้จริงๆ
ความรู้สึกที่ถูกคนห่วงใยแบบนี้ก็ไม่เลวเลย แน่นอนว่าความรู้สึกที่แอบมองดูก็ไม่เลวเช่นกัน
โจวเจ๋อบิดขี้เกียจแล้วเขี่ยบุหรี่ ในเวลานี้เอง เสียงปล่อยน้ำลงบ่อน้ำพุร้อนดังมาจากห้องข้างๆ
ที่จริงลานบ้านถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน แต่ละฝั่งจะมีบ่อน้ำพุร้อนอยู่ เสียงปล่อยน้ำดังมากพอที่ห้องข้างๆ จะได้ยิน
โจวเจ๋อเดินเข้าไปในลานบ้าน และนั่งลงบนเก้าอี้หวาย
นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ในโลกข้างในกระจกนั้น คุณโดดเดี่ยวเหมือนกับนักโทษที่ถูกคุมขัง ทำได้เพียงเดินไปห้องอาหารตามเส้นทางที่กำหนดไว้ตามเวลา หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วก็กลับเข้าไปในกรงของตัวเอง
แน่นอนว่าเขายังสามารถแอบมองผ่านกระจกเพื่อดูว่าพวกสวี่ชิงหล่างกำลังทำอะไรอยู่ในโลกความเป็นจริง แต่มันก็ไม่เหมือนการดูหนังอย่างว่าที่แค่ดูภาพโดยไม่มีเสียงก็ได้ การแอบดูแบบนี้ในตอนนี้กลับไม่สามารถสื่อสารได้เลย คุณทำได้เพียงยืนกังวลใจอยู่ข้างๆ เท่านั้น มันน่าเบื่อจริงๆ กลับกันมันยิ่งทำให้ตัวเองหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
ตอนนี้เขามีเพื่อนข้างห้อง ทั้งยังได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของเธอ มันค่อนข้างไม่เลวทีเดียว แน่นอนว่า ถ้าหากเพื่อนบ้านคนนี้เป็นคนอ้วนห้าใหญ่สามหนา[2] เดาว่าโจวเจ๋อก็คงจะไม่สนใจอะไร
ไม่นานน้ำก็ใกล้จะได้ที่แล้ว โจวเจ๋อได้ยินเสียงฝีเท้า และได้ยินแม้กระทั่งเสียงถอดเสื้อผ้า ‘กุกกักๆ’
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ทำได้แค่ฟังแต่ดูไม่ได้ และด้วยสาเหตุที่ไม่พบเบาะแสใดๆ เลย เถ้าแก่โจวจึงย้ายเก้าอี้หวายไปใต้ผนัง จากนั้นทั้งตัวก็ยืนอยู่ตรงนั้น
บนผนังยังมีกระจกบางๆ กั้นอยู่ ทำให้คุณเข้าหรือออกไม่ได้ และไม่มีทางที่จะก้าวข้ามบ่อน้ำไปได้ด้วย แต่นี่ไม่อาจหักห้ามไม่ให้คุณดูได้ กระจกชั้นบางๆ นี้ยิ่งทำให้ดูเหมือนถูกปิดด้วยโมเสกบางๆ แต่ในทางกลับกันมันเพิ่มความสวยงามที่พร่ามัวให้กับฉากแทน มันน่าชื่นชมมากกว่าความเรียบง่ายตรงไปตรงมา…อ้อ ไม่สิ มันควรค่าแก่การศึกษา
มือข้างหนึ่งของโจวเจ๋อคีบบุหรี่เอาไว้ ส่วนอีกข้างหนึ่งจับผนังเอาไว้และมองลอดเข้าไปข้างใน
เด็กสาวเดินเข้าไปในบ่อน้ำพุร้อน จากนั้นเธอก็เริ่มร้องเพลง เป็นเพลงภาษาญี่ปุ่นที่เข้าถึงอารมณ์เพลงหนึ่ง โจวเจ๋อไม่เข้าใจเนื้อร้อง แต่ก็รู้สึกว่าไม่เลว ค่อนข้างไพเราะ
โจวเจ๋อค่อยๆ หันกลับมา ไม่ได้มองเข้าไปข้างในต่อ แต่เอนหลังพิงผนังแทน
โจวเจ๋อไม่รู้ว่าทำไมถึงมีความรู้สึกว่าได้ยินความเหงาที่ออกมาจากเสียงร้องเพลงของเด็กสาวคนนี้ มันไม่ใช่ความเหงาอย่างดอกซิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพง[3]แบบนั้น แต่เป็นความเหงาที่ถูกกักขังเอาไว้ที่นี่มาเป็นเวลานาน
กระทั่งโจวเจ๋อยังคิดว่าบางทีคนอื่นๆ ในห้องอาหาร พวกเขาก็คงจะเป็นเหมือนตัวเขาเองในตอนแรก คิดอยากออกไป คิดสงสัย คิดอยากจะทำอะไรสักอย่าง แต่การถูกกักขังให้ใช้ชีวิตทรมานในกรงแบบเดิมซ้ำๆ ทุกวันก็ทำให้เฉื่อยชาขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นเหมือนทั้งสามคนในครอบครัวนั้น
เขาจะเป็นแบบนี้ในสักวันหรือไม่
“ลัลลาลา…”
เด็กสาวร้องเพลงจบก็เริ่มอาบน้ำ หยิบผ้าขนหนูมาถูเรือนร่างของตัวเอง โจวเจ๋อได้ยินเสียงน้ำ ได้ยินแม้กระทั่งเสียงหายใจของเด็กสาว
เพราะระยะห่างมันใกล้กันมากจริงๆ ที่จริงแล้วบ่อน้ำพุร้อนทั้งสองฝั่งสร้างชิดติดผนัง ดังนั้นระหว่างเด็กสาวและโจวเจ๋อมีเพียงผนังกั้นเอาไว้เท่านั้น
“คุณชื่ออะไรครับ” โจวเจ๋อเอ่ยขึ้น
คนลามกที่แอบดูคนอื่นอาบน้ำกลับพูดจาอย่างเปิดเผยและถามชื่อของคนอื่น
“สึกิโนะ ซาโอริ”
เด็กสาวตอบ
อันที่จริงเธอสังเกตเห็นว่าโจวเจ๋อแอบดูมาสักพักแล้ว
“คุณล่ะคะ” หญิงสาวถาม
“สวี่ชิงหล่าง”
“ชื่อเพราะจัง” เด็กสาวเอ่ย
“ครับ” โจวเจ๋อเห็นด้วย
“คุณก็ตายอยู่แถวนี้เหรอคะ” เด็กสาวถามขึ้นอีกครั้ง
“ตายเหรอ”
“ใช่ค่ะ ตาย”
“คุณตายแล้วเหรอครับ” โจวเจ๋อถาม
“หรือว่าคุณยังไม่ตายล่ะคะ” เด็กสาวสงสัยเล็กน้อย จากนั้นพูดต่อ “หรือว่าคุณสวี่จะยังไม่รู้ตัวว่าที่จริงแล้วตัวเองตายไปนานแล้วใช่ไหมคะ”
“ผมตายมานานแล้ว นานมาแล้วละครับ” โจวเจ๋อตอบ “คุณบอกผมได้ไหมว่าคุณตายได้อย่างไร”
“ฉันไม่ค่อยอยากตอบคำถามนี้สักเท่าไร” เด็กสาวปฏิเสธ
“แต่ผมอยากรู้ครับ ถึงอย่างไรตอนนี้พวกเราก็ไม่มีอะไรทำอยู่ดี ไม่ใช่เหรอครับ” โจวเจ๋อตะล่อม
“พวกเราอาบน้ำได้ค่ะ” เด็กสาวพูดอย่างจริงจัง
“อาบน้ำเหรอ”
“ใช่ค่ะ พวกเราสามารถแช่น้ำพุร้อนทุกวันก็ได้ อาบน้ำชำระล้างทุกส่วนของร่างกายให้สะอาดหมดจด เราควรจะสะอาดสะอ้าน ไม่ว่าเวลาหรือสถานการณ์ไหนก็ตาม จะต้องสะอาดสะอ้าน และจำเป็นต้องหมดจด”
ในฐานะผู้ชายที่เป็นโรคกลัวความสกปรก เมื่อได้ยินเด็กสาวเอ่ยคำพูดพวกนี้ พลันมีเสียงสั่นพ้องดังก้องกังวานอยู่ในใจของโจวเจ๋อ
เด็กสาวไม่คุยกับโจวเจ๋อแล้วจริงๆ เธอเริ่มขัดเนื้อตัวของตัวเองอย่างจริงจัง นั่นก็เป็นการอาบน้ำให้ตัวเองสะอาดหมดจด
โจวเจ๋อคิดว่าเธออาบจนเกินเลยคำว่าสะอาดหมดจดไปแล้ว ความรู้สึกที่ใช้ผ้าขนหนูแบบนั้นออกแรงถูบนผิวของตัวเอง โจวเจ๋อได้ยินมันชัดเจน น่าจะเจ็บมากใช่ไหม
ผ่านไปพักหนึ่ง
เด็กสาวเอ่ยปากขึ้นก่อน “คุณสวี่ช่วยอะไรฉันสักอย่างได้ไหมคะ”
“พูดมาเลยครับ”
“ขาข้างหนึ่งของฉันอยู่ในสระฝั่งนั้นของคุณน่ะค่ะ คุณช่วยอาบน้ำให้มันสะอาดหน่อยได้ไหมคะ”
………………………………………………………….
[1] ไหแตกแล้วแตกอีก หมายถึงเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น แต่ไม่แก้ไขแล้วปล่อยไปตามยถากรรม หรือทำให้แย่กว่าเดิม
[2] ห้าใหญ่สามหนา ห้าใหญ่หมายถึงสองมือสองเท้าและหนึ่งศีรษะที่มีขนาดใหญ่ สามหนาหมายถึง ขา เอว และคอที่หนา
[3] ดอกซิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพง หมายถึง การนอกใจ การคบชู้