ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล - ตอนที่ 154 ใครเป็นคนแรกที่ตื่นจากฝันอันยิ่งใหญ่!
- Home
- All Mangas
- ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล
- ตอนที่ 154 ใครเป็นคนแรกที่ตื่นจากฝันอันยิ่งใหญ่!
ตอนที่ 154 ใครเป็นคนแรกที่ตื่นจากฝันอันยิ่งใหญ่!
หมอหลินรีบเดินเข้าไปในห้องของโจวเจ๋อ ครั้งนี้เธอมั่นใจมากว่าเรือนสี่ประสานแห่งนี้มีปัญหาจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้บ้านหลังนี้มีแค่สามคน คือ ตัวเอง โจวเจ๋อ และชายชราคนนั้น ตอนนี้ในห้องของชายชราจู่ๆ กลับมีคนกลุ่มใหญ่มาดื่มเหล้าพูดคุยกันในคืนนี้ จะเป็นไปได้อย่างไร และคำพูดพวกนั้นที่พวกเขาพูดก็ชี้ชัดมาก
“อาเจ๋อ บ้านหลังนี้มีปัญหา พวกเราไปกันเถอะ”
โจวเจ๋อวางโทรศัพท์แล้วหาว พูดตามจริง เขาเหนื่อยมากแล้ว แต่ไป๋อิงอิงไม่อยู่ข้างกายจึงนอนไม่หลับ ทั้งๆ ที่ร่างกายกับสติต้องการนอนกลับไม่สามารถนอนหลับได้มันทรมานมากที่สุด
“ที่ห้องข้างๆ ฉันเพิ่งได้ยินคนมากมายกำลังคุยกัน” หมอหลินพูดต่อ
“ไม่เป็นไรๆ” โจวเจ๋อโบกมือ
“เมื่อวานคุณตกใจ พักผ่อนอีกสองสามวันก็ดีแล้ว”
ความจริงแล้วหลังจากที่ได้สัมผัสกับผี ร่างกายของมนุษย์จะได้รับผลกระทบเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เหมือนกับถูกสนามแม่เหล็กรบกวน จึงสามารถได้ยินหรือเห็นสิ่งที่ปกติมองไม่เห็น รอให้สนามแม่เหล็กผ่านไปสักพัก ก็จะดีขึ้น
น้ำตาวัวก็มีผลประมาณนี้เช่นกัน
หมอหลินหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาช่วยเช็ดตัวให้โจวเจ๋อ โจวเจ๋อก็รู้สึกเพลินดี แต่ดูจากวิธีการทำแล้ว วิธีการปรนนิบัติคนของหมอหลินสู้ไป๋อิงอิงไม่ได้จริงๆ
รอจนเช็ดตัวเสร็จแล้ว หมอหลินวางผ้าขนหนูลง แล้วกัดริมฝีปากพูดว่า
“ฉันได้ยินไม่ผิดจริงๆ ถ้าหากคุณรู้อยู่แก่ใจดีไม่อยากให้ฉันคิดมาก ฉันก็จะไม่คิดมาก”
โจวเจ๋อพยักหน้า
หมอหลินไม่พูดอะไรอีก เธอถอดเสื้อคลุมออกแล้วนอนลงบนเตียง แต่นอนอีกด้านหนึ่ง ใช้แขนเป็นหมอนรองศีรษะ
หากมองจากมุมของโจวเจ๋อ จะเห็นเพียงเงาหลังของเธอ รูปร่างเพรียวบางแต่กลับไม่เสียทรวดทรงองค์เอวที่อวบอิ่ม น่าดึงดูดเป็นอย่างมาก
อันที่จริงผู้หญิงต้องมีเนื้อมีหนังหน่อยถึงจะดูดีกว่า
โจวเจ๋อไถโทรศัพท์ต่อ ไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับและรู้สึกเบื่อ หากจะโทษก็คงต้องโทษนักพรตเฒ่าตัวปัญหา ถ้าหากนักพรตเฒ่าอยู่ที่นี่ มีเจ้าลิงคอยช่วยเหลือ แผลของตัวเขาเองก็จะฟื้นฟูเร็วยิ่งขึ้น
ยาทาของชายชราได้ผลดีจริงๆ ตอนนี้รู้สึกเย็นตรงปากแผลเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับโคลนของเจ้าลิง ยังต่างกันไม่น้อย
ลมหายใจของหมอหลินเริ่มสม่ำเสมอ แต่ไม่รู้ว่านอนหลับหรือยัง
แต่ไม่ช้าเสียงจากห้องข้างๆ ก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงของการละเล่นในวงสุรา เสียงคนคุยโวขี้โม้ กระทั่งยังมีผู้ชายจีบปากจีบคอร้องอุปรากรหวงเหมย ความรู้สึกเช่นนี้ เหมือนมีคนวางโทรทัศน์สิบเครื่องเอาไว้ที่ห้องข้างๆ แล้วเปิดรายการที่ไม่เหมือนกัน
โจวเจ๋อเห็นหมอหลินที่อยู่อีกด้านนอนตัวเกร็ง ใช้มือข้างหนึ่งป้องหูของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
เธอไม่ได้นอนหลับ การมีเพื่อนบ้านประเภทนั้นแล้วต้องนอนหลับในเวลาเดียวกัน สำหรับเธอแล้วเป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ
โจวเจ๋อใช้มุมโทรศัพท์เคาะแผ่นไม้ที่หัวเตียงแล้วพูดดุว่า “ดึกแล้ว มีมารยาทหน่อย รบกวนคนอื่นพักผ่อน”
หลังจากโจวเจ๋อตะโกนออกไปหนึ่งประโยค ทางนั้นจึงหยุดทันที พากันเงียบกริบ
จากนั้นโจวเจ๋อจึงเล่นโทรศัพท์ต่อ และไม่รู้ว่าเล่นไปนานเท่าไร อย่างไรก็ตามโทรศัพท์ถูกชาร์จแบตเตอรี่ตลอด จึงไม่กลัวแบตเตอรี่หมด เมื่อถึงเวลาประมาณตีหนึ่งตีสอง โจวเจ๋อกลับทนไม่ไหวแล้ว ความจริงนั้นเขาอยากไปตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว แต่ทนมาจนถึงป่านนี้
เขาเห็นหมอหลินยังคงนอนตะแคงอยู่ข้างกาย จึงยื่นมือยันขอบเตียงเพื่อให้ตัวเองลุกขึ้นมา ทว่าแผลตามร่างกายของเขามันหนักมากจริงๆ โจวเจ๋อจึงยันตัวเองไม่ไหว ได้แต่ร้อง ‘ซี๊ด’ ด้วยความเจ็บปวดแล้วนอนลงไป
หมอหลินหันตัวมา มองไปทางโจวเจ๋อ แล้วถามโดยตรง “อยากไปเข้าห้องน้ำเหรอ”
โจวเจ๋อพยักหน้า
หมอหลินจึงประคองโจวเจ๋อลงจากเตียง แล้วเดินออกไปนอกห้องด้วยกัน
ห้องภายในเรือนสี่ประสานไม่มีห้องน้ำในตัว แต่มีห้องน้ำอยู่ในแนวทแยงมุมฝั่งตรงข้าม เป็นห้องเดี่ยวขนาดเล็ก แบบห้องน้ำตามชนบท มีคานไม้อยู่ด้านบนสะดวกให้คนนั่งลงไป ด้านล่างเป็นหลุมหรือถังขนาดใหญ่
อันที่จริงชายชราคนนี้ดูแล้วไม่ได้ขาดเงิน เงินเบี้ยเลี้ยงทุกเดือนคาดว่าไม่น่าจะน้อย อีกทั้งหมอหลินยังถูกชายชราเชิญให้ไปชมห้องเก็บของสะสมของเขา ข้างในนั้นมีของสะสมที่ดีอยู่ไม่น้อย หากหยิบออกไปขายข้างนอกสักหนึ่งหรือสองชิ้นสามารถซื้อห้องชุดหนึ่งห้องได้สบาย
โจวเจ๋อใช้มือข้างหนึ่งประคองกำแพง แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งเตรียมปลดเข็มขัด หมอหลินจึงยื่นมือช่วยปลดเข็มขัดให้โจวเจ๋อโดยตรง
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้โจวเจ๋อคาดไม่ถึง หมอหลินในตอนนี้เหมือนกับภรรยาที่คอยดูแลสามีตอนไม่สบาย ทั้งหมดล้วนทำอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีความอิดออดเลยสักนิด
และแล้วในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงที่ไม่เป็นมิตรดังมา
“ต้องการให้ช่วยไหม” เป็นเสียงของชายชรา ชายชราลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำตอนดึก
หมอหลินเพิ่งจะนั่งลงยองๆ ช่วยปลดเข็มขัดให้โจวเจ๋อ เมื่อได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้า มองไปทางโจวเจ๋อ
โจวเจ๋ออยากจะตะโกนว่า ‘ทำต่อ’ ‘อย่าหยุด’ แต่ก็ยังกัดฟันแสร้งพูดอย่างสงบว่า “ให้เขามาทำก็ได้”
หมอหลินเป็นห่วงเล็กน้อย มองไปทางโจวเจ๋อ
“เขาคงไม่ผลักผมลงไปในหลุมอึหรอกมั้ง” โจวเจ๋อหัวเราะ “ผมรู้อยู่แก่ใจ”
หมอหลินพยักหน้า เดินออกมาจากห้องน้ำ แล้วชายชราก็เดินเข้าไป
“บังเอิญจริงๆ คนเราอายุมากแล้ว ตอนกลางคืนนอนไม่ค่อยหลับ ชอบตื่นมากลางดึก ไอ้นั่นก็มีปัญหา สู้คนหนุ่มแบบพวกคุณไม่ได้ ชอบฉี่บ่อยๆ บ่อยจนกลั้นฉี่ไม่ไหว”
ภายใต้การช่วยเหลือของชายชรา โจวเจ๋อจึงฉี่เสร็จเรียบร้อย ชายชราใช้แขนจับโจวเจ๋อเอาไว้แล้วหันหลังให้เขาจากนั้นโจวเจ๋อจึงสามารถปล่อยแขนทั้งสองข้างเพื่อเปิดก๊อกน้ำของตัวเองได้สะดวก และสามารถหลีกเลี่ยงความเคอะเขินได้เช่นกัน
ชายชราประคองโจวเจ๋อออกมาจากห้องน้ำ หมอหลินรออยู่ข้างนอกเพื่อรอรับโจวเจ๋อ
โจวเจ๋อส่ายหน้า “คุณไปพักผ่อนเถอะครับ ผมจะไปคุยเล่นที่ห้องของคุณตา”
ชายชราได้ยินดังนั้นจึงตกตะลึง แต่ก็ยังพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ได้เลย”
ชายชราคนนี้คล้ายกับนักพรตเฒ่า มีภาษาถิ่นที่แตกต่างกัน นักพรตเฒ่าเคยเร่ร่อนไปทั่วสารทิศในประเทศเมื่อวัยเด็ก คาดว่าชายชราก็น่าจะใช่เหมือนกัน ออกไปรบกับกองทัพตั้งแต่เด็ก ดังนั้นสำเนียงจึงดูแปร่งๆ ไปบ้าง
เมื่อเข้าไปในห้องของชายชรา ห้องของเขาเล็กมาก เนื่องจากมีผ้าม่านสีดำผืนใหญ่กั้นห้องนี้เป็นสองฝั่ง
โจวเจ๋อเห็นเตียงหนึ่งเตียงกับโต๊ะน้ำชาตัวหนึ่งของชายชรา และที่นี่ก็วางของได้แค่นี้เท่านั้น
ชายชราพาโจวเจ๋อไปนั่งบนเตียง แล้วชงชาเย็นๆ หนึ่งกามาให้โจวเจ๋อ
“เปิดผ้าม่านให้ผมดูหน่อยครับ” โจวเจ๋อเอ่ย
“ไม่มีอะไรน่าดู ดึกแล้วไม่เหมาะที่จะดูของพวกนี้”
“ผมอยากดูครับ” โจวเจ๋อยืนกราน
“ได้ นายอยากดูฉันก็จะให้นายดู จริงๆ แล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง”
ชายชราก็รู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน เขาลุกขึ้นเดินไปข้างๆ ผ้าม่าน จากนั้นใช้แรงเปิดผ้าม่านออก
ผ้าม่านถูกเปิดออก เผยให้เห็นแท่นสูงติดกันหกชั้น และบนแท่นสูงนั้นมีป้ายวิญญาณวางอยู่เต็มไปหมด
ชั้นวางด้านล่างยังมีโต๊ะตัวหนึ่ง บนนั้นวางเหล้าเหลือง เนื้อแดดเดียว และของเซ่นไหว้อื่นๆ กับเทียนสองเล่มที่กำลังถูกเผาด้วยไฟอยู่ตรงนั้น
“คึกคักจริงๆ” โจวเจ๋อพูด
ชายชราดีใจมาก ถูมือไปมาด้วยความตื่นเต้น แล้วพูดว่า “ฉันก็ไม่รู้ทำไม พอเจอนายแล้วรู้สึกสบายตาจริงๆ”
อันนี้วันนี้คุณพูดหลายรอบแล้วครับ
“จึงอยากให้นายมานั่งที่บ้านของฉัน มาพักด้วยกัน”
ชายชรายกเหล้าเหลืองที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา แล้วดื่มหนึ่งที จากนั้นเดาะปากเสียงดัง รู้สึกดีใจมากยิ่งขึ้น จากนั้นใช้นิ้วมือวางไปที่ป้ายวิญญาณแล้วพูดว่า
“มา ฉันจะแนะนำให้นายรู้จัก นี่คือหัวหน้าเฉินของพวกเรา ตอนนั้นฉันยังเด็กมาก จึงรู้แค่ทุกคนเรียกเขาว่าหัวหน้าเฉิน แต่ไม่รู้ชื่อเต็มของเขา พลีชีพไปเมื่อปีสี่ห้า ถูกญี่ปุ่นระเบิดภูเขา หาศพไม่ครบทั้งตัว น่าเสียดาย ปีนั้นที่พวกญี่ปุ่นยอมจำนน เขาเลยไม่เห็น
นี่คือหวังโก่วจื่อ จ้าวซานฉวน อู่หวาจื่อ อยู่กองทัพเดียวกันกับฉัน พลีชีพตอนที่เข้าไปในภูเขาต้าเปี๋ย ทีมของพวกเรารับผิดชอบโจมตีด้านหลัง
นี่คือโจวโจว ซุนเต๋อฉาย ฉินเหลียงโหย่ว พลีชีพตอนต่อสู้ที่ไหวอัน การต่อสู้ครั้งนั้น จุ๊ๆ ต่อสู้กันดุเดือดมาก
นี่คือจ้าวเผิง ซุนจื้อกัง ตี๋ต้าจ้วง เก๋อซู่เฟิง…พวกเขาพลีชีพที่เกาหลีเหนือ ระเบิดนาปาล์มของอเมริการู้จักไหม ตอนนั้นฉันไปตามหาพวกเขา พวกเขาถูกเผาจนสุกแล้ว แม่งเอ๊ย ขนาดตอนนี้ฉันยังจำกลิ่นของเนื้อคนที่ถูกเผาจนสุกได้ ทำเอาฉันไม่กล้ากินเนื้อเป็นสิบปี แน่นอนว่า ตอนนั้นอยากกินเนื้อก็ไม่ง่าย นี่คือจูโฮ่วฉวน นี่คือ…”
ชายชราพูดชื่อคนหลายคนจบในรวดเดียว รวมทั้งคนพวกนี้เสียชีวิตที่ไหน ตอนนั้นเขาอยู่กับกองไหนหรืออยู่กับหัวหน้าคนไหน ฯลฯ เขาพูดได้ละเอียดมาก ซึ่งหมายความว่าข้อมูลของเพื่อนร่วมรบที่ตายไปแล้ว เขายังจำฝังใจมาตลอดไม่เคยลืมเลือน
โจวเจ๋อที่นั่งอยู่ข้างเตียงพยักหน้าไม่หยุด รู้สึกอายเล็กน้อย เพราะตอนนี้ตัวเขามีแต่แผลเลยลุกไม่ขึ้น
อันที่จริงโจวเจ๋อก็พอมองออกว่า ชายชรามองไม่เห็น เขาไม่เห็นว่าในห้องนี้มีคนยืนอยู่เต็มไปหมด
ทุกคนนั่งอยู่บนพื้น หรือไม่ก็ยืนพิงผนัง หรือไม่ก็นั่งอยู่ข้างโต๊ะเซ่นไหว้ บ้างก็แคะหู บ้างก็กำลังดูหนังสือ หรือไม่ก็นั่งสัปหงก
ตอนที่ชายชราแนะนำชื่อของพวกเขา คนนั้นจะเงยหน้าขึ้นมา แล้วมองโจวเจ๋อหนึ่งที จากนั้นก็ยิ้มอย่างซื่อๆ ถือว่าเจอหน้ากันรู้จักกันแล้ว
โจวเจ๋อก็จะยิ้มตอบ พร้อมกับพยักหน้าให้
เมื่อชายชราแนะนำเสร็จแล้ว เขารู้สึกคอแห้งเล็กน้อย จึงหยิบเหล้าเหลืองบนโต๊ะขึ้นมาแล้วดื่มหนึ่งที
“สบายใจจริงๆ เป็นยังไง พ่อหนุ่ม ตกใจหรือเปล่า ฉันบอกนายแล้ว แค่กองทัพของพวกเรา ต่อให้เป็นยมทูต เขาก็ไม่กล้าเข้ามาในบ้านหลังนี้!”
“…” โจวเจ๋อ
ชายชราหายใจยาวด้วยความโล่งอก แล้วถอนหายใจพูดว่า “พ่อหนุ่ม ฉันรู้สึกถูกชะตากับนายจริงๆ!”
“…” โจวเจ๋อ
“พูดไปก็ไม่กลัวนายขำหรอก ก็เหมือนกับที่ฉันพูดเมื่อตอนกลางวัน ตอนนั้นฉันออกรบไม่เคยกลัวเลย โจมตีก็อยู่แถวหน้าตลอด แต่ฉันกลับไม่ตาย แต่สหายร่วมรบที่อยู่ข้างกายกลับล้มไปทีละคน บางครั้งตอนที่รบ ทั้งกองทัพเหลือฉันแค่คนเดียว ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงไม่ตาย และมีชีวิตมาจนถึงตอนนี้ แถมยังใช้ชีวิตดีมาก แค่เอาของเก่าออกมาขายก็มีเงินแล้ว”
“ดวงเศรษฐี” โจวเจ๋อกล่าว
นี่เป็นดวงเศรษฐีจริงๆ ถ้าหากชายชราไม่ได้เป็นทหาร แต่ไปทำธุรกิจหรือทำอย่างอื่น ก็สามารถรวยขึ้นพรวดพราด
“ฮิๆ ช่างแม่งเถอะดวงเศรษฐีอะไรนั่น ฉันพอจะเข้าใจแล้ว สหายร่วมรบพลีชีพไปทีละคน แต่ฉันไม่ตาย เพราะสวรรค์อยากให้ฉันมีชีวิตอยู่ต่อ ให้ฉันสร้างบ้านให้พวกเขา หลังจากที่ทุกคนเสียชีวิตแล้ว จะได้มีสถานที่เอาไว้รวมตัวกัน เมื่อก่อนซื้อเหล้ากินไม่ได้ ซื้อเนื้อกินไม่ไหว ตอนนี้ฐานะดีขึ้นแล้ว มีเนื้อกิน มีเหล้าดื่ม สามารถนอนหลับปุ๋ยโดยไม่ต้องกลัวว่าวันรุ่งขึ้นต้องเดินทัพ ฉันมีชีวิตอยู่ ก็เพื่อเหตุนี้”
โจวเจ๋อมองชายชราแต่ไม่พูดอะไร
โจวเจ๋อมองคนพวกนั้นที่อยู่ในนี้เต็มไปหมด พูดจริงๆ นะ นี่เป็นครั้งแรกที่เถ้าแก่โจวมองผีพวกนี้โดยไม่มีสายตาของคนที่อยากทำผลงานเลยสักนิด
“ฉันก็ไม่กลัวว่านายจะหัวเราะนะ สองสามปีที่ผ่านมาฉันอายุมากแล้ว นอนหลับก็ไม่ค่อยสนิท ดังนั้นก่อนนอนทุกคืน ก็จะดื่มเหล้าเหลืองนิดหน่อย เฮ้ มันได้ผลจริงๆ นะ ทุกคืนหลังจากนอนหลับแล้ว ฉันมักจะฝันเห็นพวกสหายร่วมรบในอดีต ทุกคนนั่งล้อมโต๊ะด้วยกัน ดื่มเหล้ากินเนื้อกันอย่างอร่อย มีความสุขมากอย่าบอกใคร เหมือนกับว่าพวกเขาอยู่ในบ้านของฉันจริงๆ!”
…………………………………………………………………………