ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนพิเศษ โลกใบนั้น (2)
เมื่อซูหว่านกลับมาถึงวิลล่าตระกูลซู ทั้งซูฉี่เฉียวและฉินซือหย่งต่างก็ไม่อยู่บ้าน
วิลล่าว่างเปล่า เงียบสงัดเหมือนเช่นเคย
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูกลับมาแล้ว”
ป้าจางคนรับใช้ในวิลล่ายิ้มน้อยๆ พร้อมกับรีบเดินออกมายังหน้าประตูและช่วยซูหว่านถือกระเป๋าของเธอ “คุณหนูใหญ่ คุณผู้ชายหลีเชิญครูสอนภาษาเยอรมันคนใหม่มาให้คุณหนูแล้วนะคะ ตอนนี้ทั้งสองคนอยู่ในห้องหนังสือค่ะ”
“หลีเฝ่ยมาแล้วเหรอ”
เมื่อได้ฟังคำพูโของป้าจาง แววตาเย็นชาของซูหว่านก็วาบประกายสายหนึ่งขึ้นมาทันที
ตระกูลหลีกับตระกูลฉินสนิทชิดเชื้อกันมาหลายชั่วอายุคน หลีเฝ่ยกับซูหว่านเองก็เติบโตมาด้วยกัน ในแวดวงสังคมของเมืองอวิ๋น หลีเฝ่ยนับว่าเป็นสุภาพบุรุษสูงศักดิ์ที่มีชื่อเสียงมาก เขาไม่เพียงแต่รูปร่างหน้าตาดี อีกทั้งยังเป็นคนอบอุ่นอ่อนโยนและโดดเด่นสง่างามมาก
ซูหว่านกับหลีเฝ่ยนับว่าเป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ด้วยกัน หลีเฝ่ยเองก็เป็นเพื่อนหนึ่งในไม่มีกี่คนของเธอ
“ฉันจะขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วค่อยไปหาเขาที่ห้องหนังสือ”
ซูหว่านกลับขึ้นไปบนห้องของตัวเองเปลี่ยนเป็นชุดเดรสยาวหลวมโพรก เมื่อส่องกระจกแล้วสังเกตเห็นรอยคราบเลือดแห้งที่มุมปากของตัวเอง ซูหว่านถึงกับนิ่งอึ้ง นึกถึงคุณลุงแปลกหน้าคนนั้นบนถนน และนึกถึงมือของเขาที่เอื้อมมาเช็ดปากของตัวเอง
ถุย ถุยถุย
ซูหว่านรีบไปล้างหน้าทันที ว่าแล้ว คนรอบข้างของซูโหยวไม่มีคนดีสักคนเลยจริงๆ
เมื่อซูหว่านเก็บข้าวของตัวเองเรียบร้อย ในตอนที่มาถึงห้องหนังสือชั้นสองก็ได้ยินเสียงหัวเราะพูดคุยกันภายในห้องดังออกมา
หือ
น้อยมากที่หลีเฝ่ยจะอารมณ์ดีขนาดนี้ ดูท่าว่าครูสอนภาษาเยอรมันคนนี้จะถูกใจเขามากนะ
“ฉันกลับมาแล้วค่ะ”
ซูหว่านเปิดประตูใหญ่ออก ผู้ชายสองคนในห้องที่กำลังหัวเราะพูดคุยกันก็หยุดเงียบ แล้วหันมามองที่ประตูพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“กลับมาแล้วเหรอ”
หลีเฝ่ยส่งยิ้มน้อยๆ ให้ซูหว่าน “มามามา มาดูครูคนใหม่ที่ฉันเชิญมาให้เธอ เขาชื่อว่าสวีเช่อ”
สวีเช่อ?
ซูหว่านตะลึง ขณะมองไปยังผู้ชายที่อยู่ด้านข้างหลีเฝ่ยก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
หากพูดว่าหลีเฝ่ยเป็นคุณชายที่หล่ออันดับต้นๆ แล้ว สวีเช่อที่อยู่ตรงหน้าคนนี้นั้นกลับดูหล่อราวกับเทพบุตรในภาพวาดพู่กันจีน
สามารถเสมือนดั่งเทพเซียนผู้ละแล้วซึ่งทางโลกได้ขนาดนี้ สง่างามดั่งหยกได้ถึงขนาดนี้ นี่ทำให้ซูหว่านไม่กล้ามองเขาตรงๆ เลยจริงๆ
“ครูสวีสวัสดีค่ะ”
เธอดึงสติกลับมาแล้วส่งยิ้มให้สวีเช่อ คนที่สามารถเป็นเพื่อนกับหลีเฝ่ยได้ คิดว่าก็น่าจะเป็นที่อ่อนโยนเหมือนกัน
“สวัสดีครับ”
สวีเช่อมองซูหว่านที่ยังคงอ่อนเยาว์ตรงหน้า มุมปากอดไม่ได้ที่จะยกโค้งน้อยๆ ขึ้นมา…
ในตอนที่เขากับเธอเจอกันครั้งแรก
เธอเป็นตัวรับกระสุนที่มีแต่ความเคีนดแค้นอยู่เต็มอก และเป็นคนที่เข้าต้องเข้ามาช่วยเหลือในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจ
โลกใบนั้น สวีเช่อก็ใช้สถานะตัวตนของหลีเฝ่ย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นงานอดิเรกหรือความเคยชินของหลีเฝ่ยเขาค่อนข้างรู้ดี ครั้งนี้เงื่อนไขก็เป็นไปอย่างเรียบง่าย สวีเว่อจึงกลายเป็นเพื่อนสนิทกับหลีเฝ่ยได้อย่างรวดเร็ว และสามารถเข้ามาที่บ้านของตระกูลซูได้อย่างง่ายดาย
เวลานี้ ซูหว่านเพิ่งจะอายุได้สิบหกปี
ซูโหยวก็เพิ่งกลับมาบ้านตระกูลซู
ทุกอย่าง ล้วนยังไม่เริ่มต้น ทุกอย่างยังทันเวลา…
การพบกันของทั้งสองนั้นเป็นไปอย่างมีความสุข เพราะหลีเฝ่ยก็อยู่ ดังนั้นสวีเช่อจึงไม่ได้มีแพลนที่จะสอนซูหว่านในวันนี้ ทั้งสามคนคุยกันอยู่ที่ห้องหนังสือสักพัก พอถึงเวลามื้อค่ำ หลีเฝ่ยกับสวีเช่อต่างก็อยู่ทานข้าวเป็นเพื่อนซูหว่าน
ในที่สุดโต๊ะอาหารตัวยาวก็มีคนแล้ว นั่นทำให้ซูหว่านที่สีหน้าเย็นชาไม่ค่อยยิ้มเผยรอยยิ้มออกมาบางๆ
เรื่องของซูโหยวกับสิงอี้เมื่อตอนกลางวัน ก็ถูกเธอเก็บไว้ในส่วนลึกของหัวใจชั่วคราว…
“นี่ คุณอย่าเพิ่งไป รอฉันก่อน!”
เวลานี้ บนถนนที่มีไฟส่องสว่าง ซูโหยววิ่งตามซูรุ่ยไปอย่างรีบร้อน
แม่ทัพซูยากที่จะอดทนได้จึงหยุดฝีเท้าลง แล้วหันกลับไปมองใบหน้าคุ้นเคยด้านหลังของตัวเอง “คุณมีธุระอะไรเหรอ”
“ฉัน…ฉัน…”
ซูโหยวลังเลเล็กน้อย กะพริบตาแล้วมองซูรุ่ยอย่างจริงจัง “ฉันอยาก ฉันอยากจะขอบคุณคุณค่ะ! ขอบคุณที่คุณช่วยฉันไว้ค่ะ!”
น้องสาวคุณสิ คุณตามมาทั้งบ่ายก็เพื่อเรื่องนี้เหรอ คุณบ้าไปแล้วหรือเปล่า
ถ้าฉันรู้ว่าคุณเป็นพี่สาวของซูหว่าน ฉันต้องฆ่าคุณตายในทันทีแน่นอน
ซูรุ่ยมองซูโหยวด้วยสีหน้าเย็นชา “คุณพูดจบแล้วหรือยัง พูดจบแล้วก็ไสหัวไปได้แล้ว!”
เห็นซูรุ่ยแสดงท่าทางไม่ดีกับตัวเอง ซูโหยวถึงกับตะลึง “คุณยังโกรธเสี่ยวหว่านอยู่เหรอ ก่อนหน้านี้คุณรู้จักเธอได้ยังไง เธอเป็นน้องสาวของฉัน ถึงน้องสาวฉันจะเป็นคนโหดเหี้ยมแต่ความจริงแล้วเธอเป็นเด็กดีนะ ถ้าคุณ…”
“หยุดหยุดหยุด”
ซูรุ่ยอดไม่ได้ที่จะพูดแทรกบทพูดยืดยาวซูโหยว “ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีใครรู้จักเธอดีกว่าฉันแล้ว ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ฉันอยากจะหาที่พักผ่อนแล้ว คุณเข้าใจไหม”
“เอ่อ”
เมื่อซูโหยวได้ฟังซูรุ่ยพูดจึงกะพริบตาด้วยความไม่เข้าใจ “แต่ถ้าเดินตรงไปจะเป็นชานเมืองไม่มีโรงแรมที่พักแล้วนะ”
โรงแรมอะไรกัน!
เวลานี้แม่ทัพซูทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีเงินสักบาท วันนี้เขาเหนื่อยมาก ไม่อยากไปรบกวนสวีเช่อแล้ว ดังนั้นจึงวางแผนที่จะนอนพักข้างนอกสักคืน
อย่างไรเขาก็มีพลังภายใน ไปนั่งสมาธิเข้าฌานอยู่ที่ไหนสักที่ก็สามารถผ่านพ้นค่ำคืนไปได้
“ผมไม่มีเงินพักโรงแรมไม่ได้”
ขณะพูด ซูรุ่ยก็หันหลังกำลังจะเดินจากไป
เมื่อได้ยินซูรุ่ยพูดแบบนั้น ซูโหยวก็อดสงสารไม่ได้ ดึงชายเสื้อของเขาไว้ “คุณอย่าเพิ่งไปค่ะ! คือว่า…บ้านของฉันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ที่วิลล่ายังมีห้องพักรับรองว่างอยู่หลายห้อง คุณไปพักสักคืนเถอะ”
ใครจะไปบ้านของเธอกัน
ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอเห็นผู้ชายแปลกหน้าไม่รู้แม้แต่ชื่อยังกล้าพากลับไปบ้าน สมองของเธอพิการไปแล้วหรือไงสาวน้อย
เอ๊ะ
ไม่ถูก
จะว่าไปแล้วบ้านของซูโหยว ก็คือบ้านของซูหว่านไม่ใช่เหรอ
“บ้านของคุณอยู่ใกล้แถวนี้จริงเหรอ น้องสาวของคุณก็อยู่?”
ซูรุ่ยหันหน้าไปมองซูโหยว แววตาเป็นประกาย
“คือ…เสี่ยวหว่านก็อยู่ แต่คุณวางใจได้ เธอไม่กล้าไล่คุณหรอก จริงๆ นะ ความจริงแล้วเธอใจดีมาก!”
นึกว่าซูรุ่ยกำลังเป็นกังวลว่าตัวเองจะถูกซูหว่านไล่ออกจากบ้าน ซูโหยวจึงรีบพูดอธิบาย
“ได้ อย่างนั้นฉันจะพยายามฝืนไปพักสักคืนหนึ่ง”
ซูรุ่ยแสดงสีหน้าเบื่อหน่าย แต่ความจริงแล้วในใจดีใจมาก...
คุณหนูใหญ่ซูคุณทำได้ดีมาก เห็นแก่ที่เธอช่วยฉันขนาดนี้ ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ฆ่าเธอ
หากซูโหยวรู้ความในใจของแม่ทัพซูในนตอนนี้ ไม่รู้ว่าเธอจะรู้สึกอย่างไร
จะว่าไปแล้ว สวีเช่อก็ไม่ได้แย่นัก เขาช่วยตั้งค่าให้ซูรุ่ยมี ‘จุดเริ่มต้น’ ที่ไม่ไกลจากวิลล่าตระกูลซูมาก ซึ่งที่นั่นเป็นบ้านที่ซูหว่านจำเป็นต้องกลับ
“ใช่แล้ว ฉันยังไม่รู้เลยว่าคุณชื่ออะไร”
ไม่นานก็มาถึงหน้าประตูใหญ่ของวิลล่าตระกูลซู สุดท้ายซูโหยวก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่รู้ชื่อของอีกฝ่ายเลย
“ผมชื่อซูรุ่ย”
ซูรุ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาประโยคหนึ่ง
“คุณก็แซ่ซูเหรอ” เมื่อได้ยินซูรุ่ยตอบ ซูโหยวดูเหมือนจะดีใจมาก “บังเอิญจริงๆ ฉันก็แซ่ซู ฉันชื่อซูโหยว”
“ผมรู้แล้ว”
ซูโหยวชะงักงัน…
มองผู้ชายที่อยู่ข้างๆ ตัวเองอย่างระมัดระวัง เห็นสีหน้าท่าทางของเขายังเย็นชา ซูโหยวก็อดไม่ได้ที่จะเบ้ปาก
คนคนนี้ช่างประหลาดจริงๆ
เมื่อทั้งสองคนมาถึงบ้านตระกูลซูก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มกว่าแล้ว เวลานี้มีเสียงเปียโนอันไพเราะดังมาจากห้องเปียโนเป็นระยะๆ
ซูรุ่ยยืนอยู่ในห้องรับแขกยืนฟังอย่างเหม่อลอย
“น้องสาวกำลังซ้อมเปียโน เธอเป็นอัจฉริยะของตระกูลซูเราเลยนะ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ซูโหยวก็เผยแววตาอิจฉาออกมาเล็กน้อย ซูหว่านที่เติบโตอยู่บ้านตระกูลซูตั้งแต่เด็กมีความสามารถทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็สามารถทำออกมาได้เป็นอย่างดี เมื่อเทียบกับเธอนั้น ถือว่าเธอยังห่างไกลกว่ามาก
สาวน้อยอัจฉริยะแห่งตระกูลซู
เมื่อได้ฟังคำพูดของซูโหยว ซูรุ่ยก็อดยิ้มไม่ได้ รอยยิ้มนั้นแฝงด้วยความประชดประชัน…
โศกนาฏกรรมที่ถูกคนกำหนดไว้แล้ว
โชคชะตาที่ตัดสินเอาไว้ก่อนแล้ว
ต่อให้มีความอัจฉริยะมากกว่านี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร
เสี่ยวหว่าน ผมไม่รู้ว่าในโลกใบนั้นคุณเจอกับอะไรกันแน่ แต่อยู่ที่นี่ แม้จะเป็นเพียงภาพจำลองที่สร้างขึ้นมา ผมก็จะช่วยคุณเอง
ผมไม่มีทางปล่อยให้คุณร้องไห้
และไม่มีทางปล่อยให้ใครหน้าไหนมาทำให้คุณร้องไห้แน่นอน