ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 4 บททดสอบบำเพ็ญเพียร (4)
วัชพืชและดอกไม้พลันเหี่ยวเฉาตายในทันที ซูหว่านเพิ่งจะพาดอกเหมยหนีไปได้ไม่ไกล หนทางข้างหน้านางก็ถูกสีดำแผดเผาขวางกั้น
ถ้าหากว่ามองลงมาจากท้องฟ้าในเวลานี้ ก็จะสามารถมองเห็นสีดำไหม้เกรียมที่กวาดล้างทุกสิ่ง ทุกอย่างได้แผ่ซ่านจากเท้าของคุณชายมั่วไปถึงวงกลมสีดำล้อมรอบเมืองทั้งสองด้าน และขวางทางซูหว่านเข้าพอดี นางและดอกเหมยจึงติดอยู่ในวงกลมสีดำที่ไหม้เกรียมนั้น
และพื้นที่สีดำแปลกประหลาดนั้นก็ถูกผสมด้วยหมอกพิษน่าสยดสยอง ในขณะนี้เอง หมอกสีดำก็ค่อยๆกระจายไปทั่วทิศทาง
เป็นทักษะพิษที่ดีนัก!
ซูหว่านถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ในวินาทีถัดมา ร่างงูของนางก็บินออกไปอย่างควบคุมไม่ได้ และทั้งร่างก็ถูกบีบอยู่ในมือของใครบางคน
ซูหว่านจ้องมองด้วยดวงตาสีแดงทั้งสองข้าง หันศีรษะไปพบกับดวงตาใสๆ ที่เปียกชื้น นัยน์ตาคู่นี้ไม่โศกเศร้า ไม่ยินดี ไม่มีความต้องการ เห็นได้ชัดว่ามันควรจะเป็นดวงตาคู่หนึ่งที่สว่างไสวด้วยสิ่งสกปรกบริสุทธิ์ แต่พวกมันกลับมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด
ดวงตาคู่นี้ ความรู้สึกเช่นนี้
ซูหว่านชะงักไปครู่หนึ่ง นางคุ้นเคยกับการแววตาที่ไร้ความปรารถนาเช่นนี้เหลือเกิน คล้ายคลึงกับคนคนนั้นมาก และยังมีอารมณ์อ่อนโยนเฉพาะตัวนี้อีก ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ซูหว่านเกลียดทั้งสิ้น
เกือบจะเป็นชั่วพริบตาเดียวที่วิญญาณสั่นสะท้าน ร่างกายของซูหว่านก็ตอบสนองก่อนที่สมองจะสั่งการออกไปแล้ว
นี่อาจเป็นสัญชาตญาณแรกของเดรัจฉานเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู
นางบิดตัวและใช้เขี้ยวที่มีพิษกัดลงไปบนแขนของคุณชายมั่วอย่างรุนแรง ในทันใดนั้น เสื้อผ้าสีขาวก็เปื้อนเลือด ดูงดงามเป็นพิเศษ
“หึ”
เมื่อมองดูเลือดที่แขนเสื้อ คุณชายมั่วก็ยิ้มอย่างเฉยเมยด้วยท่าทางสุภาพอ่อนโยน “เจ้าตัวเล็ก เลือดของข้า อร่อยหรือไม่”
อร่อย…ก็บ้าแล้ว!
ซูหว่านรู้สึกเพียงว่าจิตสำนึกของนางตกอยู่ในภวังค์ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของคุณชายมั่วผู้อยู่ตรงหน้าค่อยๆเลือนรางไป
“งูน้อย! เจ้างูน้อย อย่าหลับนะ!”
ในหูได้ยินเพียงเสียงที่เป็นกังวลและอ่อนเยาว์ของดอกเหมย “โธ่เอ๊ย ข้าลืมบอกเจ้าไปเลย เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรพิษ เลือดของเขามีพิษมาก!”
ซูหว่าน…
ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ล่ะ
อะไรที่เรียกว่ากวนประสาทเพื่อนร่วมทีมนะ ก็แบบนี้ไงล่ะ…
เมื่อเห็นงูสีไผ่เขียวมรกตตัวนั้นโอบรัดรอบแขนตนอย่างแผ่วเบา ดวงตาของคุณชายมั่วก็เป็นประกายขึ้น เขาจ้องมองซูหว่านอย่างประหลาดใจอยู่นาน
“โถ่ๆ เจ้างูน้อยตายแล้ว! โถ่ๆ น่าสงสาร โถ่ๆ ดอกเหมยจะไม่มีเพื่อนอีกแล้ว!”
จนเมื่อได้ยินเสียงอ่อนโยนแสนไพเราะดังเข้ามาในหู คุณชายมั่วก็ได้สติกลับมาในที่สุด เขายิ้มและมองขึ้นไปยังดอกเหมยสีแดงที่ยังคงอยู่บนหัวของงูตัวนั้น “ใครบอกว่านางตายแล้ว”
“อะไรนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของคุณชายมั่ว ดอกเหมยก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที ในขณะนี้ กลีบดอกไม้สีแดงนั้นสั่นสะท้านไม่หยุด “นางยังไม่ตายหรือ ดีจังเลย!”
“พูดให้ถูกก็คือ นางเพียงแค่ยังไม่ตายชั่วคราวเท่านั้น หากข้าไม่ช่วยนาง หลังจากผ่านไปสิบสองชั่วยาม นางก็จะตาย!”
คุณชายมั่วกระซิบเบาๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง และท่าทางการแสดงออกของเขาก็ดูไม่ออกว่าเขากำลังพูดเรื่องสำคัญอย่างความเป็นความตายอยู่
“เจ้า…พวกมนุษย์ช่างน่ารังเกียจนัก!”
มีความโกรธปนอยู่ในน้ำเสียงของดอกเหมยเล็กน้อย จากนั้นน้ำเสียงของนางก็อ่อนลงอีกครั้ง “เช่นนั้นเจ้า เจ้าช่วยนางได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าเจ้า…ต้องการจับข้าหรอกหรือ เจ้าเอานางไปก็ไม่มีประโยชน์! นางเป็นงูพิษ เนื้อของนางไม่อร่อยหรอก!”
“หืม?”
เมื่อได้ยินคำพูดของดอกเหมยน้อย คุณชายมั่วก็เลิกคิ้วขึ้นและมองไปยังดอกไม้วิญญาณตัวน้อยตรงหน้าด้วยความสนใจ “อะแฮ่ม ที่จริงแล้วข้าก็กำลังคิดอยู่นะว่า ดีของงูไผ่เขียวยังใช้เป็นยาได้ และนางยังบำเพ็ญเพียรมาแล้วด้วย แถมยังเป็นหลอมปราณระดับห้าแล้วด้วยใช่ไหม เนื้อของงูวิญญาณตัวนี้เป็นของดีเลยนะ!”
“ฮือๆๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดของคุณชายมั่ว ดอกเหมยน้อยก็ร้องไห้โฮออกมาใหญ่โต “ขอร้องท่านแล้ว อย่ากินเจ้างูน้อยเลย อย่าคว้านเอาดีของนางเลย ข้า…ข้าจะช่วยท่านหางูตัวอื่นดีไหม”
“เอาอย่างนี้แล้วกัน”
เมื่อเห็นเจ้าดอกไม้วิญญาณตัวน้อยร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร ดวงตาของคุณชายมั่วที่อยู่ด้านข้างก็สว่างวาบขึ้น “พวกเจ้าทั้งสอง ข้าจะเลือกตัวหนึ่งไปทำยา เจ้าว่าจะเลือกอย่างไรดี”
“ข้า?”
ดอกเหมยน้อยหยุดร้องไห้ และกลีบดอกไม้ที่มีหยดน้ำยังคงสั่นสะท้าน “เช่นนั้น เช่นนั้นเจ้าก็…กินข้าเสียเถอะ เจ้างูน้อยฉลาดมาก นางเก่งมาก หากนางมีชีวิตอยู่นางจะต้องบำเพ็ญเพียรจนเป็นมนุษย์แล้วมาแก้แค้นให้ข้าได้แน่ ส่วนข้า…ข้าโง่อย่างนี้ ต่อให้มีอีกหมื่นปีก็คงไม่สามารถเป็นเซียนได้ และคงไม่มีทางได้เป็นมนุษย์”
ทั้งหมดนี้ ดอกเหมยน้อยต่างรู้ดี แม้กระทั่งซูหว่านเองตลอดสิบปีมานี้ก็ยังช่วยเตือนนางให้ฝึกฝนบำเพ็ญเพียร
ดอกเหมยน้อยยังไม่มีวิธีฝึกบำเพ็ญเพียรของตนเอง นับตั้งแต่นางเบิกสติตื่นปัญญา นางรู้ดีว่าตนเองต้องบำเพ็ญเพียร ต้องกลายเป็นเซียน แต่เหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้นั้น นางกลับจำอะไรไม่ได้เลย
นางคอยแต่คลำหาหนทางไม่หยุด ฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอยู่ตามลำพัง จนกระทั่งเมื่อสิบปีก่อนหน้านี้ นางก็ได้พบกับซูหว่าน
ยามเดือดร้อนเมื่อได้รับน้ำแห่งความช่วยเหลือเพียงน้อยนิดก็เปรียบราวกับเจอน้ำพุที่ต้องตอบแทน
อืม ถึงแม้ว่าเจ้าดอกเหมยน้อยจะไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงรู้ประโยคนี้ แต่ว่าหัวใจของนางก็บอกนางว่า นางต้องช่วยซูหว่าน ต้องช่วยชีวิตนางให้ได้ การมีชีวิตอยู่ของนางสำคัญกว่าชีวิตตนเองหลายเท่านัก ใช่แล้ว เป็นความรู้สึกเช่นนี้แหละ
“ยังเป็นเจ้าเด็กน้อยที่ช่างมีความรักและความห่วงใยเสียจริงนะ”
คุณชายมั่วยกยิ้ม เพียงโบกมือเบาๆ ก็ถือดอกเหมยน้อยอยู่บนฝ่ามือ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถแม้ว่ามันจะเหลือบ่ากว่าแรง ตอบตกลงคำขอร้องของเจ้าก็แล้วกัน”
ขณะที่พูด คุณชายมั่วก็ยกมือขึ้น ปล่อยให้ดอกเหมยน้อยตกลงบนไหล่ของตนเอง และเขาก็งอแขน โอบรอบร่างงูของซูหว่านเอาไว้ในอ้อมแขนของเขา
“กลับกันเถอะ”
เมื่อออกคำสั่งด้วยเสียงทุ้มต่ำ คุณชายมั่วก็หมุนกายและจากไปในทันทีพร้อมกับผู้ติดตามของเขา
หลังจากที่พวกเขาจากไปได้ไม่นาน เสือโคร่งรูปร่างสูงใหญ่ตัวหนึ่งและเสือดาวปราดเปรียวตัวหนึ่งก็วิ่งออกมาจากส่วนลึกของป่าอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
“มาช้าไปแล้ว!”
เสื้อดาวพูดเบาๆ และกลายร่างเป็นหญิงสาวรูปร่างเย้ายวนร้อนแรงทันที
“เป็นร่องรอยของคุณชายมั่ว”
เสือโคร่งที่อยู่ด้านข้างกลายร่างเป็นชายวัยกลางคนที่มีคิ้วหนาตาโต
“เขาพาเสี่ยวเหมยไปแล้ว”
น้ำเสียงของหญิงสาวค่อนข้างกังวลเล็กน้อย “ถ้าหากราชาปีศาจกลับมาถามเรื่องนี้ พวกเราจะอธิบายอย่างไรดีเล่า”
“พวกเราไล่ตามไปเถอะ! เจ้ากับข้าร่วมมือกันต้องต่อกรกับคุณชายมั่วนั้นได้แน่!”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะไล่ตามไป ทันใดนั้นก็มีลมกรรโชกแรง ร่างสูงโปร่งสีขาวราวกับหิมะพลันปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขาทั้งสอง
“ฝ่าบาท!”
เมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคย ทั้งสองก็คุกเข่าลงทันที และพูดด้วยความตื่นกลัวว่า “ฝ่าบาท เสี่ยวเหมยนาง…”
“ข้ารู้หมดแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องไล่ตามไป ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง กลับไปให้หมด!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองคนต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งที่ราชาปีศาจพูด ในที่สุดพวกเขาก็หันหลังกลับอย่างเชื่อฟัง แต่ราชาปีศาจไป๋เย่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองไปยังต้นเหมยที่เหี่ยวเฉาต้นนั้น
“ห้าพันปีแล้ว ในที่สุดก็รอมาจนถึงช่วงเวลานี้หรือ”
ไป๋เย่โบกมือ แล้วต้นเหมยที่เหี่ยวเฉานั้นก็กลายเป็นกองขี้เถ้าทันที
ห้าพันปี สำหรับไป๋เย่ที่มีอายุหมื่นกว่าปีก็นับว่าไม่สั้นเลย…
ห้าพันปีที่ยาวนาน กี่ทะเลที่ผันแปร กี่เยาว์วัยที่เปลี่ยนผ่านเป็นกระดูกที่แห้งกรัง
เจ้านายของข้า ภรรยาของข้า
พวกเจ้าจะตื่นขึ้นมาเมื่อใดกัน
เสี่ยวเหมยรอจนได้พบคนที่นางต้องรอแล้ว เช่นนั้น…ในไม่ช้าข้าก็รอจนได้พบพวกเจ้าแล้ว ใช่หรือไม่