ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 34 บททดสอบบำเพ็ญเพียร (34)
ในที่สุดเรื่องของพี่น้องโหวปิ่งเฉินก็คลี่คลายลงได้
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อีก ซูรุ่ยห้ามซูหว่านไม่ให้ออกไปเที่ยวข้างนอก และซูหว่านก็คอยอยู่ป่วนแค่ในห้องของซูรุ่ยทุกวัน ไม่ทันไรก็เข้าไปแกล้งเขาระหว่างการฝึกฝน
สำหรับการก่อความวุ่นวายของเจ้างูน้อยตัวนี้ ซูรุ่ยเองก็ค่อยๆ คุ้นชินกับมันแล้ว ภายในพริบตาเดียวก็มาถึงวันที่แปดเดือนเก้าแล้ว พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่โลกใบเล็กนั้นจะเปิดออกแล้ว
ในวันนี้จนถึงดึกดื่น ซูหว่านก็ยังคงอยู่ในห้องของซูรุ่ย
“คุณชายๆ ข้าเหนื่อยมากเลย ข้าไม่อยากกลับไปแล้ว ข้านอนเป็นเพื่อนท่านนะ”
นางกะพริบตาโตและมองเขาอย่างไร้เดียงสา
เอ่อ
ซูรุ่ยหันหน้าไปด้านข้างโดยไม่ส่งเสียงสักคำ เขาไม่มีทางยอมรับหรอกว่าตัวเองมีความรู้สึกต่อเจ้างูน้อยตัวนี้
“คุณชายๆ นอนด้วยกันเถอะ!”
ซูหว่านดึงแขนเสื้อของซูรุ่ยอย่างน่าสงสาร และมองเขาด้วยใบหน้าที่มีความหวัง “ข้านอนคนเดียวหนาวมากเลย ท่านก็รู้ว่างูเป็นสัตว์เลือดเย็น มันหนาวจริงๆ นะ”
“อะแฮ่ม”
ซูรุ่ยกระแอมไอ หูของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
หืม
ดูเหมือนซูหว่านจะเคยเห็นภาพแม่ทัพหนุ่มที่เรียบง่ายและป่าเถื่อนคนเดิมคนนั้นของราชวงค์ต้าซย่า
“คุณชาย”
นางหรี่ตาลง และร่างทั้งร่างของนางก็โอบร่างกายของซูรุ่ยเอาไว้แล้ว “คุณชาย ท่านเชื่อฟังข้าเถอะนะ!”
“เอาเถอะ เอาเถอะ”
ซูรุ่ยลืมตาขึ้นและมองไปที่ซูหว่าน ในความทรงจำของซูรุ่ย เขาไม่เคยนอนหลับกับผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลย แต่ว่า ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไร เขาจึงรู้สึกอย่างคลุมเครือว่าเขากับเจ้างูน้อยเหมือนจะเคยอยู่ใกล้ชิดกันอย่างมากมาก่อน กล่าวโดยสรุปคือความรู้สึกลึกลับมากเช่นนั้น ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีไฟลุกโชนอยู่ในหัวใจ
“จริงหรือ เช่นนั้นก็ดีแล้ว ท่านต้องรักและทะนุถนอมข้ามากๆ นะ!”
เมื่อเห็นซูรุ่ยรับปากแล้ว ซูหว่านก็กระโดดขึ้นไปบนเตียงด้วยรอยยิ้มทันที จากนั้นก็ม้วนตัวลงไปบนที่นอนโดยที่ไม่พูดซ้ำเป็นครั้งที่สอง
เมื่อเห็นเจ้างูเขียวตัวน้อยซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มและพันรอบตัวเขา ใบหน้าของแม่ทัพซูก็บิดเบี้ยวไปหมด…
ตกลงกันว่าจะนอนด้วยกันไม่ใช่เหรอ
“อย่าขยับ”
เมื่อรู้สึกได้ว่าร่างกายของซูรุ่ยแข็งทื่อ ซูหว่านจึงกะพริบตาสีแดง ถ่มน้ำลายออกมา และเลียไปบนใบหน้าของเขา “คุณชาย ท่านต้องระวังอิริยาบถและอย่าขยับด้วย แบบนี้จะทำให้ข้าอบอุ่นขึ้นได้ โธ่เอ้ย ร่างกายของท่านช่างร้อนจริงๆ ร้อนมากเลย”
ซูรุ่ย “…”
“เจ้า…”
ดวงตาที่เย็นชาของซูรุ่ยกำลังมีไฟปะทุขึ้น เจ้างูน้อยบนตัวของเขาม้วนตัวเข้าไปในอ้อมแขนอีกครั้ง “ตรงนี้สิสบายที่สุด แถมยังได้ยินเสียงหัวใจเต้นของท่านด้วย”
ซูหว่านพูดพลางหลับตาลง ฟังเสียงหัวใจเต้นของซูรุ่ย ครู่เดียวนางก็หลับสนิทไปอย่างสบายใจ แต่ซูหว่านที่หลับสนิทไปแล้วย่อมคืนร่างเป็นมนุษย์เหมือนเดิม และร่างของนางก็ขดอยู่ในอ้อมแขนของซูรุ่ย
ซูรุ่ยที่อยู่บนเตียงไม่ขยับเขยื้อน เขาฟังเสียงคนในอ้อมแขนหายใจ ดวงตาของซูรุ่ยมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง เขายกมือขึ้นเพื่อกอดคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาโดยไม่รู้ตัว แล้วหลับตาลงด้วยความสบายใจ…
วันที่เก้าเดือนเก้า วันที่ผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนนับไม่ถ้วนในแผ่นดินใหญ่ชางเย่ว์ต่างรอคอย
รุ่งอรุณของวันนี้ ทั่วทั้งเมืองสยากวงส่องแสงสว่างไสว สถานที่ที่โลกใบเล็กเปิดออกอยู่ด้านหน้าหุบเขาทางตอนเหนือของเมืองสยากวง
การเปิดครั้งนี้ต้องใช้ความร่วมมือของผู้อาวุโสสี่สิบเก้าคนจากสามสำนักใหญ่ชั้นหนึ่ง
ระยะเวลาในการเปิดเหมือนกับปีก่อนๆ ที่ผ่านมา เป็นระยะเวลาทั้งหมดสองเดือน
ซูรุ่ยกระทืบเท้าลงและพาซูหว่านไปยังสถานที่ที่ทุกคนจากหุบเขาสมุนไพรรวมตัวกัน
ซูหว่านในเวลานี้กลายร่างสู่ร่างเดิมอีกครั้ง ร่างงูสีเขียวทั้งร่างขดเข้าไปรอบร่างของซูรุ่ยอีกครั้ง เมื่อเห็นร่างของพวกเขา ทุกคนจากหุบเขาสมุนไพรก็ก้มหัวแสดงความเคารพต่อซูรุ่ย ก่อนจะเริ่มมีเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้น
ไม่นานจากนั้นผู้คนจากสำนักต่างๆ ก็เริ่มทยอยมาถึงทีละคน มองเห็นเยี่ยเฉิงและจื่อเย่ยืนอยู่ในค่ายของสำนักจื่อหยาง และยังมีตู๋กูชิงจิ่วยืนอยู่ในค่ายของสำนักเทียนอวิ๋น ซูรุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง
ยังมีอีกคนหนึ่ง
คนคนนั้นเป็นใครกันแน่ เขาซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางผู้คนที่นี่ในวันนี้หรือไม่ เพราะเหตุใดเขาจึงไม่รู้สึกถึงลมปราณของเขาเลย
ดวงตาของซูรุ่ยกวาดมองไปยังผู้คนที่อยู่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็หยุดที่ร่างของหญิงสาวชุดดำจากสำนักหยินกุ่ย
ลมปราณนี้คือ…
เมื่อรู้สึกถึงพลังจิตของซูรุ่ย หญิงสาวชุดดำที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ คนนั้น จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นมองซูรุ่ยอย่างเย็นชาทันที ซึ่งทำให้ขนอ่อนตามร่างกายของซูรุ่ยตั้งตรงขึ้นทันที และมีเหงื่อไหลออกมา
คนคนนี้คือ…
ซูรุ่ยถอนสายตาของตัวเองออกมา หวนนึกถึงลมปราณที่เขาคุ้นเคย
นี่คือเจ้าสำนักเซวียนหยวนแห่งสำนักหยินกุ่ย!
คิดไม่ถึงว่านางจะจำแลงร่างเป็นศิษย์ทั่วไปซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ แท้จริงแล้วนางมีจุดประสงค์อะไรกันแน่
นางจะเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจหรือเปล่า คำถามนี้แวบเข้ามาในหัวใจของซูรุ่ยและถูกเขาปฏิเสธโดยทันที เซวียนหยวนสือไม่มีทางเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจ เพราะดูจากความสามารถของนางแล้ว ถ้านางเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจก็ไม่จำเป็นต้องปลอมตัวใดๆ เมื่อรวมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจทั้งหมดที่นี่ และสวีเช่อเข้าด้วยแล้วต่างไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางเลย
ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของนางช่างน่ากลัวยิ่งนัก
หลังจากที่ซูรุ่ยถอนสายตาออกไปแล้ว เซวียนหยวนสือก็ไม่ได้โจมตีซูรุ่ยด้วยพลังจิตต่อ นางหันไปมองศิษย์ในค่ายสำนักเทียนอวิ๋นแทน ผู้ที่นำทัพในคราวนี้ยังคงเป็นตู๋กูชิงจิ่ว อวิ๋นเซียนเอ๋อร์ยังคงติดตามอยู่ด้านหลังเขา ในฐานะที่สำนักเทียนอวิ๋นเป็นสำนักชั้นหนึ่ง คราวนี้มีสิบคนที่สามารถเข้าสู่โลกใบเล็กนั้นได้ และด้านหลังของทั้งสองคนมีศิษย์อีกแปดคนที่มีพลังบำเพ็ญต่ำกว่าเล็กน้อย
เซวียนหยวนสือจ้องมองไปที่ศิษย์ที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่ง ใบหน้าเย็นชาที่ไม่แยแสต่อสิ่งใดมีรอยยิ้มปรากฏออกมา…
“ถึงเวลาแล้ว เปิดผนึกได้!”
เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว ด้วยคำสั่งของเทียนสิงจื่อผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสี่สิบเก้าคนที่นั่งอยู่รอบๆ ได้ปล่อยพลังปราณของพวกเขาไปยังที่แห่งหนึ่งพร้อมกันทันที และเมื่อผนึกเปิดออก ฉากกำบังม่านมิติก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน
คนจากสำนักทั้งหมดเข้าประตูตามลำดับ ภายในประตู เป็นอีกโลกหนึ่ง แม้ว่าพวกเขาจะเข้ามาจากจุดเดียวกัน แต่ก็กลับอยู่ในมุมที่กระจัดกระจายกันไปในโลกนี้ และจะไม่ปรากฏต่อหน้าทุกคนอีกจนกว่าจะถึงสองเดือนต่อมา
“อยู่นิ่งๆ ล่ะ”
เมื่อเข้าสู่โลกใบเล็กแล้ว ซูรุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะซ่อนซูหว่านเอาไว้ในอ้อมแขน แต่ในขณะที่เขาเข้าไปในประตูเพราะมิติที่ถูกแยกจากกัน ลมกระโชกแรงกระทบกับทรายและหิน ซูรุ่ยไม้มีการป้องกันใดๆ จนเมื่อเขาสร้างโล่วิญญาณขึ้นมาและยืนลงบนพื้นอย่างปลอดภัย กลับพบว่าในอ้อมกอดของตัวเองว่างเปล่า!
ซูหว่าน หายไปแล้ว!
“เจ้างูน้อย”
สีหน้าของซูรุ่ยเปลี่ยนไป เขารู้พลังบำเพ็ญของเจ้างูน้อยดี แม้ว่านางต้องการจะจากไปเองแต่เขาก็หานางพบอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้นางหายตัวไปอย่างไร้สุ้มเสียง นี่ เป็นไปไม่ได้!
เหตุการณ์เหนือความคาดหมายเดียวกันนี้ ก็เกิดขึ้นกับสำนักจื่อหยาง สำนักหยินกุ่ย และสำนักเทียนอวิ๋นเช่นกัน เพราะว่าคนทั้งหมดถูกทำให้กระจัดกระจายไป ดังนั้นไม่มีใครรู้ว่า กลุ่มคนของพวกเขาได้เปลี่ยนจากสี่สิบเก้าคนเป็นห้าสิบคน
…
มืดสนิท
ซูหว่านในเวลานี้รู้สึกเพียงว่านางอยู่ในสถานที่ที่มืดมิด แม้แต่มือนางเองก็ยังมองไม่เห็น
นางยังคงรักษาร่างกายของนางและเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ
“อย่าขยับ”
ในเวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังเข้ามาในหูของซูหว่าน
“เยี่ยเฉิง”
ซูหว่านตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ตัวนางอยู่กับซูรุ่ยตลอดเวลาไม่ใช่เหรอ ทำไมพอเข้ามาในโลกใบเล็กนี้คนข้างกายของนางกลับกลายเป็นสวีเช่อ
ในเวลานี้ จู่ๆ ก็มีเปลวไฟปรากฏขึ้นตรงหน้าซูหว่าน และมีเปลวไฟสีน้ำเงินจางๆ ส่องใบหน้าที่ยิ้มแย้มของชายคนหนึ่ง
ไม่ใช่แค่สวีเช่อ
ซูหว่านเพิ่งตระหนักได้ว่าสถานที่ที่นางอยู่ตอนนี้กลายเป็นวังใต้ดิน นอกจากสวีเช่อที่อยู่ข้างตัวนางแล้ว ยังมีอีกสองคน!