ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 31 บททดสอบบำเพ็ญเพียร (31)
ภายในห้องพักที่เต็มไปด้วยหมอกสีดำ
“สวีเช่อ นาย… เคยชอบฉันบ้างไหม”
ซูหว่านมองไปยังดวงตาของสวีเช่อ เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละเล็กทีละน้อย คนทั้งสองเผชิญหน้ากัน ดวงตารียาวของซูหว่านกวาดมองไปที่จมูกของสวีเช่ออย่างแผ่วเบา
ร่างกายของเขาแข็งทื่อไปชั่วครู่ และลมหายใจถัดมาซูหว่านก็ยกแขนข้างขึ้น และกอดร่างของสวีเช่อเอาไว้
อ้อมกอดนี้ดูเหมือนจะละทิ้งทุกสิ่งรอบตัวเขาไว้ข้างนอก และจิตใจที่เฉียบแหลมของสวีเช่อก็ว่างเปล่าชั่วขณะเช่นกัน
“นายตายไปครั้งหนึ่งแล้ว”
ทันใดนั้นเสียงเย็นชาของซูหว่านก็ดังขึ้นข้างๆ หูของสวีเช่อ
สวีเช่อกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ไม่รู้ว่าผู้หญิงในอ้อมแขนของเขากลับมายืนตัวตรงตั้งแต่เมื่อไร และในมือของนางก็มีใบมีดสั้นที่แหลมคม
ท่ามกลางความมืด ดวงตาของนางยังคงเป็นประกายเย็นชาเช่นเคย
“ซูหว่าน?”
สวีเช่อจ้องมองไปยังดวงตาของซูหว่าน “ทำไมถึงไม่ลงมือ”
นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของนาง โอกาสเช่นนี้ บางทีอาจจะมีเพียงครั้งเดียว เมื่อครู่ในช่วงเวลานั้น เขาไม่ได้ป้องกันตัวจากนางเลยจริงๆ
“อย่าคิดว่าฉันจะออมมือให้นายเพราะมีความรู้สึกอะไร ฉันแค่…ไม่อยากลงมือ”
ซูหว่านเลิกคิ้วขึ้นมองสวีเช่อ “ฉันไม่อยากติดหนี้อะไรนาย สวีเช่อ ครั้งนี้ถือซะว่าฉันตอบแทนน้ำใจของนาย นายกับฉันเราไม่ติดหนี้ต่อกันแล้ว ตอนนี้นายจะลงมือเมื่อไหร่ก็ได้ ฉันยอมรับว่าฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาย! จะฆ่าจะแกงยังไงก็ตามใจนายเลย!”
ขณะที่พูด ซูหว่านก็เก็บมีดสั้นในมือของตัวเองลง ท่าทางไม่แยแสโดยสิ้นเชิง
ในเวลานี้ หูของทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงดังขึ้นทันที
หลังจากที่โหวปิงหนิงและโหวปิ่งเฉินค่อยๆ หมดลมหายใจไปทีละคน มีเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจเหลืออยู่หกคนสุดท้าย
สวีเช่อมองไปยังดวงตาทั้งคู่ของซูหว่าน มองอยู่เนิ่นนาน
ดวงตาที่เย็นชาของนาง ยังคงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจไม่เสื่อมคลายและบุคลิกที่แน่วแน่ของนางเหมือนเช่นเคย
คนตรงหน้า ซ้อนทับกับหญิงสาวในความทรงจำของเขาอีกครั้ง
สุดท้ายสวีเช่อก็ไม่ลังเลที่จะหันกลังกลับ ร่างของเขากลืนหายไปท่ามกลางค่ำคืนโดยไร้สุ้มไร้เสียง
จนกระทั่งร่างของสวีเช่อหายไปอย่างสมบูรณ์ ทันใดนั้นซูหว่านก็ถอนหายใจยาวออกมา และใบหน้ากระจ่างใสของนางก็เต็มไปด้วยเหงื่อ
“เธอชนะเดิมพันแล้ว”
ในเงามืดด้านหลังของนางมีเสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น
“หึ”
ซูหว่านหรี่ตาลง ความรู้สึกบนใบหน้ากลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง “คิดจะเอาชนะเขาที่ร่วมมือกับซูรุ่ย คิดว่ามันง่ายขนาดนั้นเหรอ ถ้าไม่ใช่เพื่อคุ้มกันลมปราณของเธอ เมื่อกี้ฉันจะสู้จนตัวตายแบบนั้นเหรอ”
“เอ่อ”
เสียงข้างหลังนั้นหยุดลงชั่วขณะ “ฉันก็กังวลเรื่องความปลอดภัยของเธอและมาที่นี่เพื่อช่วย ใครจะไปรู้ว่าฉันจะเจอสวีเช่อ! ยังดี ยังดี! แผนหญิงงามได้ผลกับเขาจริง ๆ โลกนี้ช่างน่าอัศจรรย์!”
ซูหว่าน “…”
“ในเมื่อเธอรู้จุดอ่อนของสวีเช่อแล้ว คราวหน้าก็ยกให้เธอแล้ว โอเคไหม ฉันควรกลับไปแล้ว ออกมานานเกินไปแล้ว ถ้าโดนซูรุ่ยรู้เข้าจะแย่เอา!”
“นี่! สรุปเธอ…”
เมื่อเห็นว่าซูหว่านจากไปโดยไม่ลังเล ร่างในความมืดก็ถอนหายใจออกมา
สรุปแล้วเธอฟื้นความทรงจำหรือยังเนี่ย! นี่!
แม่ทัพซูของเธอก็ป่าเถื่อนมากเหมือนกันนะ พี่สาวคนนี้รับมือไม่ไหวแล้ว! และอีกอย่างแผนสาวงามอะไรกัน เธอคิดว่าใครก็สามารถใช้ได้เหรอ
ถ้าสวีเช่อกินเหยื่อแบบนั้น ให้ตายสิ เขาคงโดนพี่สาวคนนี้ฆ่าตายไปนานแล้วไหม
โธ่ จะว่าไปเมื่อกี้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากเลยนะ!
ทำไมซูหว่านถึงไม่ฆ่าเขาให้ตายสักครั้งนะ!
ช่างเถอะช่างเถอะ ไม่คิดแล้ว
เยี่ยซินก้มศีรษะลงและมองไปยังศพทั้งสองบนพื้น วันนี้ก็ไม่นับว่าไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปล่ะนะ
ตัวเองก็ต้องรีบกลับไปได้แล้ว หากมีคนพบสถานที่พักของตัวเองเข้าก็คงจบไม่สวยเหมือนกัน…
เมื่อซูหว่านกลับมาถึงห้องพักของนางในโรงเตี๊ยม ซูรุ่ยก็นั่งอยู่ข้างเตียงของนางด้วยสีหน้าเข้ม
เอ่อ
“คุณชาย ท่านมาได้อย่างไร”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน ซูรุ่ยก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและจ้องไปที่ใบหน้าของนาง เมื่อครู่เขาได้ยินเสียงของสำนักงานใหญ่ ซูรุ่ยก็รีบไปที่ห้องของซูหว่านทันที แต่นางไม่อยู่ที่นั่น
ซูรุ่ยร้อนใจและรีบปล่อยพลังจิตของเขากวาดมองจนเริ่มรับรู้ตำแหน่งของนาง ผลคือเขาสัมผัสได้ถึงลมปราณของนางและสวีเช่อ
เมื่อคิดถึงคำพูดของสวีเช่อเมื่อตอนกลางวัน ซูรุ่ยก็ร้อนใจจนอยากจะพุ่งตัวออกไปทันที แต่ท้ายที่สุดในช่วงเวลานั้น จู่ๆ ลมปราณของสวีเช่อเคลื่อนไหวขึ้นมา และลมปราณของซูหว่านก็ค่อยๆ สงบลงมา
เมื่อรู้สึกว่านางสบายดีแล้ว ซูรุ่ยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและก็รู้สึกโกรธมากในเวลาเดียวกัน!
“มานี่!”
เขาจ้องมองใบหน้าของซูหว่านด้วยสีหน้าเย็นชาพร้อมกวักมือ
“เอ๋”
ซูหว่านเดินเข้าไปตรงหน้าของซูรุ่ยด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก “คุณชาย ท่าน… อ๊ะ!”
ในวินาทีถัดมา ซูหว่านก็ถูกซูรุ่ยใช้กำลังโยนขึ้นไปบนเตียง “ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าเข้าใกล้เยี่ยเฉิง”
เมื่อมองดูดวงตาที่มืดดำของชายคนนั้น ซูหว่านก็ส่ายหัวและอดยิ้มไม่ได้ “ข้าไม่ได้เข้าใกล้เขานะ ข้าก็แค่เจอเข้ากับเขาโดยบังเอิญ”
มีเรื่องบังเอิญแบบนั้นที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าในที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่จะลงมือฆ่าคนแล้ว
ซูรุ่ยสัมผัสได้ว่าลมปราณของอวิ๋นเซิงและซังเหนียนหวาสลายไปแล้ว
เมื่อมองไปยังดวงตาคู่โตที่มีแววไร้เดียงสาของซูหว่านที่อยู่ใต้ร่างของเขาแล้ว ซูรุ่ยจะหัวเราะก็ไม่ได้จะร้องไห้ก็ใช่ที่
เขาไม่รู้จะจัดการกับนางอย่างไรดีจริงๆ จะฆ่านางก็ตัดใจไม่ลง ปล่อยนางไว้ก็จะเป็นหายนะของจริง
“คุณชาย”
เมื่อรู้สึกถึงความยุ่งยากใจของซูรุ่ย ซูหว่านก็กะพริบตาปริบๆ และมองเขาด้วยใบหน้างุนงง “คืนนี้ท่าน… จะนอนที่นี่หรือ”
ซูรุ่ย “…”
“อะแฮ่ม”
ซูรุ่ยรีบลุกขึ้นนั่งตัวตรงและกระแอมไออย่างจริงจัง “เจ้าตั้งใจฝึกฝนบำเพ็ญเพียรดีๆ อย่าเคลื่อนไหวเช่นนั้นมากเกินไป ไม่เช่นนั้น แม้แต่ข้าก็ปกป้องเจ้าไม่ได้!”
“อ้อ อือๆ”
ซูหว่านก็ลุกขึ้นนั่งเช่นกัน สองมือแตะไปที่แก้มของตัวเอง และมองซูรุ่ยที่ยืนขึ้นอยู่ข้างนาง “เช่นนั้นคุณชายเดินกลับดีๆ ข้าไม่ส่งท่านแล้วนะ!”
ซูรุ่ยคิดในใจ ฉันยังไม่ได้พูดว่าจะไปเลยนะ ไล่คนแบบนี้ก็มีด้วยเหรอ
ภายใต้ดวงตาที่สดใสของซูหว่าน ซูรุ่ยจะไม่ลุกขึ้นก็ไม่ได้ เขารีบออกจากห้องพักของนางไป จนกระทั่งร่างของซูรุ่ยหายไป ซูหว่านก็ยิ้มออกมาแล้วนอนลงบนเตียง นางยกข้อมือขึ้นและสงบสติอารมณ์ต่อไป มองไปที่สร้อยข้อมือทองคำของตัวเองอย่างแน่วแน่…
‘ซูหว่าน เจ้าว่า… ความรัก คือสิ่งใด’
ซูหว่านคิดขึ้นมา ในโลกใบนั้น สวีเช่อที่แปลงร่างเป็นผีชราถามประโยคนั้นกับนางก่อนที่จะเสียชีวิต
ความรัก คืออะไร
สวีเช่อ ที่แท้นายเองก็อยากรู้ว่าความรักคืออะไร
เป็นเพราะคำถามนี้ เพราะในโลกใบนั้น เขาเสียสละชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อช่วยนางให้รอด
ดังนั้นวันนี้ ซูหว่านจึงตัดใจลงมือไม่ลง
ในอดีต นางเคยคิดเสมอว่าเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนางในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจคือการเอาชนะสวีเช่อ นางต้องฆ่าเขาระหว่างการทดสอบ แบบนั้นนางถึงจะปล่อยวางได้จริงๆ
แต่ตอนนี้ ซูหว่านตระหนักได้ว่าตัวนางในสมัยก่อนนั้นไม่มีเหตุผลจริงๆ
ไม่ใช่คนอื่นที่เคยกักขังนางและทรมานนาง แต่เป็นความหมกมุ่นของนางเอง
ความหมกมุ่นของนางทำให้นางกลายเป็นคนสุดโต่งและดื้อรั้น
อันที่จริง ในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจคนหนึ่ง สวีเช่อเพียงแต่ทำสิ่งที่เขาควรทำเท่านั้น
ตำแหน่งต่างกัน หน้าที่ก็ต่างกัน
วันนี้ซูหว่านเองก็เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจคนหนึ่ง นางรู้ตัวนานแล้วว่านางไม่สามารถที่จะชี้นิ้วตำหนิสวีเช่อตลอดเวลาได้
แม้กระทั่ง เมื่อเปรียบเทียบกับตัวนางแล้ว สวีเช่อที่ไร้ความรู้สึกไร้ความต้องการ เป็นคนที่น่าสงสารมากจริงๆ
ตัวนางที่ได้พบกับซูรุ่ย ตัวนางจึงจะสามารถก้าวออกมาจากความเจ็บปวดและการปิดกั้นตัวเองออกมาได้
แล้วสวีเช่อล่ะ
ตัวเขาตั้งแต่เริ่มจนจบ นอกจากความรับผิดชอบกับภาระหน้าที่แล้ว เขาก็ไม่มีอะไรเลย
แม้แต่อารมณ์ความรู้สึกขั้นพื้นฐานของมนุษย์ นั่นยังถือว่าเป็นสิ่งหรูหราที่สุดสำหรับเขาแล้ว
ใช่แล้ว ตอนนี้ซูหว่านฟื้นคืนความทรงจำของนางกลับมาแล้ว ในภาพลวงตาที่สำนักจื่อหยางครั้งนั้น นางก็พอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้ และเมื่อนางทะลวงสู่ระดับแก่นทองคำสร้างแก่นปีศาจสำเร็จครั้งนั้น ปราณเซียนในสร้อยข้อมือไม่เพียงแต่ช่วยให้นางก้าวหน้าอย่างราบรื่น แต่ยังทำให้นางได้เห็นอดีตของจิงหงเซียนจื่อ และนอกจากนี้ยังช่วยเปิดผนึกในส่วนลึกของห้วงแห่งจิตสำนึกที่ถูกปิดผนึกของนางออก
ในช่วงหลายปีที่อยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน อันที่จริงแล้วซูหว่านก็ค่อยๆ ระลึกถึงความทรงจำบางอย่างของตัวเองและซูรุ่ยเคยอยู่ด้วยกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากพบสวีเช่ออีกครั้ง นางก็จำทุกอย่างขึ้นมาได้ทั้งหมด
นางแกล้งทำเป็นจำไม่ได้มาโดยตลอด เพราะนางไม่ต้องการสร้างปัญหาให้แก่ซูรุ่ย