ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 3 บททดสอบบำเพ็ญเพียร (3)
ตอนที่หานอวี่ใช้โลหิตตนเองปลุกวิญญาณกระถางน้อย จี้ที่ห้อยคอตนเองมาตลอดให้ตื่นขึ้นนั้น
ณ แดนเซียนคุนหลุนอันไกลโพ้น พรรคเทียนอวิ๋น พรรคชั้นหนึ่ง
ในห้องลับหัวหน้าพรรค ผู้เฒ่าซึ่งมีหนวดเคราและผมเผ้าสีขาวโพลนผู้หนึ่งพลันลืมตาขึ้น แววตาเปล่งประกาย…
“ปรากฏตัวแล้ว!”
เทียนสิงจื่อร้องเสียงดัง พลางจ้องมองไอสีม่วงที่หมุนวนอยู่บนถาดดวงดาวตรงหน้าตนเอง แววตาตื่นเต้นไม่คลาย
บุคคลในลิขิตชะตาเซียน ความหวังของแผ่นดินใหญ่ชางเย่ว์ คนคนนั้น ปรากฏตัวขึ้นแล้ว!
เขาลุกขึ้นยืนอย่างกระตือรือร้น แต่พริบตาต่อมา สีหน้าของเทียนสิงจื่อกลับแปรเปลี่ยนกะทันหัน…
ไอสีม่วงจากทิศตะวันออก เดิมทีเป็นสัญลักษณ์แห่งการถือกำเนิดของจักรพรรดิ แต่พริบตาเดียว สีดำพลันเข้าปกคลุม ไอดำหมุนวน! เมฆและดวงดาวโกลาหล!
นี่คือ คำเตือนล่วงหน้าถึงความโกลาหลในใต้หล้า หายนะของสิ่งมีชีวิต!
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้
เทียนสิงจื่อหลับตาลง ท่องคำพยากรณ์ของพรรคเทียนอวิ๋นชุดใหญ่ในใจ ไม่นาน ถาดดวงดาวตรงหน้าก็เริ่มเปลี่ยนการหมุน กลุ่มไอดำค่อยๆ ลอยตัวขึ้น แล้วตกลงในตำแหน่งตะวันตกสุดและเหนือสุด นั่นคือ…
พรวด!
เทียนสิงจื่อพ่นโลหิตคำใหญ่ออกมา ถาดดวงดาวทั้งถาดพลันแหลกสลายเป็นผุยผง
ทิศตะวันตก ภูเขาหมื่นปีศาจ อาณาเขตปีศาจ
ทิศเหนือ แหล่งรวมภูตผี อาณาเขตผียมโลก!
เป็นไปได้หรือไม่ว่า ทั้งสองแห่งนี้ จะปรากฏภูตผีปีศาจมารผจญที่ทำให้โลกโกลาหล
เทียนสิงจื่อไม่ทันเช็ดโลหิตที่มุมปาก ก็รีบก้าวออกจากห้องลับของตนเอง
ทันทีที่มาถึงหน้าประตู เขาก็จุดยันต์สื่อสารประจำพรรคที่เป็นของหัวหน้าพรรคขึ้น!
ในยันต์สื่อสารคือเสียงทุ้มต่ำที่แก่ชราของเทียนสิงจื่อ “เหล่าผู้พิทักษ์ทุกรุ่น หลังจากได้ยินเสียงนี้ ให้มารวมตัวกันที่วิหารใหญ่ของพรรคด่วน!”
หมายเรียกด่วนของพรรคเทียนอวิ๋น เปิดฉากยุคแห่งความโกลาหลอย่างเป็นทางการ…
ขณะเดียวกัน ในภูเขาหมื่นปีศาจ
ตั้งแต่ซูหว่านรู้จักกับเซียนดอกเหมยน้อย หนึ่งงูหนึ่งดอกไม้ก็กลายเป็นเพื่อนรักกัน
ในความทรงจำของร่างเดิมงูเขียวไผ่ ไม่มีวิชาบำเพ็ญเพียรใดๆ แต่ยังดีที่เมื่อก่อน ขณะซูหว่านอยู่ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรอื่นๆ เคยจดจำสูตรของการบำเพ็ญเพียรไว้ไม่น้อย
จึงหมั่นทำสมาธิ ฝึกฝนใต้ต้นเหมยทุกวัน อย่างที่ว่า อยู่ในป่าเขาไม่รู้วันรู้คืน พริบตาเดียว ก็ปาเข้าไปสิบปีแล้ว
ในสิบปีนี้ ซูหว่านเพิ่งฝึกการบำเพ็ญเพียรแบบมนุษย์มาถึงระดับห้า ความเร็วเช่นนี้ช่างไม่ยุติธรรมนัก! แต่ข้อดีเพียงหนึ่งเดียวของการอยู่ที่นี่ก็คือ เงียบสงบมาก สิบปีของการอยู่ที่นี่ ทำให้การบำเพ็ญเพียรของนางกับดอกเหมยไม่ถูกรบกวนจากโลกภายนอกเลย
ต้องรู้ว่าในภูเขาหมื่นปีศาจ ราชาปีศาจกำหนดกฎเกณฑ์ไว้อย่างเข้มงวด โดยปีศาจทุกประเภท นอกจากมีความแค้นใหญ่หลวงที่ถึงแก่ชีวิตแล้ว ไม่อนุญาตให้ทำร้ายพวกเดียวกันเองเป็นอันขาด
ถ้ามีความขัดแย้งที่ตัดสินกันไม่ได้จริงๆ ก็ให้สี่แม่ทัพปีศาจผู้ยิ่งใหญ่กำกับดูแล จัดการต่อสู้บนลานประลองในภูเขาหมื่นปีศาจตัดสินแพ้ชนะ ซึ่งจุดนี้เมื่อเทียบกับการเข่นฆ่ากันเองของผู้บำเพ็ญเพียรมนุษย์แล้ว เห็นชัดว่าปีศาจมีความสามัคคีและมีมิตรภาพต่อกันมากกว่า
ซูหว่านในตอนนี้ ร่างงูทั้งร่างยาวกว่าตอนที่ตนเพิ่งเข้ามาปฏิบัติภารกิจไม่น้อย เกล็ดเล็กๆ บนร่างเหล่านั้นก็เริ่มเปล่งแสงสีเขียวเข้มแล้ว
ถ้าบอกว่าไม่ร้อนใจก็โกหกแน่ๆ แต่ซูหว่านรู้ว่าตนไม่มีเวลาคิดอะไรมาก สิ่งที่ต้องทำก็คือ บำเพ็ญเพียร บำเพ็ญเพียร และบำเพ็ญเพียร!
แน่นอน การรับรองความปลอดภัยให้ตัวเอง ก็เป็นโจทย์ใหญ่ข้อแรกๆ เช่นกัน
ในสิบปีมานี้ สมองของนางมีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นหลายครั้ง
เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจที่แต่เดิมมีอยู่ด้วยกันห้าสิบสี่คน ถูกคัดออกยี่สิบคนในสิบปี! นี่เป็นสถิตที่น่ากลัวมาก สถานการณ์แบบนี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นจุดหนึ่ง ในหมู่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจเหล่านี้ต้องมีคนที่มีสถานะสูงส่งมาก และคนคนนั้นอาจเป็นผู้บำเพ็ญเพียรฝ่ายชั่วร้ายคนหนึ่ง หรือไม่ก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรผี มีเพียงสถานะเช่นนี้เท่านั้น ถึงทำให้เขาเปิดฉากเข่นฆ่าตามใจ ไม่เกรงกลัวใดๆ แบบนี้!
เขา เป็นใครกันแน่
จะใช่…เขาไหม
ในสมองของซูหว่านมีชื่อสวี่เช่อวาบผ่าน เมื่อก่อนทุกครั้งที่นึกถึงชื่อนี้ นึกถึงผู้ชายคนนี้ จะรู้สึกปวดหัวใจและเจ็บเข้ากระดูกดำ แต่ครั้งนี้ ไม่รู้ทำไม กลับไม่รู้สึกถึงความรู้สึกเจ็บปวดแบบนั้นแล้ว
ซึ่งซูหว่านรู้สึกงุนงงมาก
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้
นางมักรู้สึกว่าความทรงจำของตนคล้ายมีปัญหานิดหน่อย ทั้งๆ ที่ควรมีเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่ง เรื่องที่ไม่สามารถลืมเลือนได้ แต่เหมือนตนลืมเสียทุกครั้งไป…
ความสงสัยนี้คอยหลอกหลอนนางอยู่เรื่อยๆ ฉุดรั้งความก้าวหน้าในการบำเพ็ญเพียรให้ช้าลง สุดท้าย ซูหว่านไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่ข่มใจ กดความสงสัยเหล่านี้ลงไปที่ก้นบึ้งของใจ บังคับตัวเองให้ใจจดใจจ่ออยู่กับการบำเพ็ญเพียร ไม่คิดถึงเรื่องเหล่านี้อีก นานวันเข้า จิตใจนางจึงสงบลงได้ในที่สุด
…..
“งูน้อย งูน้อย”
เสียงของดอกเหมยพลันดังขึ้นเหนือศีรษะของซูหว่าน น้ำเสียงแฝงความสิ้นหวังและหวาดกลัว “งูน้อย งูน้อย เจ้าหนีไปเร็วเข้า! เขามาแล้ว! เขามาแล้ว!”
เขา คือใคร
เมื่อสัมผัสได้ถึงสภาพจิตใจที่สิ้นหวังและตึงเครียดของดอกเหมย ซูหว่านก็รีบพันร่างงูของตนเองกับต้นไม้ แล้วมองไปยังที่ที่ไกลออกไป ตอนนี้ทัศนวิสัยของนางดีกว่าเมื่อสิบปีก่อนหลายเท่า
ไกลออกไป ซูหว่านมองเห็นร่างสองสามร่างค่อยๆ เดินเข้ามา
พวกเขาสวมชุดยาวสีขาว ชุดยาวเหล่านี้เป็น…เป็นคนจากหุบเขาสมุนไพร!
ซูหว่านนึกถึงเรื่องของคนจากหุบเขาสมุนไพรที่ดอกเหมยพูดกับตนอยู่หลายครั้ง นางเคยบอกว่า เครื่องแบบของคนที่นั่น ไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนเป็นชุดสีขาวพริ้วลม
“ไม่ต้องกลัว พวกเขาอาจแค่มาเด็ดสมุนไพร พอข้าซ่อนตัวเสร็จ เจ้าก็อย่าส่งเสียง พวกเขาไม่มีทางพบเจอพวกเราหรอก”
ซูหว่านปลอบดอกเหมย เสียดายที่เส้นเสียงของดอกเหมยสั่นเครือไปแล้ว “ไม่มีประโยชน์หรอก ไม่มีประโยชน์หรอก เป็นเขา เขามาแล้ว เมื่อสิบปีก่อนเขาเคยบอกว่า จะมาเอาชีวิตข้า เอาข้าไปต้ม ทำเชื้อกระตุ้นยา”
เป็นเขาคนนั้น
ดอกเหมยไม่มีวันลืมเรื่องเมื่อสิบปีก่อน เขาคือชายผู้ซึ่งเพียงสะบัดแขนเสื้อ ก็คว่ำราชางูเขียวไผ่ลงได้ ตอนนั้นเขาก็เห็นตนแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ลงมือ…
‘เจ้าตัวน้อย สิบปีให้หลังข้าค่อยกลับมาหาเจ้า! พอดีในเชื้อกระตุ้นยาของข้า ขาดก็แต่จิตดอกไม้หนึ่งดอก!’
เวลาผ่านไปสิบปี คนผู้นั้นยังคงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว งดงามดุจเซียนมาจุติ
แม้รอยยิ้มอันสดใสของชายผู้นั้นทำให้สิ่งรอบๆ ดูหมองลง แต่พอนึกขึ้นได้ว่า เขาจะเอาตนเองไปทำเชื้อกระตุ้นยา ดอกเหมยน้อยก็รู้สึกกลัวและสิ้นหวังเป็นอย่างยิ่ง
“ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว! ตนเองกำลังจะตาย ชาตินี้กลายเป็นเซียนไม่ได้แล้ว! ฉะนั้น งูน้อย เจ้ารีบหนีไปเถิด เจ้าคือเพื่อนเพียงคนเดียวของข้า!”
พอได้ยินเสียงของดอกเหมย ซูหว่านก็ลังเลใจเป็นครั้งแรก
สิบปีมานี้ ตนกับดอกเหมยนับว่ามีชีวิตอยู่ด้วยการพึ่งพาซึ่งกันและกัน ย่อมมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อกัน แต่คนผู้นั้น ฟังจากปากของดอกเหมย เหมือนแข็งแกร่งมากจริงๆ
ขืนตนบุ่มบ่ามต่อกรด้วย เกรงว่าน่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี
หนีไปเพียงลำพังย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุด ตนไม่ควรลังเลใจอะไรอีก แต่จะอย่างไร ซูหว่านก็ลังเลใจอยู่ดี
ท้ายที่สุด นางจึงเงยหน้าขึ้นมองดอกเหมย “ดอกเหมยน้อย เจ้าละทิ้งต้นไม้ต้นนี้เถอะ ข้าจะพาเจ้าไปซ่อนตัวก่อน!”
แม้ดอกเหมยน้อยผลิดอกออกผลอยู่บนต้นไม้ต้นนี้ แต่ตอนนี้นางมีสติและจิตวิญญาณของตนเองแล้ว สามารถที่จะไปจากกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ได้จริงๆ
“ข้า…”
พอได้ยินข้อเสนอของซูหว่าน ดอกเหมยน้อยก็ลังเลใจสักพัก
“ไม่ต้องลังเลแล้ว พอพวกเขาจากไป เราก็ยังมีโอกาสกลับมาใหม่!” น้ำเสียงของซูหว่านค่อนข้างร้อนรน
“ได้!”
ดอกเหมยรีบพยักหน้าหงึกๆ แล้วดอกเหมยสีแดงสดดอกหนึ่งก็ร่อนลงมา ตกลงบนศีรษะของซูหว่านอย่างแผ่วเบา “งูน้อย รีบไป เร็วเข้า! คนผู้นั้นเป็นคน โรค จิต”
โรค จิต?
อะแฮ่ม ตอนนี้ คนโรคจิตบางคนได้เดินมาอยู่ในระยะที่ไม่ไกลแล้ว ดวงตากระจ่างใสดุจน้ำในลำธารของเขามองนิ่งมายังต้นดอกเหมยแดงที่กำลังเหี่ยวเฉาลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตา แล้วดวงตาของเขาก็ฉายแววยิ้มวาบ
“เห็นทีเจ้าตัวน้อยหนีไปแล้วล่ะ”
ชายหนุ่มในชุดขาวที่ดูเบาสบายดุจหยกอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา
“คุณชายมั่ว!”
พอได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ผู้ติดตามที่อยู่อีกด้านก็เอ่ยปากพูดอย่างอดไม่ได้ “เช่นนั้นเราก็มาเสียเที่ยวแล้วสิ ขืนเดินลึกเข้าไป ก็เป็นถิ่นของสี่แม่ทัพปีศาจผู้ยิ่งใหญ่แล้ว ถ้านางหนีเข้าไป ก็ยากมากที่เราจะจับนางกลับมา”
“ไม่เป็นไร นางหนีไม่พ้นหรอก”
คุณชายมั่วยังคงยิ้มเบาๆ ก่อนโบกแขนเสื้อเบาๆ ทันใดนั้น เริ่มจากใต้ฝ่าเท้าของเขา ต้นหญ้าสีเขียวพลันเหี่ยวแห้งลง ดอกไม้สดร่วงหล่นลง ผืนหญ้าอันเขียวชอุ่มที่มีอยู่แต่เดิม ไหม้เกรียมหมดในพริบตา…
คุณชายมั่วแห่งหุบเขาสมุนไพร ผู้บำเพ็ญเพียรพิษอันดับหนึ่งในปฐพี!