ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 27 บททดสอบบำเพ็ญเพียร (27)
วันที่เก้าของเดือนเก้า เป็นวันที่โลกเล็กใบนั้นเปิดออก แต่ตอนนี้เป็นวันที่หนึ่งของเดือนเก้า ไม่ว่าจะเป็นสำนักต่างๆ ในแดนเซียนคุนหลุน หรือสำนักต่างๆ จากดินแดนรกร้างอาทิตย์อัสดง ทั้งหมดรวมตัวกันที่เมืองสยากวงตรงเชิงเขาสำนักเทียนอวิ๋น
เดิมทีเมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบ แต่ในเวลานี้กลับเต็มไปด้วยผู้คน และบรรยากาศก็ผิดไปจากปกติ
เมื่อซูหว่านติดตามคุณชายมั่วมาถึงเมืองสยากวง ก็เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี ท่ามกลางดวงอาทิตย์ที่แผดเผาอยู่กลางฟากฟ้า ในเมืองเล็กนี้กลับมีผู้คนสัญจรขวักไขว่ไปมา รถที่วิ่งสวนทางกันไปมาอย่างไม่ขาดสายกลับทำให้ไม่รู้สึกถึงความร้อน
หนาว
ลมปราณที่ลอยละล่องอยู่ท่ามกลางฝูงชนนั้น คือความเยือกเย็นแสนกดดัน
นี่เป็นอีกครั้งที่คุณชายมั่วไม่ได้พาน้องสาวของเขามาด้วย และไม่ได้ให้ใครติดตามเขามา ครั้งนี้เขาพามาแค่ซูหว่านคนเดียว
นี่ อาจจะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายแล้ว
เขารู้ว่าสวีเช่อมีแผนที่จะจัดการคนทั้งหมดให้สิ้นซากในคราวเดียวที่งานประชุมครั้งใหญ่นี้!
แบบนี้ ก็น่าจะดีเหมือนัน เพียงแต่…
ซูรุ่ยอดไม่ได้ที่จะหันศีรษะไปเหลือบมองซูหว่านที่อยู่ด้านข้าง…เจ้างูน้อยตัวนี้ ไม่ บางทีควรจะเรียกนางว่า ซูหว่าน
นางควรจะทำอย่างไรดี
นี่เป็นสิ่งที่ซูรุ่ยคิดไม่ตกมากที่สุด หลังจากที่อยู่ร่วมกันมาหลายสิบปี เขาสัมผัสได้มานานแล้วว่า ตัวเขาเองไม่มีทางลงมือทำอะไรกับนางได้เลย ไปจนกระทั่ง เขาไม่ยอมให้คนอื่นลงมือกับนางต่อหน้าเขาได้!
ซูรุ่ยที่กำลังคิดไม่ตกอยู่นั้น ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงลมปราณที่คุ้นเคย ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้น ก็มองเห็นกลุ่มคนที่สวมชุดเซียนเดินเขามาในเมืองแล้ว ชุดคลุมของพวกเขาปักเป็นรูปเตาใหญ่ที่ดูเหมือนจริงด้วยด้ายสทองนี่คือชุดของลูกศิษย์สำนักต้าชี่!
เป็นอวิ๋นเซิงและซังเหนียนหวา
มองเพียงแวบเดียวซูรุ่ยก็เห็นโหวปิ่งเฉินที่โดดเด่นในกลุ่มศิษย์ เขาเป็นอัจฉริยะของสำนักต้าชี่ เป็นธรรมดาที่เขาจะยืนอยู่ตรงกลางของเหล่าศิษย์ทั้งหมด ส่วนผู้หญิงสวยและดูบอบบางที่ติดตามอยู่ข้างกายเขา ก็คือน้องสาวของเขาโหวปิงหนิง
อืม ก็คือเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจซังเหนียนหวา
ดวงตาของซูรุ่ยเป็นประกายเมื่อมองไปยังร่างของทั้งสองคน ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้สนใจมากนัก แต่ซูหว่านที่ติดตามเขาอยู่ด้านข้างกลับสังเกตเห็นแววตาของเขาได้นานแล้ว ดวงตาของซูหว่านก็เป็นประกาย นางแอบจดจำสองคนนั้นอยู่อย่างเงียบๆ
คนที่ได้รับความสนใจจากคุณชายมั่วเป็นพิเศษ น่าจะเป็น…เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจ
ซูหว่านเข้าใจแจ่มแจ้งทันที แต่ยังคงติดตามข้างกายคุณชายมั่วอย่างใจเย็น “คุณชาย ดูเหมือนว่าผู้คนจะเข้ามาในเมืองสยากวงไม่น้อยเลย พวกที่เพิ่งเข้ามากลุ่มนั้นเป็นคนจากสำนักต้าชี่ใช่ไหม อุ๊ย คนตรงนั้นไม่ใช่คนจากสำนักไท่อีหรอกหรือ ยังมีสำนักฮวนสี่อีก ช่างคึกคักเสียจริง! พวกเราจะไปตามหาคนจากหุบเขาสมุนไพรหรือไม่”
“ไม่ เราไปหาที่พักก่อนเถอะ”
ซูรุ่ยในตอนนี้ไม่ต้องการรวมตัวกับคนจากหุบเขาสมุนไพรแม้แต่น้อย อันที่จริง เขาชอบอยู่คนเดียวกับนางมากกว่า
“อ้อ ข้ารู้แล้ว”
ซูหว่านตอบรับ และเดินตามซูรุ่ยเข้าไปในโรงเตี๊ยมกลางเมืองทันที ทันทีที่เข้าไปในโรงเตี๊ยม ทั้งสองคนก็รู้สึกหนาวไปทั้งตัว
ทั่วทั้งห้องโถงโรงเตี๊ยมมีปราณทมิฬลอยวนเป็นเกลียวอยู่เต็มไปหมด กลุ่มศิษย์กลุ่มใหญ่ของสำนักหยินกุ่ยที่อยู่ในชุดคลุมสีดำกำลังนั่งคุยกันเป็นกลุ่มๆ สองสามคน และที่หน้าต่างด้านในสุดของโรงเตี๊ยม มีร่างบางร่างหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าทั้งหมดของเขาถูกซ่อนอยู่ในเงามืด ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของเขาได้เลย แต่ธงหมื่นภูตสีแดงไฟอันนั้นที่อยู่ข้างกายเขากลับคอยเตือนทุกคนตลอดเวลาถึงตัวตนของเขา…
เจ้าสำนักหยินกุ่ย เซวียนหยวนสือ
เมื่อรู้สึกได้ถึงการจ้องมองของซูรุ่ยและซูหว่าน ทันใดนั้นเซวียนหยวนสือก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้าของเขายังคงมีหมอกสีดำปกคลุมอยู่ เขาเหลือบมองซูรุ่ย จากนั้นก็มองไปที่ซูหว่าน หลังจากมองมาเป็นเวลานาน ก็เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “หรือจะเป็นคุณชายมั่วแห่งหุบเขาสมุนไพร”
เสียงที่แยกไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย และมีเสียงแหบปนอยู่เล็กน้อย
“ข้าเป็นผู้น้อย ผู้น้อยขอคารวะท่านเจ้าสำนักเซวียนหยวน”
ซูรุ่ยพยักหน้าให้เซวียนหยวนสือ และในชั่วพริบตานั้นเองที่เซวียนหยวนสือมองสบตากลับมา ซูรุ่ยก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอย่างหาที่เปรียบมิได้!
อันตรายมาก! คนคนนี้!
อันที่จริง ตั้งแต่ที่มาถึงแผ่นดินใหญ่ชางเย่ว์ ซูรุ่ยก็ทราบแน่ชัดมาตลอดว่า โลกแห่งการฝึกเซียนนี้ดำรงอยู่มาเป็นเวลากว่าพันๆ ปีแล้ว และยังมีผู้ที่แข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อจำนวนมากมายอาศัยอยู่ที่นี่ และยังมีคนเก่งๆ อีกมากมายจำนวนนับไม่ถ้วน
ตัวเองและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจเหล่านี้ เมื่อมาถึงที่นี่แล้วไม่เพียงแต่จะต้องป้องกันตัวเองจากฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น ในเวลาเดียวกันก็ยังต้องป้องกันตัวเองจากผู้บำเพ็ญเพียรในท้องถิ่นอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ในบรรดาเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจจำนวนสิบกว่าคนที่เข้ามาในภารกิจนี้ จะต้องมีคนถูกผู้บำเพ็ญเพียรท้องถิ่นฆ่าตายอย่างแน่นอน และอาจจะมีมากกว่าหนึ่ง
ดังนั้น ในเวลานี้เมื่อเผชิญหน้ากับเซวียนหยวนสือ ซูรุ่ยเองก็อดไม่ได้ที่จะรับมือด้วยท่าทางระมัดระวัง
โชคดีที่ดูเซวียนหยวนสือเองก็ไม่ได้ต้องการทำให้พวกเขาลำบากเช่นกัน เพียงแค่พูดกับซูรุ่ยไม่กี่คำก่อนจะจากไป
ซูรุ่ยกับซูหว่านต่างก็ถอนหายใจออกด้วยความโล่งอกทั้งคู่ ทั้งสองขอห้องพักสองห้องจากเจ้าของโรงเตี๊ยมแล้วต่างแยกย้ายกลับห้องไปนั่งสมาธิและพักผ่อน
แต่สิ่งที่ซูหว่านไม่มีทางคาดคิดถึงเลยก็คือ ในขณะที่นางกำลังนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ในห้องนั้น เซวียนหยวนสือในห้องพักอีกห้องหนึ่งกลับใช้พลังวิญญาณของตนสร้างบานกระจกวารีขึ้นมา และสิ่งที่ปรากฏในกระจกนั้นก็คือทุกย่างก้าวของซูหว่าน
ดวงตาของเซวียนหยวนสือจับจ้องไปที่มือของซูหว่านอยู่นาน และในที่สุดเขาก็ค่อยๆ ถอดหมวกบนศีรษะของตัวเองออก หมอกสีดำบนใบหน้าของเขาสลายหายไปแล้ว เผยให้เห็นโฉมหน้างดงามอ่อนหวานของหญิงสาวผู้หนึ่ง
นี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของเซวียนหยวนสือ แม้แต่บรรดาผู้อาวุโสของสำนักหยินกุ่ยก็ไม่เคยรู้ว่าเจ้าสำนักที่แสนลึกลับของพวกเขานั้น เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง
ไม่สิ ถ้าจะพูดให้เจาะจงกว่านั้น นางมีชีวิตอยู่มาห้าพันกว่าปีแล้ว
นางเคยเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง และเลี่ยเหยียนเซียนจวินก็รับนางมาเลี้ยงดู เพราะเมื่อเลี่ยเหยียนเซียนจวินอุ้มนางขึ้นมา บนผ้าที่ห่อหุ้มนางไว้มีคำว่า ‘สือ’ปักอยู่ ดังนั้นเขาจึงตั้งชื่อนางโดยมีคำว่า ‘สือ’
“เสี่ยวสือ”
และในเวลานั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกเบาๆ ดังขึ้นที่ข้างหูของเซวียนหยวนสือ เสียงนั้นช่างคุ้นเคยมาก ใกล้ชิดสนิทสนมมาก
“พี่ใหญ่ไป๋เย่”
เซวียนหยวนสือหันไปรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ และข้างหลังของนางก็มีจักรพรรดิปีศาจไป๋เย่อยู่ที่นั่น
“ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว”
ไป๋เย่ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว ยกมือขึ้นและลูบผมของเซวียนหยวนสือเบาๆ “เจ้าเด็กคนนี้นี่ ช่างเอาแต่ใจตัวเองเสียจริง”
เอาแต่ใจตัวเองหรือ
เซวียนหยวนสือเพียงแค่ยิ้มอย่างแผ่วเบา แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีคุณสมบัติของความเอาแต่ใจตัวเอง…ในโลกใบนี้ ถ้าหากมีคนเช่นนั้น ที่รักท่าน เอาใจท่าน ให้อภัยท่านได้ทุกอย่าง เช่นนั้นท่านก็จะบุ่มบ่ามเอาแต่ใจตัวเองและกำเริบเสิบสาน
แต่ว่า ในยามที่ท่านไม่มีสิ่งใดเลย ท่านจะเอาแต่ใจตัวเองได้อย่างไร ท่านจะเอาแต่ใจตัวเองไปให้ใครดู
“ข้าสัมผัสได้ถึงลามปราณของนายน้อย ดังนั้นข้าจึงกลับมาแล้ว”
เซวียนหยวนสือเหลือบตาขึ้นมองไป๋เย่อย่างจริงจัง “พี่ใหญ่ไป๋เย่ ท่านล่ะ หาวิธีช่วยพี่สะใภ้หงอวี้ฟื้นคืนชีพได้แล้วหรือยัง”
“ยังเลย แต่ว่า…”
ไป๋เย่อดยิ้มออกมาไม่ได้ “ดอกเหมยน้อยโตขึ้นแล้วจริงๆ แถมยังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดี อืม งูน้อยตัวนั้น เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม”
ในเวลานี้ แววตาของไป๋เย่ก็จ้องไปยังกระจกวารีในห้องของเซวียนหยวนสือ และซูหว่านในกระจกวารีนั้นก็ยังคงนั่งสมาธิอย่างจดจ่อ
“ถึงแม้ว่าบนตัวของนางจะมีของตกทอดของท่านแม่อยู่ แต่ข้าก็ไม่รู้เลยว่านางเกี่ยวข้องอันใดกับนายน้อย ดังนั้นจึงได้ปล่อยให้ดอกเหมยน้อยอยู่กับนาง แต่ว่าดูไปแล้วนางก็ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ไป๋เย่ก็ยิ้ม และเหลือบมองเซวียนหยวนสือด้วยสายตามีความหมายลึกซึ้ง
เมื่อได้ยินคำพูดของไป๋เย่ ดวงตาของเซวียนหยวนสือที่ยืนอยู่ด้านข้างก็หม่นลง “ที่จริงแล้ว ท่านต้องการจะพูดว่าสร้อยข้อมือนั่นเป็นของแทนใจแห่งรักที่นายน้อยมอบให้นาง ดังนั้นต่อไปนางก็จะมาเป็นฮูหยินของนายน้อยแล้ว ใช่หรือไม่ พี่ใหญ่ไป๋เย่ ท่านคิดว่าข้าจะทำอย่างไรกับนาง ท่านคิดว่าข้าจะฆ่านางหรือ”
เซวียนหยวนสือรู้ว่าไป๋เย่กำลังกังวลสิ่งใดอยู่ ก็เหมือนกับที่ไป๋เย่รู้มาโดยตลอดว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่
นางเลื่อมใสศรัทธาเลี่ยเหยียนเซียนจวินมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ความเลื่อมใสศรัทธานั้นมีความรักใคร่ชื่นชมและเคารพศรัทธารวมเข้าด้วยกัน ต่อมาหลังจากที่เลี่ยเหยียนเซียนจวินและจิงหงเซียนจื่ออยู่ด้วยกัน นางรู้สึกไม่มีความสุขอยู่ระยะหนึ่ง ในตอนนั้น เมื่อจิงหงเซียนจื่อผู้มีนิสัยตรงไปตรงมาจับมือของนางไปวางบนท้องแล้วกล่าวว่า “เสี่ยวสือเจ้าทั้งฉลาดและน่ารักขนาดนี้ ต่อไปเมื่อข้ามีบุตรแล้ว เจ้าก็มาอยู่กับเขาเถอะ! ข้าขอหมั้นหมายเจ้าให้กับเขา เจ้ายินยอมหรือไม่”
ในดินแดนแห่งการฝึกฝนบำเพ็ญเซียน ช่องว่างระหว่างวันไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเซวียนหยวนสือในตอนนั้นเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบหกปีเท่านั้น
อันที่จริง สวีชิ่นในเวลานั้นก็ไม่รู้หรอกว่าเด็กในท้องตัวเองนั้นเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง บางทีนางอาจเพียงแค่ต้องการปลอบโยนสาวน้อยที่หลงทางเท่านั้น แต่สิ่งที่นางไม่คาดคิดก็คือ เซวียนหยวนสือคิดเป็นจริงเป็นจังแล้ว
นางเป็นคนที่ใสซื่อและยืนหยัดในความคิดของตนเอง
นางจำคำพูดของจิงหงเซียนจื่อ และคิดว่านางจะมีชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อนายน้อยตลอดไป…
นายน้อย ถึงแม้ว่าท่านจะไม่รู้จักข้า
แต่ว่าข้ารอคอยท่านมาถึงห้าพันปีแล้วจริงๆ