ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 16 บททดสอบบำเพ็ญเพียร (16)
วันถัดมา พระอาทิตย์ส่องแสงสว่างจ้า
ซูหว่านฟื้นสติขึ้นจากการนั่งขัดสมาธิ ไม่นานจากนั้นก็ได้ยินเสียงเปิดประตูในห้องถัดไป จากนั้นเสียงจากในลานกว้างก็เริ่มดังขึ้น
ดูเหมือนว่าทุกคนจะไม่สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้
เมื่อถึงเวลาของการสอบรอบที่สอง ผู้สมัครมากกว่าหนึ่งร้อยคนที่เข้าสู่รอบที่สองทั้งหมดได้ติดตามหัวหน้าผู้คุมสอบของสำนักจื่อหยางไปยังสถานที่ทำการทดสอบครั้งที่สองใต้ประตูภูเขาสำนักจื่อหยาง
สำนักจื่อหยางตั้งอยู่บนยอดเขาของภูเขาเลี่ยหยาง ภูเขาเลี่ยหยางเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งโด่งดังมากในแดนเซียนคุนหลุน ว่ากันว่าเมื่อแปดพันปีก่อนเลี่ยเหยียนเซียนจวินบรรลุโดยหันหน้าเข้าหาพระอาทิตย์บนเขาลูกนี้ ต่อมาภูเขานี้จึงถูกเรียกว่าภูเขาเลี่ยหยาง (สุริยาแผดเผา)
แน่นอนว่า ตำนานมักจะลึกลับและมหัศจรรย์อย่างยิ่ง แต่อันที่จริง เมื่อแปดพันปีก่อน เลี่ยเหยียนเซียนจวินเพียงแค่ไล่ตามภรรยาของเขาก็เท่านั้น ทั้งยังไล่ตามนางอย่างหน้าด้านไร้ยางอายมาจนถึงที่นี่เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้น…
“การสอบรอบที่สองในวันนี้ง่ายมาก จากประตูภูเขาด้านหน้าของพวกเราถึงประตูหลักบนภูเขามีบันไดทั้งหมดสามพันหนึ่งร้อยยี่สิบเก้าขั้น ทุกคนที่สามารถเข้าถึงประตูหลักได้ภายในหนึ่งชั่วยามจะกลายเป็นลูกศิษย์สายนอกของสำนักจื่อหยาง!”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้คุมสอบพูด และมองไปยังขั้นบันไดที่สูงตระหง่านต่อหน้าผู้คน ใบหน้าของทุกคนพลันเคร่งขรึม
การประเมินศิลปะการต่อสู้นั้นยากมาก อันที่จริง มีคนมากกว่าหนึ่งร้อยคนที่มาที่นี่เป็นครั้งแรก และพวกเขาตระหนักดีถึงความลึกลับในเรื่องนี้…
จากประตูภูเขาของสำนักจื่อหยางไปจนถึงประตูหลักของสำนัก มีผู้รักษาการณ์มากกว่าหนึ่งโหลบนบันไดสั้นๆ สามพันขั้นนี้ และมีผู้คุมสอบเพียงห้าคนเท่านั้นในการประเมินนี้!
ในตอนที่รับสมัครลูกศิษย์สายในพวกเขาจะเปิดอาคมหลากหลายรูปแบบ ทดสอบจิตใจ ความอุตสาหะ และศักยภาพของบุคคล ยิ่งมีศักยภาพมาก เขาจะยิ่งไปได้เร็วขึ้น สำหรับลูกศิษย์เช่นนี้ การเข้าสู่สำนักย่อมเป็นขนมให้ผู้อาวุโสสูงสุดแย่งชิงกันไปเป็นธรรมดา
ในขณะการรับสมัครลูกศิษย์สายนอก สำนักจื่อหยางจะเปิดเฉพาะค่ายกลมายาจิตมาร ค่ายกลนี้เป็นไปตามชื่อ มันใช้ทดสอบจิตมารในจิตใจของคุณ ลักษณะนิสัยของคุณ ถ้าหากจิตใจของคุณไม่มีตำหนิ ไม่หม่นหมอง แน่นอนว่ายอมเดินไปได้ไวมาก และทุกครั้งที่คุณไปถึงจุดสิ้นสุด คนที่ออกมาช้าที่สุดคือคนที่จิตใจไม่ดีหรือมีเจตนาร้ายแอบแฝง โดยทั่วไป คนเหล่านี้จะไม่ถูกสำนักจื่อหยางเลือก
ขณะที่การทดสอบเริ่มต้นขึ้น มองดูนาฬิกาทรายค่อยๆ ไหลลงไปทีละน้อย ผู้มาใหม่หลายคนต่างกำลังตะเกียกตะกายปีนบันได อย่างไรก็ตาม บางคนก็ยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่ได้เดินแม้แต่สองสามก้าว ทันใดนั้นใบหน้าก็ซีดขาวและอาเจียนออกมาเป็นเลือด นี่คือการกัดกินจากมารภายในใจของตัวเขาเอง
เมื่อเห็นว่าบางคนถูกไล่ออกจากที่เกิดเหตุเพราะจิตมารหนักหนาเกินไป ผู้สมัครเก่าที่ยังคงยืนอยู่ที่ประตูภูเขาต่างถอนหายใจ มีผู้คนตายที่นี่ทุกปี นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรอีกต่อไป
สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักนั้นไม่ง่ายเลย ทุกคนต่างก็พยายามสุดตัวสุดชีวิตเพื่อให้มีที่พักพิงนี่ ใครก็ตามที่สามารถต่อสู้มาจนถึงตอนนี้ด้วยตัวเองได้ ใครจะกล้าบอกว่าตัวเองมือสะอาด และมีหัวใจสีแดงบริสุทธิ์
ซูหว่านมองไปยังบางคนที่สามารถเดินไปได้หลายร้อยก้าวแล้ว นางอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก้าวเท้าขึ้นไปสู่บันไดก้าวแรก สบายมาก ก็ไม่ต่างกับการเดินขึ้นบันไดในยามปกติ
ซูหว่านเดินไปอย่างสม่ำเสมอตลอดทาง ผ่านไปลมหายใจเดียวก็ไปถึงขั้นที่สามร้อย ในเวลานี้ที่ด้านหลังของนางมีผู้คนจำนวนมากถูกกำจัดออกไป แต่เบื้องหน้าของนางก็ยังมีเงาของอีกหลายคนที่กำลังเดินอย่างยากลำบาก
ในเวลานี้ที่หน้าประตูหลักของยอดเขา มีร่างสี่ร่างยืนเคียงข้างกัน พวกเขาทั้งหมดสวมชุดคลุมสีทอง ซึ่งเป็นชุดคลุมของศิษย์ชั้นยอดของสำนักจื่อหยาง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ปีนี้ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักที่มาเข้าร่วมการทดสอบมีพลังบำเพ็ญที่ไม่เลวเลย จิตใจก็ดี และน่าจะแข็งแกร่งกว่าปีที่แล้วมากเลยนะ!”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านว่าในบรรดาคนเหล่านี้จะมีคนมีโอกาสก้าวเข้าสู่การเป็นศิษย์สายใน หรือแม้แต่ศิษย์ชั้นยอดของสำนักหรือไม่”
เมื่อได้ยินการสนทนาของเหล่าศิษย์น้องข้างกาย จางเจิ้งอี้ลูกศิษย์คนโตของบรรดาศิษย์หนุ่มสาวแห่งสำนักจื่อหยาง เขาเพียงแต่มองลงไปยังผู้คนเบื้องล่างเหล่านั้นด้วยสีหน้าสงบ “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตราบใดที่พวกเขาสามารถมีส่วนร่วมในการต่อสู้เพื่อสำนัก พวกเขาล้วนควรค่าแก่การอบรมสั่งสอน”
ขณะที่พูด จางเจิ้งอี้จ้องมองไปยังหญิงสาวในชุดม่วงโดยไม่ตั้งใจ ฝีเท้าของนางเร็วราวกับบินได้ ภายในชั่วพริบตาก็ขึ้นไปได้ถึงพันก้าว เป็นระดับความเร็วที่เร็วมาก!
จิตมารระดับต่ำไม่สามารถส่งผลต่อความเร็วของนางได้เลย เช่นนั้นถ้าเป็นจิตมารระดับสูงล่ะ
คนไม่ใช่นักบุญ ภายในใจของทุกคนย่อมมีข้อบกพร่องไม่เล็กก็ใหญ่ จางเจิ้งอี้ไม่เชื่อหรอกว่า บนโลกนี้จะมีคนที่ไม่มีข้อบกพร่องเลย!
ซูหว่านที่เดินขึ้นไปถึงบันไดขั้นที่เก้าร้อย จ้องมองไปยังร่างในชุดสีม่วงที่อยู่ข้างหน้า นั่นไม่ใช่สาวใช้ชุดม่วงที่อยู่ข้างกายเยี่ยเฉิงหรือ คิดไม่ถึงเลยว่านางจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้!
แต่ว่า ก็สามารถมองออกได้ว่า สาวเสื้อม่วงคนนี้ใจร้อน ไม่ยอมถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ซูหว่านพักอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ข้างหลังตามขึ้นมาแล้ว นางจึงเริ่มออกเดินไปช้าๆ หนึ่งพัน หนึ่งพันหนึ่งร้อย หนึ่งพันสามร้อย หนึ่งพันห้าร้อย…เมื่อซูหว่านขึ้นไปถึงขั้นที่หนึ่งพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้า นางรู้สึกเพียงเวียนหัวตาลาย ทันใดนั้นร่างของนางก็อยู่ในสวนดอกไม้ที่แสนคุ้นเคย
ที่นี่คือสวนดอกไม้หลังบ้านของตระกูลซู เวลานี้ในสวนดอกไม้มีเสียงครวญครางดังออกมา ซูหว่านเดินไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว ข้างในสวนดอกไม้นั้น ปรากฏร่างของคนสองคนกำลังร่วมรักกัน
สองคนนั้นคือพี่สาวของนางซูโหยว และยังมีคู่หมั้นของนาง สิงอี้
“หึ”
ซูหว่านหัวเราะเสียงเย็น เสียงหัวเราะนั้นทำให้สองคนในสวนที่กำลังร่วมรักกันได้สติกลับมา…
“เสี่ยวหว่าน!”
ซูโหยวดึงเสื้อผ้าขึ้นมาปกปิดร่างกายของตัวเองด้วยความตื่นตระหนก ใบหน้าที่ซูหว่านคุ้นเคยนั้นมีสีหน้าเศร้าโศกเสียใจอย่างมาก
หลังจากโดนจับได้คาหนังคาเขาขนาดนี้ยังทำสีหน้าอย่างนี้ได้หรือ
“ซูหว่าน เจ้าอย่าทำให้เสี่ยวโหยวลำบากใจเลย ข้า…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้ารักนาง แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าก็รักเพียงนาง ข้าเป็นเพียงตัวแทนของนางเท่านั้น”
ซูหว่านหัวเราะออกมา หัวเราะไปพลางและเด็ดดอกกุหลาบสีแดงที่อยู่ข้างกายไปพลาง หนามบนก้านดอกกุหลาบแทงทะลุนิ้วมือที่ขาวอ่อนนุ่มของซูหว่าน ทำให้เลือดสีแดงสดหยดลงมา
“แค่ตัวแทนหรือ สิงอี้ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นอะไรในใจข้าหรือ แม้แต่ตัวแทนเจ้าก็ไม่คู่ควร!”
ขณะที่กำลังพูดซูหว่านก็สะบัดมือขึ้น กลีบดอกกุหลาบก็ค่อยๆ ร่วงลงมาอย่างช้าๆ ภาพทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้านั้นกระจัดกระจาย และซูหว่านไม่ลังเลใจที่จะก้าวขึ้นไปบนบันได้ขั้นที่สองพัน!
หลังจากบันไดขั้นที่สองพัน ซูหว่านเดินได้ช้ามาก แม้กระทั่งรอบตัวนางก็แทบจะไม่มีใครมากนัก ในสายตาของนางก็มีเงาเพียงสองร่างเท่านั้น
เงาหนึ่งเป็นร่างในชุดสีม่วง ตอนนี้ นางหยุดอยู่ที่บันไดขั้นที่สองพันห้าร้อยและดูเหมือนจะเดินต่อไปไม่ได้ และอีกคนหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป ซูหว่านเห็นแต่เพียงเงาด้านหลังของเขา มองจากด้านหลังน่าจะเป็นผู้ชายกระมัง
จะเป็นเยี่ยเฉิงไหม ซูหว่านรู้สึกว่าบนตัวของเยี่ยเฉิงมีความรู้สึกลึกลับบางอย่างแผ่ออกมา เป็นความรู้สึกลึกลับที่อันตรายมาก
นางสงบจิตสงบใจลงและเดินต่อไปจนถึงบันไดขั้นที่สองพันห้าร้อย ซูหว่านรู้สึกเพียงความปวดหัว ในสายตามีเพียงแสงไฟปรากฏขึ้นเต็มไปหมด
ท่ามกลางไฟนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนของตระกูลฉินหรือตระกูลซู พวกเขาไม่มีหนทางให้หนีได้เลย ทุกคนต่างพากันคร่ำครวญด้วยความตื่นตระหนก
ทุกคนตายหมดแล้ว ไม่น่าจะมีใครรอดชีวิตเหลืออยู่เลย
“นี่เป็นของขวัญแต่งงานที่ฉันเตรียมไว้ให้กับนาย! ดอกไม้ไฟที่หรูหราที่สุดในประวัติศาสตร์ หลีเฝ่ยนายชอบหรือเปล่า”
ซูหว่านได้ยินเสียงเย็นชาของหญิงผู้หนึ่ง เมื่อนางหันกลับไป ก็มองเห็น ‘ตัวเอง’ ในชุดเพื่อนเจ้าสาวสีขาว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มยืนอยู่ข้างหน้าของชายผู้หนึ่ง
“เสี่ยวหว่าน เธอรู้ตัวไหมว่านางกำลังทำอะไรอยู่” ใบหน้าอ่อนโยนสง่างามของหลีเฝ่ยปรากฏความเสียใจออกมา “ทุกอย่างถูกเธอทำลายไปหมดแล้ว โลกนี้ก็กำลังจะแตกสลาย ซูหว่าน ไม่มีใครจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”
“นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ สิ่งที่ฉันซูหว่านไม่ได้มา ฉันก็จะต้องทำลายให้สิ้นซาก!”
‘ซูหว่าน’ ยิ้มเยาะพลางมองชายตรงหน้า “ทุกคนตายด้วยกันทั้งหมดไม่ดีกว่าเหรอ ฉันจะสู้ต่อไปจนชาติหน้านายตายแต่ฉันมีชีวิตอยู่ต่อ!”
ขณะที่พูดเธอก็ยกรีโมตคอนโทรลในมือขึ้น เพียงแค่เธอกดปุ่มลงไป พื้นที่ของวิลล่าทั้งหมดก็จะระเบิด กลายเป็นทะเลเพลิงแห่งการชำระล้าง
“ภรรยา เลิกเล่นได้แล้ว”
ณ ช่วงเวลาเส้นยาแดงผ่าแปดนี้ ก็มีเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลดังขึ้นมาจากด้านหลังของซูหว่าน
เสียงนี้คือ…
ซูหว่านหันกลับมาอย่างดุดัน ทะเลเพลิงรอบๆ พลันมลายหายไป และหลีเฝ่ยก็หายไป มีหมอกเต็มไปทั่วผืนฟ้า มีเพียงร่างที่เพรียวบางและสง่างามเท่านั้นที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าซูหว่าน
หัวใจของซูหว่านเต้นแรงมาก เธอรีบวิ่งตามไปยังร่างนั้น ใกล้แล้ว ยิ่งใกล้เข้าไปทุกที
ในที่สุดเมื่อเธอจับมือเขา ร่างเพรียวนั้นก็ค่อยๆ หันกลับมา และมองเห็นเพียงดวงตาที่เย็นชาและเฉียบคมคู่หนึ่งภายในหมอกนั้น
ซูหว่านลืมตาขึ้นมาทันใด
หมอกรอบกายพลันหายไป นางได้ออกมากจากภาพลวงตาแล้ว
แต่ขณะนี้มีคนคนหนึ่งยืนอยู่ข้างนาง นิ้วของเขาจับปลายนิ้วที่เย็นเฉียบของนางอย่างอ่อนโยน
“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
ในน้ำเสียงที่เย็นชาของผู้ชายมีความกังวลปนอยู่เล็กน้อย
ทันทีที่ซูหว่านหันศีรษะกลับไปก็พบกับใบหน้าหล่อเหลาที่น่าเกรงขามของเยี่ยเฉิง