ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 13 บททดสอบบำเพ็ญเพียร (13)
สำนักจื่อหยางตั้งอยู่ทางเหนือของแดนเซียนคุนหลุน นอกจากนี้ยังเป็นสำนักบำเพ็ญเซียนขนาดใหญ่ที่สืบทอดยาวนานมากว่าหมื่นปี เจ้าสำนักคือผู้ถูกเรียกขานว่าจื่อหยางเจินเหริน
จื่อหยางเจินเหรินปัจจุบันมีอายุมากกว่าหนึ่งพันปี พลังบำเพ็ญนั้นยากแท้หยั่งถึง โลกภายนอกต่างลือกันว่าแท้จริงแล้วเขาได้ข้ามผ่านระดับมหาเมธีมานานแล้ว และได้ไปถึงระดับพิชิตเคราะห์กรรมขั้นสมบูรณ์สามารถบรรลุเป็นเซียนได้แล้ว แต่เนื่องจากศิษย์อนุชนรุ่นใหม่ในสำนักจื่อหยางยังไม่มีต้นกล้าที่ดีพอที่จะแบกธงได้ ดังนั้นเขาจึงบังคับและกดระดับของตัวเองไว้ จุดประสงค์ก็คือต้องการอยู่ในแผ่นดินใหญ่ชางเย่ว์ให้นานขึ้นอีกช่วงหนึ่ง ปลูกฝังผู้สืบทอดที่โดดเด่นให้กับสำนักอย่างดีที่สุด
ในตอนที่ซูหว่านและดอกเหมยน้อยเร่งรีบมาถึงภูเขาเลี่ยหยางอันเป็นที่ตั้งของสำนักจื่อหยาง ก็พอดีกับเป็นวันสุดท้ายที่สำนักจื่อหยางเปิดภูเขารับลูกศิษย์จากภายนอก
สำนักพรรคในแดนเซียนคุนหลุนเหล่านี้ยังมีกฎเกณฑ์มากมายในการเปิดภูเขารับลูกศิษย์ สำนักที่เปิดรับลูกศิษย์ทุกๆ สามปีห้าปีล้วนเป็นสำนักเล็กๆ พวกเขาล้วนเป็นสำนักที่ค่อนข้างขาดคน แต่สำนักใหญ่ๆ มักจะเปิดรับลูกศิษย์ในทุกๆ ห้าปีสิบปี และแน่นอนว่าลูกศิษย์เหล่านี้ล้วนหมายถึงผู้มีอายุต่ำกว่าสิบหกปี และเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วน และเป็นเหล่าเด็กชายหญิงที่สามารถปลูกฝังให้เป็นลูกศิษย์ชั้นยอดได้
เนื่องจากสำนักใหญ่นั้นมีกิจการมากมาย และผู้คนในสำนักล้วนมีงานยุ่งไม่ว่างเว้น และทุกๆ ปีพวกเขาจะกำหนดวันเปิดภูเขาของสำนักแล้วเลือกผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักเข้ามาเป็นพิเศษ เพื่อเติมให้เต็มจำนวน
แน่นอนว่าผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักเหล่านี้โดยทั่วไปแล้วเป็นได้เพียงลูกศิษย์ชั้นนอกเท่านั้น หรือเป็นศิษย์จัดการธุระทั่วไปชั้นนอก มีเพียงผู้ที่ผ่านการทดสอบหลายปีหรือมีส่วนในการสร้างคุณงามความดีที่ยิ่งใหญ่ให้กับสำนักเท่านั้น จึงจะมีโอกาสได้ก้าวเข้าสู่ประตูชั้นใน ไปจนถึงตำแหน่งที่สูงกว่านั้น
หากซูหว่านต้องการเข้าสำนักจื่อหยางก็มีเพียงเส้นทางนี้เท่านั้น อย่างไรเสียรูปลักษณ์ของนางในตอนนี้ก็ดูเหมือนอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีแล้ว นางไม่สามารถรออีกหกหรือเจ็ดปีกว่าสำนักจะเปิดรับคนเข้าไปในสำนักใหญ่อีกครั้ง
“ใส่ลมปราณในกายของเจ้าลงไปในหินก้อนนี้!”
เมื่อมาถึงคราวของซูหว่าน ผู้ตรวจสอบที่อยู่เบื้องหน้าก็ยื่นหินเก็บปราณชิ้นหนึ่งมาตรงหน้าซูหว่าน หินก้อนนี้เดิมทีไม่มีพลังงวิญญาณ เป็นเหมือนกับช่องว่างมิติเล็กๆ ที่สามารถกักเก็บพลังวิญญาณของคนผู้หนึ่งไว้ได้นาน และขึ้นอยู่กับพลังบำเพ็ญของแต่ละคน หินเก็บปราณจะเปล่งแสงออกมาไม่เหมือนกัน
ซูหว่านถือหินเก็บปราณไว้ในมือ หลังจากนั้นไม่นานหินเก็บปราณก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากสีขาวกลายเป็นสีเหลือง ทันใดนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีส้มเล็กน้อยอีกครั้ง
“ระดับสร้างรากฐานขั้นกลาง!”
ผู้ตรวจสอบดูเหมือนจะพึงพอใจกับพลังบำเพ็ญของูซหว่านมาก ใช่แล้ว ลูกศิษย์ภายนอกที่พวกเขาเปิดรับสมัครนั้นไม่จำเป็นต้องมีพรสวรรค์มากนัก แต่พลังบำเพ็ญก็ไม่ควรต่ำเกินไป ระดับสร้างรากฐานขั้นกลาง ขั้นปลาย ขั้นสมบูรณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาชอบ
“เอ้า นี่เป็นป้ายหมายเลขของเจ้า เมื่อเข้าเมืองแล้วให้กดหมายเลขของเจ้าเพื่อเข้าพำนัก พรุ่งนี้เข้าร่วมการสอบรอบสองต่อ”
ผู้ตรวจสอบมองป้ายหมายเลขให้ซูหว่านจากนั้นเงยหน้าขึ้นและตะโกนขึ้นเบาๆ “คนต่อไป!”
ซูหว่านเหลือบมองป้ายหมายเลขของตัวเอง ปรากฏ ‘หมายเลข 99’ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ไม่เลวเลยจริงๆ จากประตูเขาเข้าไปสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าซูหว่านก็คือถนนกว้างเส้นหนึ่ง ที่นี่คือเมืองจื่อหยางที่อยู่ภายใต้การปกครองของสำนักจื่อหยาง และยังเป็นเส้นทางเดียวที่จะเข้าออกสำนักจื่อหยางได้ คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในเมืองจื่อหยางล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียร และยังมีพวกศิษย์จัดการธุระทั่วไปชั้นนอกของสำนักจื่อหยางด้วย แน่นอนว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่ที่นี่เป็นจำนวนน้อย โดยทั่วไปแล้วพวกเขาเป็นผู้ดูแลกิจการแดนมนุษย์ที่อยู่ภายใต้สำนักจื่อหยาง เนื่องจากเหล่าบรรพบุรุษได้ทำงานอย่างหนักเพื่อสำนักจื่อหยางมาหลายชั่วอายุคน พวกเขาจึงมีโอกาสตั้งรกรากอยู่ภายใต้ภูเขาเลี่ยหยางที่เต็มไปด้วยพลังเหนือธรรมชาติ
ซูหว่านทำตามคำแนะนำของเหล่าลูกศิษย์ที่อยู่ด้านข้างและมาถึงตำแหน่งที่เหล่าลูกศิษย์ของผู้สมัครในครั้งนี้ทั้งหมดอาศัยอยู่ นางหยิบหมายเลขของนางขึ้นมา และเด็กรับใช้ตัวน้อยในอาคารก็เชิญนางไปที่ชั้นสองด้วยความเคารพในทันที
“สหายท่านนี้ นี่คือห้องของท่าน เมืองจื่อหยางของเรามีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด หลังพลบค่ำขอความกรุณาไม่ออกไปเดินเล่นตามใจ พรุ่งนี้ผู้ตรวจสอบจะพาทุกท่านไปสถานที่จัดการสอบรอบสอง”
หลังจากเรียบเรียงคำพูดบอกแก่ซูหว่านแล้วสองสามประโยค เด็กรับใช้หนุ่มก็จากไปอย่างรวดเร็ว
ซูหว่านที่เล่นป้ายหมายเลขอยู่ในมือของตัวเองอยู่สองสามครั้ง เตรียมจะผลักประตูเข้าไปในห้อง ในขณะนั้น ประตูห้องของหมายเลขเก้าสิบแปดที่อยู่ด้านข้างก็เปิดออกทันทีทันใด ชายหนุ่มในชุดดำก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าซูหว่าน “สวัสดี เจ้าก็มาเพื่อทดสอบลูกศิษย์ชั้นนอกด้วยหรือ”
เสียงของชายผู้นั้นต่ำและมีเสน่ห์เป็นพิเศษ ซูหว่านมองใบหน้าที่ชั่วร้ายแต่มีเสน่ห์ของเขาแล้วพยักหน้าเบาๆ “อืม ใช่”
“ข้าชื่อเยี่ยเฉิง เจ้าล่ะ”
เยี่ยเฉิงพูดไปพลาง เลิกคิ้วยิ้มให้ซูหว่านไปพลาง
รอยยิ้มจางๆ ค่อยๆ ผุดขึ้นจากใบหน้าชั่วร้ายของเขา ดูเหมือนจะทำให้เขาดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อยและเย็นชาน้อยลง
“ข้าชื่อเสี่ยวชิง”
ซูหว่านยังคงใช้ชื่อที่นางโดนคุณชายมั่วแกล้งตั้งให้ เอาเถอะ นางไม่ยอมรับหรอกว่านางชินกับชื่อนี้แล้ว นางก็แค่ขี้เกียจเปลี่ยนชื่อตัวเองก็เท่านั้น
“เสี่ยวชิง?”
เมื่อได้ยินชื่อของซูหว่าน เยี่ยเฉิงก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขายังต้องการพูดอะไรต่ออีก แต่ในเวลานี้เองร่างสีม่วงก็ถลันเข้ามาอย่างรวดเร็ว “คุณชาย อาหารที่ท่านต้องการข้าสั่งไว้หมดแล้ว ได้เวลาทานแล้ว!”
“อืม”
เยี่ยเฉิงพยักหน้า จากนั้นเขาก็หรี่ตามองซูหว่านที่อยู่ด้านหลัง “ข้าไปทานอาหารแล้ว ขอให้เจ้าโชคดี”
“อืม”
ซูหว่านรับคำและหันหลังเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง
“คุณชาย”
เมื่อจื่อเย่รู้สึกว่าซูหว่านเข้าไปในห้องแล้ว จึงหันไปหาเยี่ยเฉิงที่อยู่ข้างๆ “คุณชาย ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงท่านนั้นมีปัญหาอะไรหรือไม่”
“ไม่มี ข้าเพียงแค่คิดว่านางน่ารักดี ก็เลยทักทายเสียหน่อย”
เยี่ยเฉิงกล่าวกับตัวเอง ขณะที่พูดมุมปากของเขาก็ยกโค้งขึ้นด้วยความปีติยินดี เมื่อได้ยินคำพูดของเขา จื่อเย่ก็ไม่ได้พูดสิ่งใดต่อ แต่ในใจกลับตำหนิไม่หยุด…
เยี่ยเฉิงผู้นี้มักจะเย็นชาและกลัวความวุ่นวาย เขาจะสามารถทักทายผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไร
ดูเหมือนว่าตัวนางยังต้องสังเกตการเปลี่ยนแปลงของเยี่ยเฉิงให้มากกว่านี้…
ดึกดื่นที่เงียบสงัด
ในเวลานี้ซูหว่านและดอกเหมยน้อยผล็อยหลับไปในโรงเตี๊ยมของเมืองจื่อหยาง ในเวลานี้นางกลับไม่รู้ว่าในสันเขาที่ไกลออกไปจากภูเขาเลี่ยหยาง เชียนเอ๋อร์และจิวกำลังถูกกลุ่มคนจำนวนมากไล่ตามฆ่า
“พี่จิว ข้าวิ่งต่อไม่ไหวแล้ว”
ในเวลานี้ ใบหน้าของเชียนเอ๋อร์ซีดเซียว นางหายใจหอบ นั่งลงบนพื้นหญ้า
“โธ่ บรรพบุรุษน้อยของข้า!”
เมื่อเห็นว่าเชียนเอ๋อร์กำลังจะยอมแพ้ต่อการหลบหนีแล้ว จิวก็แปลงร่างในชั่วพริบตาทันที ท่ามกลางราตรีที่มืดมิด ดอกไม้กินคนสีแดงขนาดใหญ่ โอบร่างที่ผอมบางของเชียนเอ๋อร์และตะบึงออกไปทันที
สวรรค์ นี่ข้าทำบาปกรรมอะไรไว้เนี่ย!
ในเวลานี้จิววิ่งไปพลางร้องไห้ในใจไปพลาง
วันนั้นหลังจากที่ซูหว่านพาดอกเหมยน้อยไปแล้ว เชียนเอ๋อร์ก็นอนหลับอยู่ตลอดเวลา คาดว่าคงใช้เวลาอีกนานกว่านางจะตื่น จิวที่ไม่ได้ออกมาจากหุบเขาสมุนไพรได้ง่ายนัก จึงอยากออกไปเดินเล่นเสียหน่อย นางนำเชียนเอ๋อร์ไปนอนพักโรงเตี๊ยมใกล้กับเรือข้ามฟาก จากนั้นก็ไปเดินซื้อของในเมืองใกล้ๆ คนเดียว สุดท้ายเมื่อดวงอาทิตย์ใกล้ตกดิน จิวก็กลับไปยังโรงเตี๊ยมแต่กลับพบว่าเชียนเอ๋อร์หายตัวไปแล้ว!
เนื่องจากเรือเดินสมุทรที่กลับไปยังหุบเขาสมุนไพรจะออกเดินเรืออีกครั้งในอีกสองวัน ดังนั้นจิวจึงมั่นใจว่าเชียนเอ๋อร์ยังไม่ได้กลับไปที่หุบเขาสมุนไพรแน่ เช่นนั้นนางจะไปที่ใดได้ หรือว่าจะไปตามเจ้างูน้อยกับดอกเหมยน้อยแล้ว
ต้องบอกว่า ในช่วงเวลาสำคัญ จิวกลับทายถูกขึ้นมาจริงๆ! เพียงแต่ ถึงแม้ว่าเชียนเอ๋อร์จะต้องการตามหาพวกซูหว่าน แต่นางกลับแยกแยะทิศทางได้ไม่ชัดเจน ดังนั้นจึงมุ่งไปยังเส้นทางไปยังสำนักไท่อี...
จิวที่สอบถามทิศทางของเชียนเอ๋อร์อยู่นั้น โชคดีที่สาวน้อยรู้จักพึ่งพาตนเอง จิวเดินอยู่สามวันก็พบเข้ากับเชียนเอ๋อร์
ในเวลานี้ สาวน้อยเป็นลมหมดสติอยู่ข้างถนน จิวร้อนใจต้องการพานางไปพักผ่อนที่โรงเตี๊ยม ผลก็คือทั้งสองคนต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้ระหว่างกลุ่มลูกศิษย์สำนักไท่อีกับกลุ่มคนชุดดำอีกกลุ่มหนึ่งก่อนจะออกจากป่า และที่น่าเศร้าก็คือ ลูกศิษย์ของสำนักไท่อีถูกฆ่าในอาณาเขตของตัวเองจนหมดสิ้น!
และในฐานะที่เป็นพยานเพียงคนเดียวของการฆ่าล้างบางนี้ จากนั้นมาจิวก็เริ่มต้นชีวิตอันโชกโชนด้วยการถูกไล่ตามฆ่า แน่นอนว่า นางยังต้องนำเจ้าเด็กน้อยเชียนเอ๋อร์ที่เดี๋ยวหลับเดี๋ยวตื่นหนีไปด้วย
จิว “…”
สรุปคือ พูดมากก็น้ำตาซึม! เจ้างูน้อย นายท่าน พวกเจ้าใครก็ได้มากช่วยพวกข้าที! โลกมนุษย์นี่อันตรายเกินไปแล้ว! ข้าอยากกลับหุบเขาสมุนไพร!