ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 151
ตอนที่ 151 ตาข่ายปฐพี
ที่กําแพงทางเหนือ นายทหารผู้ที่รับผิดชอบกําแพงเมืองเดินมาข้างๆหวังฟูเฉิงและก้มหัวลง “คารวะเจ้าวัง”
“เทพอสูรที่จัดการกับอสูรพวกนี้อยู่ไหนแล้ว?” หวังฟูเฉิงถาม
“หลังจากที่ท่านผู้นั้นแช่แข็งอสูรพวกนี้จนหมด เขาก็เปลี่ยนเป็นสายฟ้าและมุ่งไปทางเหนือขอรับ” นายทหารคนนั้นชี้ไปที่ภูเขานอกเมือง
”เข้าใจแล้ว” หวังฟูเฉิงพยักหน้าเล็กน้อยและกระโดดลงจากกําแพงเมือง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นลําแสงพุ่งไปทางภูเขา
หวังฟูเฉิงไปถึงที่ภูเขารกร้างโดยตามทางที่เหล่าอสูรทิ้งเอาไว้ เมื่อเห็นประตูพิภพที่กว้างกว่าร้อยจิ้งเขาก็หันไปรอบๆด้วยความงุนงง
“ศิษย์น้องหวัง” หลังจากที่เมิ่งชวนพูดจบ เขาก็กระโดดลงจากต้นไม้ลงมาบนพื้น
เมื่อได้เห็นเมิ่งชวนหวังฟูเฉิงก็ยิ้มออกมา “ศิษย์พี่เมิ่ง ข้ารีบมาหาหลังจากเสร็จงานในเมือง ข้าไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่ชีวิตที่จะต้องตายหากท่านไม่ได้มาช่วย”
“ไม่เป็นไรหรอก” เมิ่งชวนส่ายหน้าและกล่าวถาม ” แล้วเมืองฉงชานเสียหายอะไรบ้าง?”
“บางคนโดนลูกหลงระหว่างที่ราชาอสูรเข้าเมืองมา” หวังฟูเฉิงกล่าว “มีเพียงไม่กี่ร้อยคนที่เสียชีวิต”
เมิ่งชวนพยักหน้า นั่นถือว่าเป็นจํานวนผู้เสียชีวิตที่น้อยแล้ว! หากราชาอสูรเอาชนะเทพอสูรไปได้ล่ะก็ เมืองทั้งเมืองจะไม่เหลือซากเป็นแน่ และจะมีคนหลายหมื่นคนที่จะต้องตาย และนั่นคงจะเป็นเรื่องที่น่าสลดใจยิ่งนัก
เมิ่งชวนเห็นเมืองต้องถูกทําลายลงตั้งแต่ตอนอายุหกขวบ นั่นเป็นเหตุว่าทําไมเขาจึงไม่ปรานีพวกอสูรแม้แต่น้อย
“จะว่าไปแล้ว ศิษย์น้องหวัง นี่ก็ผ่านมาเกือบห้าปีแล้วสินะตั้งแต่ที่เจ้าลงมาจากเขาหยวนชู” เมิ่งชวนไม่พูดถึงความสูญเสียต่อ
“ใช่แล้วขอรับ” หวังฟูเฉิงพยักหน้าและกล่าว “หลังจากข้าลงจากเขา ข้าก็ไปประจําการอยู่ที่ด่านอันไห่เป็นเวลาสามปี เพราะมีราชาทะเลอันไห่อยู่จึงค่อนข้างจะปลอดภัย ศิษย์พี่เมิ่ง ท่านแข็งแกร่งกว่าพวกเรามาก ท่านได้ไปประจําการอยู่ที่เมืองด่านขนาดกลางหรือไม่?”
“ข้าประจําอยู่ที่ด่านเปยเหอ” เมิ่งชวนไม่ได้ปิดบังอะไร
“ในหมู่ศิษย์อย่างพวกเรา เทพอสูรมหาสุริยันที่ทรงพลังส่วนมากได้ไปประจําการอยู่ที่เมืองด่านขนาดกลางทั้งนั้น” หวังฟูเฉิงกล่าวอย่างคิดถึง
เมิ่งชวนพยักหน้า เทพอสูรมหาสุริยันของเขาหยวนชูนั้นมีระดับความแข็งแกร่งที่ต่างกันอย่างจอมยุทธระดับต้นๆเช่นจางหวินอู่ที่ไปถึงระดับเต่ําและใกล้จะได้เป็นเทพอสูรเดือนมืดมิด หรือมู่ฉิงและฟานเฉิงที่มีความสามารถมากต่างอยู่ในระดับสูงสุดของขอบเขตจิตวิญญาณ หยูจีหยาน ฉีฉิว และหยางจึงอู่ต่างไปถึงขอบเขตจิตวิญญาณขั้นสูง คนแรกฝึกร่างอสูรลวงตา คนที่สองฝึกร่าง เทพสว่างโชติ และคนสุดท้ายเก่งกาจในด้านเขตแดน พวกเขาสําคัญมากในสนามรบ
ส่วนเมิ่งชวนและหลิวชีเยว่นั้นเป็นอัจฉริยะที่หาเทียบได้ยาก พวกเขาไปถึงขอบเขตจิตวิญญาณขั้นสูงและยังมีร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษ หน้าที่ในสนามรบของพวกเขานั้นสําคัญไม่น้อยไปกว่าของจางหวินอู่เลย! พวกเขาได้มาประจําการที่เมืองด่านระดับกลางตั้งแต่ได้ลงจากเขา
เทพอสูรระดับมหาสุริยันอันดับต้นๆของเขาหยวนชูต่างได้ไปประจําการที่เมืองด่านขนาดกลาง ส่วนเทพอสูรที่เหลือนั้นถูกส่งไปที่ตาข่ายปฐพี
ส่วนเทพอสูรระดับมหาสุริยันคนอื่นๆที่พึ่งจะไปถึงขอบเขตของจิตวิญญาณมักจะถูกส่งไปป้องกันเมืองด่านขนาดเล็ก
หวังฟูเฉิงส่ายหัวและกล่าว “ข้าจําเป็นต้องเข้าถึงขอบเขตจิตวิญญาณขั้นสูงให้ได้ก่อนถึงจะไปเมืองด่านขนาดกลางได้ แต่ข้าก็ยังติดอยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตเจตจํานงและยังไม่ได้ขึ้นเป็นเทพอสูรระดับมหาสุริยัน”
“เจ้าพึ่งจะลงจากเขามาได้เพียงห้าปี ปกติใช้เวลาประมาณสิบถึงยี่สิบปีในการขึ้นเป็นเทพอสูรมหาสุริยันหลังจากลงมาจากภูเขา” เมิ่งชวนกล่าว “เอาล่ะ เจ้าควรจะรีบกลับไปได้แล้ว เมืองชานต้องการเจ้า และพอเทพอสูรจากเขาหยวนชูมาถึง เจ้าจะต้องต้อนรับเขาด้วย”
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอรบกวนให้ศิษย์พี่ดูแลตรงนี้ด้วยก็แล้วกัน” หวังฟูเฉิงกล่าวก่อนจะจากไป
เมิ่งชวนเก็บซ่อนกระแสพลังกลับไปและเฝ้ารอเทพอสูรที่จะมาทําหน้าที่แทนเขาอย่างเงียบๆอยู่บนต้นไม้
ตอนนี้เมืองฉงชานเต็มไปด้วยความยินดี ทางราชการได้ส่งคําสั่งออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งเมืองรับรู้แล้วว่าพวกเขาชนะและปลอดภัยดี! ทุกคนสามารถออกมาจากอุโมงค์ได้แล้ว
“อะไรนะ? เราชนะ?”
ในสํานักเต๋ เจ้าสํานักเต๋ เหล่าอาจารย์ ทหารและทหารผ่านศึกมากมาย รวมไปถึงเหล่าศิษย์ ที่ไปถึงระดับชําระแก่นแท้ดูจะตกตะลึง
“ถ้าพูดกันตามตรง กําแพงเมืองไม่น่าจะกันพวกอสูรไว้ได้นานขนาดนั้น พวกมันจะบุกเข้ามาในเมืองและประชาชนจะต้องสู้ป้องกันตัวเอง” อาจารย์คนหนึ่งที่ถือหอกเต็มไปด้วยความยินดี “ข้าไม่คิดเลยว่าสิ่งที่พวกเราทั้งสี่ทําลงไปนั้นสูญเปล่า พวกเราชนะโดยไม่ต้องเสี่ยงชีวิตด้วยซ้ํา อสูรพวกนั้นแพ้โดยสิ้นเชิง!”
“การที่พวกอสูรกล้าที่จะโจมตี พวกมันคงมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะเทพอสูรของเมืองฉงชานได้” หญิงวัยกลางคนที่สะพายดาบไว้สองเล่มถอนหายใจออกมา “พวกเราชนะโดยที่เมืองไม่ถูกทําลาย มันต้องมีเหตุผลบางอย่างเป็นแน่ หรือว่าจะมีเทพอสูรที่ทรงพลังอาศัยอยู่ใกล้ๆเมืองฉงชานของพวกเรากัน?”
“เทพอสูรที่ทรงพลังจะออกเดินทางตระเวนไปทั่วโลก พวกเขาอาจจะโผล่ไปที่เมืองใดก็ได้ และมีโอกาสที่จะมาที่เมืองฉงชานของเราเช่นกัน”
“ฮ่าฮ่า ช่างเป็นโชคดีสําหรับเมืองฉงชานของพวกเราเสียจริง ถือเป็นพรเลยก็ว่าได้!”
ทุกคนหัวเราะอย่างมีความสุข คนที่เคยเป็นทหารต่างรู้ดีว่ามันยากแค่ไหนในการต่อสู้กับอสูร ยิ่งเมื่อมีกองทัพอสูรจํานวนมากถาโถมเข้ามา มนุษย์จําเป็นต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อจะจัดการกับพวกมัน
พื้นที่สําคัญทั้งหมดอย่างสํานักเตทั้งหก บ้านของตระกูลเทพอสูรทั้งสี่ และคลังอาวุธของราชการในเมืองฉงชานต่างมีกองกําลังประจําการอยู่ใก้ลๆ
แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกอสูรก็มาถึงไวเกินไป ทหารธรรมดาจํานวนมากที่อยู่ในเมืองต้องเดินทางกว่ายี่สิบลี้เพื่อที่จะไปให้ถึงกําแพงเมืองทิศเหนือ เมื่อพวกเขาไปถึง กําแพงเมืองคงจะถูกทําลายไปนานแล้ว ดังนั้นแล้วเหล่าทหารและทหารผ่านศึกที่อยู่ใกล้กับกําแพงเมืองจึงมีหน้าที่ปกป้องมัน ผู้คนในเขตอื่นของเมืองก็ใช้พื้นที่ในการต่อสู้กับเหล่าอสูร พวกเขาจะต้องยื้อจนกว่ากําลังเสริมจะมา จากนั้นจึงจะชนะ
ทุกคนเตรียมใจที่จะเสียสละ อย่างไรก็ตาม พวกเขาชนะโดยไม่แม้แต่จะเห็นอสูรด้วยซ้ํา
“ไปกันเถอะ ไปดูที่กําแพงทิศเหนือว่าเกิดอะไรขึ้นกัน”
“เราเอาชนะพวกอสูรได้อย่างไรกัน?”
“ข้าสงสัยเหลือเกินว่ามีอสูรกตัวที่โจมตีเมืองฉงชานของเรา”
แม้จะรู้ว่าพวกเขาชนะ แต่หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะรีบไปที่กําแพงทิศเหนือ
ประตูเมืองยังคงปิดอยู่ แต่คนก็สามารถเดินขึ้นไปที่กําแพงเมืองไปดูได้ ทุกคนต่างตกตะลึงเมื่อได้เห็นอสูรที่ถูกแช่แข็ง
รูปสลักน้ําแข็งของอสูรสามหมื่นตัวนั้นเรียกได้ว่าเป็นภาพที่น่าเหลือเชื่อ ทหารมากมายไม่เคยเห็นอสูรจํานวนมากขนาดนี้ถูกแช่แข็งมาก่อนเลย
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เทพอสูรของเขาหยวนชูก็มาถึง
ฟุบๆๆๆ!
มีร่างสองร่างมายังทะเลสาบเสี้ยวจันทร์ และหวังฟูเฉิงที่กําลังรออยู่ตรงนั้นก็พบว่าเป็นชายร่างผอมกับชายชรา
“ศิษย์พี่นู” หวังฟูเฉิงทักทายหนึ่งในนั้นทันที เขารู้จักเพียงชายร่างผอมเท่านั้น แต่เขาไม่รู้จักชายชราคนนั้น
“อืม” ชายร่างผอมเหลือบมองซากของราชาอสูรก่อนจะถาม “ใครเป็นคนสังหารราชาอสูรกัน?”
“ศิษย์พี่เมิ่งผ่านมาและช่วยเมืองทั้งเมืองเอาไว้” หวังฟูเฉิงกล่าว
“โอ้ว” ชายร่างผอมพยักหน้าเล็กน้อย แล้วตอนนี้ศิษย์พี่เมิ่งอยู่ที่ไหน?”
“ประมาณหกล้ําทางเหนือของเมือง เขากําลังเฝ้าประตูพิภพอยู่” หวังฟูเฉิงกล่าว
“พี่กัว ข้าขอฝากซากราชาอสูรเหล่านี้ให้ท่าน เดี๋ยวข้าจะไปเฝ้าประตูพิภพ” ชายร่างผอมกล่าว ในแง่ของความแข็งแกร่งแล้วนั้น เขาแกร่งกว่าชายชราผู้นั้นเล็กน้อย
“ได้เลย” ชายชรายิ้ม
ชายร่างผอมหายไปและมุ่งไปทางเหนือ
บนภูเขารกร้าง ชายร่างผอมได้พบกับเมิ่งชวน
” ศิษย์พี่เมิ่ง” ชายร่างผอมกล่าวอย่างสุภาพ
“ศิษย์พี่ฉ?” เมิ่งชวนไม่เคยเห็นเขามาก่อน เพราะไม่ว่าอย่างไรฉุก็ลงจากเขามาได้กว่าสามสิบปีแล้ว แต่ว่าเขาจําหน้าศิษย์ของเขาหยวนชูได้ทุกคน
ที่เขาหยวนชูนั้น หากทั้งคู่แข็งแกร่งพอๆกัน ทั้งสองฝ่ายจะเรียกกันในฐานะศิษย์พี่หรือศิษย์พี่หญิง นี่ถือเป็นการแสดงความเคารพต่อกัน
แต่ด่านเปยเหอนั้นต่างออกไป ทุกคนในด่านเปยเหอนั้นเป็นทีมเดียวกันที่ต้องต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไปด้วยกัน เมิ่งชวนและหลิวชีเยวนั้นต่างเป็นมือใหม่ ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกคนอื่นๆว่าศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิง
“แม้ศิษย์จํานวนมากจะไม่ได้กลับไปที่เขาหยวนชูเป็นเวลานาน แต่พวกเราก็ได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามา” ชายร่างผอมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คนที่มีร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์และเรียนรู้วิชาของโลหะทมิฬได้ เจ้าแข็งแกร่งกว่าพวกเราที่ลงมาจากเขามาหลายสิบปีแล้วเสียอีก”
“ข้าพึ่งลงมาจากเขาได้ไม่นาน ไม่สามารถไปเทียบผลงานและความสําเร็จกับเหล่ารุ่นพี่ได้ทํา มาตลอดหลายสิบปีหรอก” เมิ่งชวนกล่าว
“ฮ่าๆ” ชายร่างผอมพลิกมือและหยิบตราสีม่วงออกมา ในนั้นมีคําเขียนเอาไว้ว่า “ผู้ไล่ล่า” “ศิษย์พี่เติ้ง เรามาคุยเรื่องธุระก่อนดีกว่า จากนี้ไปประตูพิภพจะอยู่ในการดูแลของตาข่ายปฐพีของพวกเรา”
“เข้าใจแล้ว” เมิ่งชวนพยักหน้า
ตาข่ายปฐพี..
เทพอสูรของเขาหยวนชูประมาณสามส่วนต่างอยู่ในตาข่ายปฐพี พวกเขาทําหน้าที่ไล่ล่าอสูร และจัดการกับนิกายอสูรฟ้า รวมไปถึงการตามหาประตูพิภพแห่งใหม่
ตาข่ายปฐพี่ยังควบคุมไปถึงหน่วยข่าวกรองของราชสํานัก มีมนุษย์ธรรมดาจํานวนมากคอยดูแลอยู่ในนั้น
ตําแหน่งผู้ไล่ล่าก็เป็นส่วนหนึ่งของตาข่ายปฐพี! อย่างไรก็ตามมันเป็นหน้าที่ที่พิเศษกว่าผู้ลาดตระเวน ผู้ไล่ล่าส่วนมากจะเป็นเฟิงโหวเทพอสูรและราในเทพอสูร ตาข่ายปฐพี่นั้นเป็นองค์กรที่ทรงพลังมาก ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถจัดการกับอสูรและราชาอสูรได้อย่างง่ายดาย เมื่อไรก็ตามที่พวกเขาพบกับราชาอสูรและอสูรฟ้าที่ไม่สามารถรับมือได้ ตอนนั้นก็จะเรียกกําลังเสริมมา และผู้ไล่ล่าก็จะรีบเข้ามาสังหารราชาอสูรและอสูรฟ้าที่ทรงพลังนั้นไป