พ่ายรักวิวาห์ลวง - ตอนที่ 117 งานเลี้ยง
หลังการออกกำลังกายอันดุเดือดผ่านพ้นไป ตอนนี้พวกเขาต่างฝ่ายต่างมองกันและกัน ด้วยความรู้สึกราวกับมองเท่าไร ก็มองได้ไม่จบไม่สิ้นโดยเฉพาะฮั่วฉินเยี่ยน เขามองคนตรงหน้าแทบไม่กะพริบตาเลยสักนิด
ยั่วยวนเสียจนเวินหลานฉีเองก็รู้สึกเขินอายอยู่บ้าง เธอจึงเอ่ยถามขึ้นมาอย่างประหลาดใจ “ทำไมคุณเอาแต่มองฉันแบบนี้ล่ะ” ที่สำคัญเพราะเธอรู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นตอนนี้คงไม่เป็นอย่างนี้หรอก อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนยังนอนอยู่บนเตียงดังเดิม จึงยากจะหลีกเลี่ยงความรู้สึกอับอายนี้
“ผมมองคุณแล้วไม่ถูกเหรอ งั้นผมควรมองใครล่ะ”
“ถึงยังไงคุณไม่ต้องมองฉันก็ได้นี่”
เวินหลานฉีพูดขึ้นมาอย่างไม่ลังเล เวลานี้เธอเขินจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่เป็นเช่นนี้หรอก หากแต่ฮั่วฉินเยี่ยนกลับรู้สึกสนใจยิ่งนัก เขาแค่ชอบมองท่าทางอายม้วนของเธอเป็นพิเศษ เพราะมันให้ความรู้สึกอยากจะปกป้องเธออย่างไรอย่างนั้น เขาถึงเอาแต่มองเธอไม่หยุดอยู่อย่างนี้ อย่างไรเสียการมีอยู่ของเธอนั้นพิเศษมากสำหรับเขาจริงๆ และไม่มีใครสามารถแทนที่ได้
วินาทีนี้เขาจึงพูดออกมาอย่างจริงจังยิ่งนัก ไม่ใช่เพียงแค่พูดตามใจปากเท่านั้น และหวังว่าเธอเองจะเข้าใจเช่นกัน เมื่อได้ยินเขาพูดขนาดนี้แล้ว เวินหลานฉีก็ไม่อยากสนใจเขาอีก กลับกันกลับลุกขึ้นทันที และเมื่อฮั่วฉินเยี่ยนเห็นเธอลุกขึ้น เขาจึงยื่นมือไปคว้าเธอเข้ามาในอ้อมกอดของเขา พร้อมทั้งมองคนในอ้อมกอด และเอ่ยถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ “คุณจะไปไหน”
น้ำเสียงของเขามักเจือแววหยอกล้อเสมอจนเธอทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง อย่างท่าทางในตอนนี้นี่แหละ จะว่าไปนึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเขาจะพูดออกมาด้วยสีหน้าและการกระทำเช่นนั้น เวินหลานฉีถึงกับนิ่งอึ้งของ และคิดอยู่นานกว่าจะพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ฉันจะไปห้องครัว ถึงคุณไม่กินข้าว แต่ฉันยังต้องกินนะ!”
น้ำเสียงที่ใช้พูดเจือแววขุ่นเคือง จะว่าไปตัวเธอเองอาจจะไม่ได้รู้สึกอะไร แต่คนฟังกลับรู้สึกราวกับเธอจงใจออดอ้อนโดยไม่รู้ตัว ฮั่วฉินเยี่ยนจึงโอบเธอเข้ามาในอ้อมกอดของเขา มือก็กอดเธอแน่นขึ้นราวกับสุดแสนเสียดายที่จะต้องปล่อยเธอไป
ตอนนี้พวกเขาทั้งสองต่างฝ่ายต่างมองอีกฝ่าย จนในใจเริ่มเกิดอารมณ์ชั่ววูบขึ้น ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงกอดอีกฝ่ายไว้ในอ้อมกอดแน่นกว่าเดิม อย่างไม่ยอมปล่อยเธอจากไปไหน
“คุณไม่หิว แต่ฉันยังหิวนี่ อย่ามาขวางฉันนะ ฉันจะไปกินข้าวแล้ว”
เวินหลานฉีมองค้อนคนตรงหน้านี้ไปทีอย่างจนปัญญา ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เธอก็แค่ไม่อยากสนใจมากขนาดนั้น แม้เวลานี้ท้องจะหิวอยู่นิดหน่อย แต่ที่สำคัญสุดคือจริงๆ แล้วเธอไม่อยากอยู่อย่างนี้ต่างหาก
ถึงอย่างไรก็เพิ่งผ่านเรื่องเมื่อกี้ไปหยกๆ ในใจเธอย่อมต้องขัดเขินมากอยู่แล้ว ดังนั้นเธอไม่อาจทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และอดยอมรับไม่ได้ไปช่วยขณะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฮั่วฉินเยี่ยนคิดไปคิดมา สุดท้ายแล้วก็ยอมปล่อยเธอไป จากนั้นเขาก็พลอยลุกขึ้นยืน สาวเท้าตรงไปยังห้องครัวเช่นกัน “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ผมช่วยคุณทำดีกว่า ทำเสร็จแล้วเราจะได้กินข้าวด้วยกัน แล้วก็ไปนอน”
“คุณชอบใช้ชีวิตแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำเอาฉันแปลกใจมากเลยนะเนี่ย”
คราวนี้เวินหลานฉียกยิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เธอเองไม่ได้คิดมากขนาดนั้น แต่มาถึงขั้นนี้แล้วบางอย่างก็ต้องพูดออกมาเสียหน่อย ความจริงชีวิตของพวกเขาทั้งสองคนตอนนี้ จะว่าไปก็มีความสุขเหลือเกิน ด้วยเพราะได้เห็นหน้าอีกฝ่ายในทุกๆ วัน สำหรับพวกเขาแล้วถือเป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุดเลยล่ะ
ดังนั้นจึงไม่ต้องการเรื่องอื่นไปมากกว่านี้อีกแล้ว มาถึงขั้นนี้พวกเขาหวังเพียงแค่ทุกอย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว แต่ไม่อยากไปนึกถึงมากขนาดนั้น ตอนนี้หวังเพียงเป็นอย่างนี้ไปทีละก้าวๆ เท่านั้น
เมื่อวันงานเลี้ยงมาถึง ทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมเสร็จสรรพแล้ว เวินหลานฉีมองชุดราตรีบนเรือนร่างของตัวเอง จะว่าไปความจริงเธอก็ไม่ได้ชอบเข้าร่วมงานเลี้ยงแบบนี้หรอก เพราะในงานมีคนมากมาย เธอคงต้องเข้าไปพูดคุยกับพวกเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ หนำซ้ำบางครั้งยังต้องพูดคุยเกี่ยวกับธุรกิจบ้าง ความจริงนี่ถือเป็นช่วงเวลาพักผ่อนอันหาได้ยากยิ่งเชียวนะ ใครมันจะไปชอบเข้าร่วมอะไรพรรค์นี้กัน
ทว่าในเมื่อรับปากไปแล้ว เธอผิดนัดไม่ได้แน่นอน ดังนั้นคิดไปคิดมา หลังจากเตรียมตัวพร้อมทุกอย่างแล้ว และเตรียมจะก้าวออกจากประตูนั่นเอง เธอกลับเห็นคุณผู้ช่วยเดินเข้ามา พร้อมกล่องในมือกล่องหนึ่ง ดูแล้วน่าจะเป็นกล่องของขวัญอะไรสักอย่าง
“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ คุณมาหาฮั่วฉินเยี่ยนใช่ไหม ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ อีกสักพักฉันต้องไปหาเขาอยู่แล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรละก็ ฉันจะช่วยบอกเขาให้นะ”
เวลานี้เวินหลานฉีเอ่ยพูดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ และทันทีที่เธอกล่าวจบ คุณผู้ช่วยก็รีบส่ายหน้าทันที เธอไม่ได้มาหาฮั่วฉินเยี่ยนอยู่แล้ว เธอจึงเอ่ยพูดกับคนตรงหน้าโดยไม่ลังเล “ฉันมาหาคุณต่างหากละคะ ท่านประธานให้ฉันเอาของสิ่งนี้มาให้คุณ”
หลังจากคุณผู้ช่วยพูดจบก็รีบยื่นกล่องในมือให้เวินหลานฉีทันที พอเธอรับกล่องนี้ไป คุณผู้ช่วยก็กลับหลังหันเดินจากไปทันที เธอมองของในมืออย่างมึนงง หลังจากคิดแล้วคิดอีก เธอจึงเปิดกล่องนั้นออก และพบว่าในกล่องนั้นมีสร้อยคอแสนสวยอยู่เส้นหนึ่ง
คงต้องบอกว่าสร้อยเส้นนี้สวยมาก ทั้งยังเหมาะกับชุดราตรีนี้ของเธอเหลือเกิน ที่แท้เขาคงพยายามอย่างหนักเลยสินะ ถึงได้ส่งสร้อยคอเส้นนี้มาให้เธอในเวลานี้ ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยเห็นสร้อยเส้นนี้มาก่อนเลย น่าจะเป็นรุ่นลิมิเต็ด ฉะนั้นบนโลกใบนี้คงไม่มีใครมีเหมือนและไม่เหมือนใครเลยก็ว่าได้
เวินหลานฉีสวมสร้อยเส้นนี้ลงบนคออย่างมีความสุขยิ่งนัก เมื่อมองสร้อยเส้นนี้เธอก็อารมณ์ดีขึ้นเยอะ จะว่าไปสร้อยเส้นนี้ช่วยขับให้ผิวขาวดุจหิมะเป็นพิเศษ และให้ความรู้สึกต่างไปจริงๆ
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว เธอจึงเดินออกจากห้องทันที ทั้งเธอและฮั่วฉินเยี่ยนต่างนัดแนะกันไว้ดีแล้ว และตอนนี้เขาน่าจะรอเธออยู่ที่นอกคฤหาสน์ เธอจึงรีบเดินไปยังคฤหาสน์นั่นทันที
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้เข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้ แม้ในใจจะรู้ขั้นตอนทุกอย่างดี แต่สำหรับงานเลี้ยงเช่นนี้ไม่ได้น่าสนใจพอจะเอ่ยถึงมากนัก ด้วยเพราะเธอเองก็ไม่ได้ชอบเข้าร่วมงานอะไรพรรค์นี้อยู่แล้ว หากแต่ตอนนี้กลับเพราะจำเป็นจริงๆ ถึงได้มาเข้าร่วม
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เธอจึงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แล้วเดินออกไปข้างนอก ทันทีที่เดินมาถึงข้างนอกเธอก็เห็นรถของฮั่วฉินเยี่ยน
ขณะเดียวกันเมื่อฮั่วฉินเยี่ยนเห็นเธอ เขาก็บีบแตรรถทันที หลังจากเวินหลานฉีได้ยินเสียงแตรรถนี้ เธอจึงสาวเท้าไปยังรถคันนั้น และเคาะกระจกรถเบาๆ
เวลานี้บานหน้าต่างรถค่อยๆ ลดระดับลงมา เธอมองลอดบานหน้าต่างรถไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างในรถ จากนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างจนปัญญา “บีบแตรรถทำไมเนี่ย ใช่ว่าฉันจะไม่ได้ยินสักหน่อย”
“ผมก็กลัวคุณเดินเลยไปไง เป็นไง สร้อยนั้นไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ”
คราวนี้ฮั่วฉินเยี่ยนกระตุกยิ้มมุมปากบางๆ รอยยิ้มของเขาแฝงไปด้วยความมีเสน่ห์ และเสน่ห์แบบนี้แหละ ถึงทำให้คนมือไม้อ่อนไปหมด จนบางครั้งก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรเหมือนกัน
“ก็ถือว่าใช้ได้”
แม้จริงๆ ในใจจะชอบเสียเต็มประดา แต่เธอก็ไม่อยากแสดงออกมามากนัก จึงทำได้เพียงพูดออกมาอย่างปากไม่ตรงกับใจ แล้วเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง
“ที่แท้ก็แค่ฝืนหรอกเหรอ คุณก็รู้นี่ว่าบนโลกใบนี้มีสร้อยเส้นนี้เพียงเส้นเดียว ผมสั่งทำเพื่อคุณเลยนะ และมันเป็นของคุณเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น”
คำพูดนี้ถูกพูดออกมาอย่างสบายๆ แต่กลับทำให้เธอใจเต้นแรงขึ้นมาในชั่วพริบตา เพราะบางคำพูดนั้นบางครั้งคุณอาจจะไม่รู้ตัวเลยก็ได้ ว่าทำให้รู้สึกเหมือนจะตายเสียให้ได้ แต่เมื่อคุณได้ยินคำพูดเหล่านี้ขึ้นมาจริงๆ คุณก็จะเข้าใจได้ในทันที ว่าสำหรับคุณแล้วบางคำพูดนั้น ทำให้คุณทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้างจริงๆ
อย่างคำพูดพวกนี้ที่ซึมลึกเข้าไปในจิตใจจนดึงออกมาไม่ได้อีกแล้ว เพราะสำหรับบางคนมันสำคัญที่สุดจริงๆ เมื่อก่อนอาจจะไม่เคยคิดมากขนาดนี้ หากแต่ตอนนี้วินาทีนี้ มันให้รสชาติอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ
เวลานี้เวินหลานฉีนั่งอยู่ในรถเงียบๆ โดยไม่พูดไม่จาอะไรเลยแม้แต่คำเดียว แต่เธอรู้แจ้งแก่ใจดีที่สุด เพราะบางคำพูดนั้นได้แทรกซึมลึกเข้าไปในใจของเธอ แม้เธอจะไม่พูดอะไรสักคำ แต่เธอกลับรู้แจ้งแก่ใจดี และเธอก็เข้าใจทุกความรักของคนตรงหน้านี้ที่มีต่อเธอดีเช่นกัน
“ถ้าผ่านไปสักพักแล้วคุณรู้สึกว่างานเลี้ยงมันน่าเบื่อ เราสองคนค่อยแยกตัวออกมาก่อนแล้วกันนะ ถึงยังไงผมก็ไม่ได้สนใจเรื่องพรรค์นี้อยู่แล้ว สำหรับผมออกมาก่อนคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ผมเองก็ไม่ได้อยากเสียเวลากับอะไรแบบนี้เหมือนกัน”
ฮั่วฉินเยี่ยนเอ่ยพูดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ นี่สิถึงจะเป็นสไตล์เขาที่ทำมาตลอด เพราะงานเลี้ยงแบบนี้ บางครั้งเขายังไม่เข้าร่วมเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นแล้วการที่เขาจะยอมมาร่วมนั้นถือเป็นเรื่องหาได้ยากยิ่ง แน่นอนว่าเรื่องที่เวินหลานฉีไม่รู้ คือเขาเข้าร่วมงานเลี้ยงได้เพราะมีเธอมาเป็นเพื่อนเขานั่นเอง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มาโดยสิ้นเชิง
“นึกไม่ถึงเลยว่าท่านประธานผู้สูงส่งจะเป็นคนอย่างนี้ แต่ก็ถูกของคุณ ปกติแล้วงานเลี้ยงแบบนี้ก็น่าเบื่อทั้งนั้น ฉันไม่ถือสาหรอกนะถ้าจะออกมาก่อน”
เวินหลานฉีเอ่ยพูดขึ้นมาโดยไม่ลังเล เพราะเธอคิดว่าเรื่องมันก็เป็นอย่างนี้ สำหรับเธอแล้วงานเลี้ยงนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรเลย และเธอเองก็ไม่อยากจะแคร์เรื่องนี้มากนัก
จนถึงตอนนี้ ความจริงแล้วแม้จะหาทางออกที่ดีกว่านี้ไม่ได้ เพราะบางอย่างมันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว แต่สำหรับพวกเขาทั้งสอง สถานการณ์เช่นนี้ยังถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
ความจริงพูดกันให้ชัดคือ พวกเขาทั้งสองคนแค่ไปแสดงความรักเท่านั้นเอง อย่างไรเสียมาถึงขั้นนี้ หลากหลายเรื่องราวก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ความจริงพวกเขาสองคนถือว่ายังสนุกกับช่วงเวลาเช่นนี้ด้วยซ้ำ
ไม่นานนักพวกเขาทั้งสองก็มาถึงที่หมาย นับว่าพวกเขาทั้งสองมาค่อนข้างสายเลยทีเดียว เพราะคนมากมายต่างมาถึงกันหมดแล้ว เมื่อเห็นคนในที่นี้เยอะมากเหลือเกิน และก็เป็นไปตามคาด งานเลี้ยงครั้งนี้นั้นแตกต่างไปจริงๆ นอกจากนี้เหล่าบุคคลแวดวงไฮโซทั้งหลายต่างมาถึงกันหมดแล้วเช่นกัน
ทันทีที่ฮั่วฉินเยี่ยนเดินลงจากรถ ก็ยื่นมือมาดึงคนข้างกายให้เดินไปข้างหน้าพร้อมกันทีละก้าว ตอนนี้พวกเขาทั้งสองดูรักกันมากเหลือเกิน หนำซ้ำสายตาของผู้คนโดยรอบต่างจับจ้องมายังพวกเขาทั้งสองคนอีกต่างหาก
หลังจากเห็นสภาพเช่นนี้ ในใจของหญิงสาวทั้งหลายต่างก็อิจฉาริษยาเป็นอย่างมาก เพราะสำหรับพวกเธอ แท้จริงแล้วคนอย่างฮั่วฉินเยี่ยนนั้นหาได้ยากยิ่งนัก ใครๆ ต่างอยากแต่งงานกับเขา และอยากจะเป็นคุณนายสกุลฮั่วทั้งนั้น
เพียงแต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ พวกเขาได้ยินมาตลอด ว่าในใจของฮั่วฉินเยี่ยนมีเพียงคนคนเดียวเท่านั้น ตอนแรกพวกเขาก็ได้ยินเพียงแค่ข่าวซุบซิบเท่านั้น แต่ไม่รู้เลยว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ทว่าครั้งนี้พวกเขาสามารถมั่นใจได้แล้ว ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจริงๆ