พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่184 ผมหน้าด้าน
บทที่184 ผมหน้าด้าน
“ทำไม คุณอยากจะเดี่ยวเดียวกับผม?” ลู่เฉินมองจางดาวเรนอย่างละเมิด
จางดาวเรนตะลึง
ลู่เฉินเป็นคนที่สามารถเอาชนะฮั่นเทียนได้อย่างง่ายดาย ให้เขากับลู่เฉินเดี่ยวเดี่ยว ไม่ตายก็บ้าละสิ ไม่ว่าจะยังไง เขาก็ไม่กล้าเดี่ยวเดี่ยวกับลู่เฉินอยู่ดี
“นาย……นายตกลงรับคำท้าจากปรมาจารย์ตงฟาง พอถึงตอนนี้ปรมาจารย์ตงฟางมาถึง ทำไมนายถึงไม่กล้ารับคำท้าหละ นี่นายยังมีความกล้าลูกผู้ชายอยู่มั้ย?” จางดาวเรนพูดอย่างโกรธ
“นี่มึงตาบอดหรือไง? มึงเห็นกูไม่มารับคำท้าตรงไหน? ไอ้นี่มันอยากต่อยไม่ใช่หรือไง คนเดียวไม่พอกูต่อยก็สองคน สองคนไม่พอก็สามคน ไม่พออีก กูยังสามารถต่อยสามร้อยคน มันเองหรือเปล่าที่ไม่กล้ามารับคำท้า” ลู่เฉินพูดอย่างดุร้าย
“มึง มึงเหี้ยขนาดนี้ได้ไง!” จางดาวเรนโกรธจนจะคายเลือดออกมาอยู่แล้ว
“พ่อหนุ่ม คุณไม่เชื่อมั่นต่อคนขนาดนี้ ไม่กลัวว่าจะถูกคนทั้งโลกหัวเราะเอาหรือไง?” จางเซิงเฉียวอดไม่ไหวที่จะไม่พูด
“ไม่เป็นไร ผมหน้าด้าน” ลู่เฉินพูดไปหัวเราะไป ฮาฮาฮา
ทันทีนั้นจางเซิงเฉียวได้อาเจียนเป็นเลือดออกมา
ทันใดนั้น ทุกคนพ่ายแพ้ต่อลู่เฉินหมด
ทุกคนล้วนแต่เป็นนักธุรกิจกันหมด และล้วนต้องทำมาหากินในยวี่โจวเหมือนกัน ถึงแม้บางครั้งต้องใช้ฝีมือที่ย่ำแย่ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ควรต้องมีขีดเส้นใต้กันบ้างไหม
ไอ้เจ้านี่เหี้ยไม่มีขี้เส้นใต้เลย
“นี่เขยหล่อไปเลยอะ แต่ดูไปไอ้ขี้โกหกนั่นถูกพี่เขยทำเอาจนอาเจียนเลือด สีหน้าคนบ้านจางแต่ละคนซีดขาวไปหมด ในใจฉันทำไมถึงสะใจขนาดนั้นเนี่ย” หลินอี้เจียจับแขนหลินอี้จุนไว้ มองดูในตาลู่เฉินที่เต็มไปด้วยดวงดาว
ทันทีนั้น เธอรู้สึกลู่เฉินได้เก่งกล้ามากในสายตาเธอ นั่นมันเกินไป
แต่แล้วเธอชอบพี่เขย ณ วินาทีนี้
แต่หลินอี้จุนไม่มีคำบรรยายจะพูด ใช้ชีวิตร่วมกับลู่เฉินมาตั้งหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นลู่เฉินหน้าด้านและเหี้ยมาก
แต่ถึงแม้ว่าจะหน้าด้านและเหี้ยไปหน่อย แต่ ณ ตอนนี้ในใจเธอก็รู้สึกโล่งอกไปมาก
อย่างน้อยลู่เฉินไม่โง่ เขารู้ว่าตัวเองไม่สามารถเอาชนะปรมาจารย์ตงฟางได้ วิธีแบบนี้ก็เป็นวิธีที่ทำให้เธอวางใจมากที่สุดแล้ว
“พี่เขยพี่นี่แปลกประหลาดจริงๆ” หลิวลี่ลี่พูดโดยไม่รู้ว่านี่มันเป็นคำชมหรือคำดูถูก
“นี่เขาเรียกว่ากลยุทธ์” หลินอี้เจียชมลู่เฉิน
“อืม ก่อนหน้านี้ทำเอาเราเป็นห่วงซะเปล่าเลย” หลิวลี่ลี่พยักหน้าแล้วพูด
อีกด้านนึง
“คุณปู่ ว่ายังไง?” เฉินจือหรานมองดูลู่เฉิน แล้วพูดอย่างไม่รู้ว่าควรจะแสดงอาการสีหน้าอย่างไร
ท่านปู่ตระกูลเฉินยิ้มเบี้ยว เขาว่ายังไง?
เขาจะว่ายังไงได้อีกหละ
ลู่เฉินมาแปลก
หรือว่าเขารู้สึกตัวเองไม่ใช่คู่แข่งของตงฟางหลงจริงๆ?
ท่านปู่ตระกูลเฉินก็คงต้องคิดเพียงเท่านี้หละ
หากว่าลู่เฉินมีความมั่นใจว่าตนเองสามารถเอาชนะตงฟางหลงได้ เขาก็จะไม่มีทางทำวิธีแบบนี้เด็ดขาด
เพราะไม่มีใครไม่แคร์ชื่อเสียงของตนเองหรอก
พูดได้ว่า ต่อจากวันนี้ไป ชื่อเสียงที่หน้าด้านนี้ของลู่เฉิน ก็คงจะอยู่เคียงคู่กับเขาไปจนวันตายเลยหละ
ใช้กลอุบายนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย ต่อให้อยากลบล้างออกก็คงไม่มีทางเป็นไปได้
และไม่เพีบงแต่ ณ เวลานี้ แทบจะทุกคนรวมไปถึงคนบ้านจางก็คงจะรู้แล้วหละว่าลู่เฉินไม่ใช่คู่แข่งของตงฟางหลง และไม่มีใครเชื่ออยู่แล้วว่าลู่เฉินจะเป็นคู่แข่งของตงฟางหลง
แต่พวกเขาก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าลู่เฉินจะหน้าด้านขนาดนี้ ทำเอาพวกเขาไม่ทันตั้งตัวเลยหละ
และในขณะนี้เรือขนาดเล็กที่อยู่บนทะเลสาบ
“เซี่ยวจาง คุณว่าใครจะชนะ?”เซ่ซูเจี๋ยนั่งอยู่หัวเรือ สูบบุหรี่ไปด้วยมองดูคลื่นเกล็ดไปด้วย
เลขาจางยืนอยู่ข้างเซ่ซูเจี๋ย และมองดูเกาะเขียวเป็นระยะๆ พร้อมกับพูดว่า: “ได้ยินมาว่าตงฟางหลงเป็นนักบวช และเป็นปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ ผมไม่เห็นด้วยว่าลู่เฉินจะชนะ”
เซ่ซูเจี๋ยพยักหน้า ลู่เฉินทำมาหาค้าขาย และเป็นนักธุรกิจคนหนึ่ง เขาจะไปสู้กับคนเหล่าที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ได้อย่างไร
“คุณไปถามสถานการ์ณหน่อย ดูสิว่าจะมีปัญหาที่ควบคุมไม่ได้เกิดขึ้นมั้ย”เซ่ซูเจี๋ย ก็ยังคงเป็นห่วง กังวลใจต่อการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของบนเกาะ
เลขาจางพยักหน้า แล้วโทรหาเสี่ยวซัวจุนที่สืบข้อมูลอยู่บนเกาะหลายสาย
“เสี่ยวซัวจุน ตอนนี้สถานะการ์ณบนเกาะเป็นไงบ้าง ทั้งสองฝ่ายลงไม่ลงมือกันหรือยัง?” เลขาจางเปิดลำโพงพร้อมกับถาม
“ลงไม้ลงมือกันบ้าอะไรเล่า ลู่เฉินวันนี้ทำให้ผมได้ทำความรู้จักใหม่เลยหละ” เสียงที่หนาแน่นของเสี่ยวซัวจุนได้ดังขึ้นมา ทั้งสองต่างได้ยินน้ำเสียงที่หมดหนทางและยิ้มเบี้ยว
“เกิดอะไรขึ้น?” เลขาจางถามอย่างตกใจ
“บ้านจางได้ซุ่มโจมตีผู้คนหลายร้อยคนอยู่บนเกาะ แต่ลู่เฉินพาคนสองสามร้อยคนล้อมรอบทั้งเกาะ จากนั้นบ้านจางก็ไม่กลขับเคลใดๆ” เสี่ยวซัวจุนตอบ
“แล้วการต่อสู้ระหว่างตงฟางหลงกับลู่เฉินหละ ใครชนะ?” เลขาถามอีก
“ยังไม่เริ่มกันเลย แต่ว่าดูท่าแล้วคงจะไม่ต่อสู้กันแล้วหละ” เสี่ยวซัวจุนตอบ
“หื้ม ไหนบอกจะต่อสู้กันไม่ใช่หรือไง คนไปดูตั้งเยอะ ไม่ต่อสู้แล้ว?” เลขาจางถามด้วยความสงสัย
เสี่ยวซัวจุนยิ้มเบี้ยว แล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนเกาะอีกมาอีกครั้ง
หลังจากที่เลขาจางและเซ่ซูเจี๋ยได้ยินผลรายงานแล้ว เกือบจะหัวเราะออกมาเลยหละ
“ฮาๆ ฉันรู้อยู่แล้วว่าลู่เฉินนั่นเชื่อใจได้ โอ๋ว ไม่ใช่สิ เชื่อใจไม่ได้ต่างหาก” หลังจากที่เซ่ซูเจี๋ยได้ยินผลรายงานจากเสี่ยวซัวจุนแล้ว ก้อนหินใหญ่ที่ทับถมในใจก็ได้หายสักที
ขอเพียงแค่สองฝ่ายไม่ต่อสู้กัน ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร ก็ไม่มีผลใดๆ
“ซูเจี๋ย เจ้านั่นมันไร้ยางอายมาก แต่ว่ากลยุทธ์นี้ของเขาก็ไม่เลวเหมือนกัน ถึงกับทำเอาตงฟางหลงโกรธ อาเจียนจนเลือดออก นี่มันเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ทันเปิดศึกก็ทำให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้” เลขาจางหัวเราะและพูดออกมา
ขอแค่ลู่เฉินและบ้านจางไม่เกิดความขาดแย้งอย่างใหญ่ ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาเด็ดขาด
ไร้ยางอายมากจริงๆ แต่ว่า ผมค่อนข้างชอบเขา”เซ่ซูเจี๋ยยิ้มแล้วพูด
“ซูเจี๋ย หรือว่าเราจะไปดูกันที่เกาะเลย ไปดูว่าพวกเขาจะยังไงต่อ บ้านจางไม่ให้เกียรติคุณตลอดไม่ใช่หรือไง ไปดูสิว่าบ้านจางจะถูกลู่เฉินเยาะเย้ยอย่างไร สะใจดีออก” เลขาจางยื่นข้อเสนอ
สายตาเซ่ซูเจี๋ยประกาย และมีการขยับเล็กน้อย
เมื่อตอนที่เขากำลังมายวี่โจว ตระกูลใหญ่ทั้งสี่ไม่เชิญเขา แถมถึงขนาดที่ว่าต้องให้เขาออกหน้าเป็นคนเชิญพวกเขาเอง และเขาก็ยังจำได้ดีและชัดเจน ตอนนั้นหนึ่งในตระกูลใหญ่ทั้งสี่ บ้านจางและบ้านZuoไม่มีความกระตือรือร้นเลยสักนิดเดียว
เขาเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น หากไม่ใช่ว่าลู่เฉินโผล่ออกมาก่อน สี่ปีนี้เขาคงต้องทนมองดูสีหน้าตระกูลใหญ่ทั้งสี่นี่แล้วหละ
ในขณะนี้ลู่เฉินกำลังเยาะเย้ยบ้านจาง และมันก็เหมือนกับได้เยาะเย้ยแทนตัวเขาด้วย
“โอเค ขึ้นฝั่ง”เซ่ซูเจี๋ยสะบัดมือ เพื่อเตรียมตัวไปดูให้เห็นกับตา
แต่ว่าเขาก็ไม่ใช่คนโจ่งแจ้งขนาดนั้น สุดท้ายก็ได้ใช้หมวกเพื่อบังหน้าเขาไว้
และตอนนี้ ก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว ภายใต้แสงสลัวที่มืดมน ไม่มีใครสังเกตเห็นเขาหรอก
และตอนนี้ ณ บนเกาะ ไม่เพียงตงฟางหลงคนเดียวที่อาเจียนเลือดออกมา แม้แต่จางเซิงเฉียวเองก็ถูกลู่เฉินทำเอาจนอาเจียนเลือดออกเหมือนกัน
และในขณะที่พวกเขากำลังจะยอมแพ้นั้น กลับได้ยินลู่เฉินพูดขึ้นมาว่า: “จะให้ฉันต่อสู้เดี่ยวเดี่ยวกับตงฟางหลงนั่นก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่บ้านจางต้องตอบตกลงข้อเสนอฉันก่อนสองข้อ”
ทันใดที่ลู่เฉินได้เอ่ยปากพูด คนบ้านจางต่างได้สติกลับคืนมาหมดทันที
พวกเขากลัวลู่เฉินจะไม่ลงมือ เพียงแค่ลู่เฉินกล้ายืนอยู่บนเวที อย่าพูดแต่สองข้อเสนอเลย ต่อให้เป็นสิบข้อเสนอ พวกเขาก็กล้ารับปาก