พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส - ตอนที่ 9 นอนป่วยในอ้อมอก
เก้า
นอนป่วยในอ้อมอก
กว่าทุกคนจะเดินทางถึงสถานที่ที่ผู้คนพลุกพล่านก็เป็นเวลาดึกแล้ว
ซ่งฉือสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ อาจิ่งรอไม่ไหวอีกต่อไปหยิบน่องไก่ขึ้นมากัดด้วยความเอร็ดอร่อย นางไม่เคยชินกับการกินอาหารนอกบ้าน ไม่สนใจว่าซ่งฉือจะนั่งลงหรือยัง ส่วนเจ้าตัวประหลาดเจียงซ่างนั่นยิ่งไปกันใหญ่
มีเพียงจี้ชิงที่แตกต่างจากผู้อื่น หลังจากขยับตะเกียบเพียงสามครั้งเขาก็ไม่กินอีกเลย
ซ่งฉือเกรงว่าการสวาปามของอาจิ่งจะทำให้อีกฝ่ายรังเกียจ จึงหยิบผ้าออกมาเช็ดปากให้นาง จี้ชิงเงยหน้าขึ้นมามองเขาแบบผ่านๆ แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร
“สหายซ่ง หรือว่าแม่นางน้อยผู้นี้คือภรรยาของท่าน ข้าเห็นท่านดูแลนางเป็นอย่างดีมาตลอดทาง” เจียงซ่างกินไปถามไปพลางยิ้ม
ซ่งฉือเตะเขาหนึ่งที เอนหลังพิงเก้าอี้และมองไปทางจี้ชิง ก่อนจะด่าพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าพูดอะไรของเจ้า ไม่เห็นหรือไรว่าอาจิ่งยังเด็กอยู่เลย”
อาจิ่งแหงนหน้าขึ้นมองผู้พูด
จี้ชิงทำใจให้สงบแล้วหันไปหยิบกระบี่หลิงหาน จากนั้นก็เดินขึ้นไปชั้นบนของโรงเตี๊ยม
“เอ? คุณชายสามกินอิ่มแล้วหรือ”
เจียงซ่างลุกขึ้นยืนแล้วพูดตามหลังไป แต่อีกฝ่ายไม่ตอบ กลับขอน้ำหนึ่งถังจากเสี่ยวเอ้อร์
“กินของเจ้าไปเถอะ” ซ่งฉือตบไหล่ของเขาเบาๆ กลอกตาแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย “เจ้าเฝ้าอาจิ่งกินข้าวนะ ข้าจะขึ้นไปเอนหลังข้างบนสักหน่อย ง่วงนอนแล้ว”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่ เหตุใดพวกเจ้าสองคนถึงไม่หิวกันนะ… ช่างมันเถอะ” เจียงซ่างหันกลับมายิ้มและกล่าวกับอาจิ่ง “เราสองคนกินเถอะ ฮ่าๆ”
อาจิ่งไม่สนใจตั้งแต่แรก น่องไก่ชิ้นที่สองถูกกัดไปแล้วครึ่งหนึ่ง ส่วนเจียงซ่างยังแทะปีกไก่ชิ้นแรกไม่หมดเสียที
แม้ว่าโรงเตี๊ยมที่เชิงเขาจะมีขนาดเล็ก แต่สิ่งอำนวยความสะดวกด้านในก็มีครบทุกอย่าง ในห้องพักมีถังขนาดใหญ่วางไว้ใช้สำหรับอาบน้ำ
ตอนที่พวกเขามาถึงเหลือเพียงสองห้องเท่านั้น อาจิ่งเป็นเด็กผู้หญิง โดยปกติแล้วก็ต้องนอนแยกห้อง ส่วนบุรุษทั้งสามคนก็ต้องอัดอยู่ในห้องเดียวกัน
ซ่งฉือแอบย่องเข้าไปในห้อง ภายในห้องนอนไร้เงาจี้ชิง แต่หลังจากเดินต่อไปอีกสองสามก้าวก็เห็นชุดจันทร์ส่องนทีชุดนั้นแขวนอยู่บนราวแขวนเสื้อตรงประตูกั้นห้อง อีกทั้งพู่ที่เคยปักอยู่บนศีรษะตกอยู่บนพื้น
เสียงน้ำแผ่วเบา เขาเดาว่าคงกำลังแช่น้ำอยู่
รู้สึกว่าจี้ชิงเป็นผู้ที่รักความสะอาด เวลาเปียกฝนจึงรู้สึกไม่สบายตัว กินอาหารไปได้ไม่กี่คำก็ขึ้นมาอาบน้ำ
ซ่งฉืออมยิ้มเล็กน้อย จี้อวิ๋นฉงผู้นี้ช่างแตกต่างกับจี้หลิงอู้ ดูไม่เหมือนเป็นพี่น้องกันเลย จี้หลิงอู้หน้าตาเปล่งปลั่ง ทว่าจี้ชิงกลับมีสีหน้าเรียบนิ่ง ทำหน้าซังกะตายไม่สันทัดในการพูดคุย แต่ดูๆ ไปแล้วเขาก็หน้าตาคล้ายกับพี่ชายจริงๆ
“นั่นใคร”
เสียงน้ำกระเซ็นดังผ่านฉากกั้น ซ่งฉือเห็นเขาลุกขึ้นยืน แต่น้ำในถังค่อนข้างสูงจึงปกปิดถึงช่วงเอวของเขาเอาไว้
“ขะ…ข้าเอง ซ่งฉือ” เขารีบเปล่งเสียงออกมาเพราะกลัวกระบี่หลิงหาน
“เจ้าเข้ามาทำอะไร” อีกฝ่ายหลังหันไป น้ำเสียงฟังดูตื่นตระหนกเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงไปในถังน้ำ
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าเพียงแค่เข้ามาดูว่าเจ้าต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ ช่วยหยิบเสื้อผ้าให้อะไรทำนองนี้” ซ่งฉือขยับพัดในมือ “ข้าคิดว่าคนที่มีชาติกำเนิดสูงส่งอย่างเจ้า คงจะต้องมีคนมาคอยปรนนิบัติเวลาอาบน้ำเป็นแน่”
“ไม่เคยมี และข้าก็ไม่ต้องการ ออกไปเดี๋ยวนี้” เสียงของเขาแหบพร่าเล็กน้อย ฟังดูเหมือนไม่สบาย
ซ่งฉือขมวดคิ้วแล้วเดินวนไปวนมารอบฉากกั้น “ถ้าจะเข้าไปดูเจ้า หากไม่เป็นอะไรจริงๆ ข้าก็จะออกไป ตกลงหรือไม่”
“ไม่ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่” จี้ชิงถอนหายใจแล้วกระแอมไอเล็กน้อย
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กหรือใหญ่ พรุ่งนี้ยังต้องรีบเดินทางไปจัวลู่ ถ้าเจ้าเกิดไม่สบายขึ้นมา ข้อแรกข้าคงไม่สามารถอธิบายกับพี่ชายของเจ้าได้ ประการที่สองคือข้าจะไปหาหยก ถ้าเจ้าป่วย แล้วข้าจะเอ่ยปากได้อย่างไรกัน”
ซ่งฉือยื่นมือออกมาจับฉากกั้นไม้ แล้วเคาะเบาๆ สองที “ค่อยว่ากันเถอะ เราสองคนเป็นชายด้วยกันทั้งคู่ ไม่เคยมีอคติใดๆ เหตุใดเจ้าถึงต้องกลัวข้าด้วยเล่า”
มีเสียงน้ำไหวกระเพื่อมเบาๆ…จี้ชิงลุกออกจากถังอาบน้ำแล้วสวมเสื้อคลุมตัวบาง แต่ไม่อยากให้เศษหินทรายบนพื้นเปื้อนเท้าจึงทรงตัวได้ไม่ดีสะดุดจนเกือบล้มลงกับพื้น
ซ่งฉือได้ยินเสียงจึงรีบเข้าไปประคองเขาไว้ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “มัวแต่รักความสะอาดก็ต้องขายหน้าแบบนี้แหละ”
จี้ชิงเงยหน้าขึ้นมอง หยดน้ำที่เกาะอยู่บนหว่างคิ้วไหลลงไปยังรอยสักสีสดบนใบหน้า ริมฝีปากบางขาวซีดตอบกลับเสียงแผ่ว “ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
บางทีหากไม่ใช่เพราะโดนฝนมาก็อาจเป็นเพราะการสักลายห่านป่า ร่างกายจึงได้อ่อนแอลง อีกทั้งยังรู้สึกเหมือนกับถูกเข็มเงินนับร้อยเล่มทิ่มแทงเข้าไปตามเส้นลมปราณ ไร้เรี่ยวแรงจนล้มลงในอ้อมแขนซ่งฉือ
ซ่งฉืออดคิดไม่ได้ว่าเจ้าหมอนี่รูปร่างใกล้เคียงกับเขา แต่กล้ามเนื้อกลับแข็งแรงกว่าเขามาก ผิวของจี้ชิงขาวมาก ไม่ใช่มีลักษณะขาวนวล แต่ดูเหมาะกับเขาที่ดูเย็นชา
แม้จะคิดวุ่นวาย แต่ซ่งฉือก็ประคองอีกฝ่ายมาที่เตียงจนได้ เขาดึงผ้าห่มผืนหนาบนเตียงมาคลุมร่างกายของจี้ชิงด้วยความยากลำบาก ในตอนที่จะปล่อยมือออกกลับถูกรั้งเอาไว้ ฝ่ายนั้นคว้ามือของเขาไปแนบแก้มแล้วพึมพำ
“ท่านแม่”
ซ่งฉือกัดฟัน…ใครเป็นท่านแม่ของเจ้ากัน เขามีราศีของคนเป็นแม่เจิดจ้าออกมาอย่างนั้นรึ
“เฮ้” เขาตบเบาๆ ที่หน้าของจี้ชิง “ตื่นๆ เจ้าลูกชาย”
ใบหน้าของจี้ชิงกลายเป็นสีแดงเรื่อ จนมือของซ่งฉือเองก็ร้อนไปด้วย
“ท่านแม่” จี้ชิงยังคงจับมือของเขาไว้ ไม่พูดอย่างอื่นนอกจากพึมพำเรียกท่านแม่
ซ่งฉือนั่งลงบนเตียงด้วยอย่างจำใจ มองคนบนเตียงที่ปกติแล้วจะมีสีหน้าที่เย็นชาและหยิ่งผยองที่คราวนี้เสื้อผ้ายับยู้ยี่ห่อตัวจนคล้ายบ๊ะจ่าง อีกทั้งยังจับมือของเขาแนบแก้มเรียกหาแต่ท่านแม่
น่าขันนัก…ใครจะคิดว่าจี้อวิ๋นฉงที่เดิมเป็นคนจริงจังจะมีช่วงเวลาแบบนี้เช่นกัน
ซ่งฉือลูบใบหน้าของอีกฝ่ายพร้อมกับยิ้ม…ผิวนุ่มลื่นมาก
ได้ยินมาว่าพอเลยวันเกิดของเขาไปก็จะสามารถบรรลุเป็นเซียนเช่นเดียวกันกับเซียนเป่ยอู่หลิง เมื่อถึงเวลานั้นจี้ชิงก็จะอยู่ท่ามกลางทวยเทพ คนธรรมดาอย่างพวกเขายากที่จะปีนป่ายขึ้นไปได้
อยู่ท่ามกลางทวยเทพ…เป็นสิ่งที่เขาน่าจะคาดเดาได้ เพราะดูแล้วก็เหมือนกับมีบรรยากาศของเทพเซียนอยู่บ้าง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก
“นี่จี้ชิง ถ้าเจ้าได้เป็นเซียน เจ้าอยากจะเป็นเซียนแบบไหน จะดูแลสวรรค์หรือดูแลโลกมนุษย์ล่ะ” ซ่งฉือรู้สึกว่าดูแลโลกมนุษย์ดีกว่า สวรรค์น่าจะวุ่นวายกว่าโลกมนุษย์
“เจ้าจะดูแลเรื่องชะตารักหรือเรื่องความเป็นความตายล่ะ ไม่สิ ความเป็นความตายเป็นหน้าที่ของยมบาล เจ้าควรจะดูแล… เอ…เรื่องมีบุตรเป็นอย่างไร ถ้าไปดูแลเรื่องมีบุตร ชาติหน้าก็มาเป็นลูกชายข้าได้นะ”
บางทีเขาอาจจะพูดจาเสียงดังเกินไป จี้ชิงจึงพลิกตัวหันหลังให้เขา
ซ่งฉือถูกเขาดึงไปทั้งตัวจนกลายเป็นคร่อมร่างของอีกฝ่าย
“ข้าเอาผ้าห่มของข้าให้เจ้าแล้วไง เหตุใดจึงโลภมากเช่นนี้” ซ่งฉือพยายามดึงมือออก แต่ก็ดึงไม่ออก เขาจึงมุดเขาไปในผ้าห่มและซุกหลังคอของอีกฝ่าย
หลังจากจัดการท่าทางของตนเองเสร็จ เขาก็รู้สึกว่าตนเองมีคุณสมบัติของแม่และภรรยาที่ดีอยู่ไม่น้อย บางทีเขาอาจจะเป็นแม่ที่ดีได้ เขานึกไปยิ้มไป กางนิ้วมือออกแล้วเอานิ้วจิ้มหน้าของจี้ชิง “เช่นนั้นชาติหน้าเจ้าก็ทำให้ข้าเป็นผู้หญิง แล้วข้าก็จะเป็นแม่ของเจ้าดีหรือไม่”
จี้ชิงไม่ได้ยิน เขาได้ยินเพียงคำว่า ‘แม่’ คำเดียวเท่านั้น จึงกระชับมือซ่งฉือแน่นขึ้นอีกแล้วเอ่ยเรียกท่านแม่
ซ่งฉือรู้สึกว่าตอนที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำหน้าบึ้งตึงก็น่ารักดี ความน่ารักแบบนี้คงไม่ได้มีบ่อยๆ เขาจึงทิ้งศีรษะลงบนหมอน นอนหันข้างมองสีหน้าของอีกฝ่าย
เดี๋ยวขมวดคิ้ว เดี๋ยวยกมุมปากขึ้น…พลันรู้สึกว่าคนผู้นี้เต็มไปด้วยเสน่ห์
“สหายซ่ง…”
เจียงซ่างเปิดประตูเข้ามา แล้วตกใจภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า
จี้ชิงนอนหงายอยู่ที่ด้านหนึ่งของเตียง มุมปากยกขึ้น ยิ้มอย่างอ่อนโยน ส่วนซ่งฉือใช้มือเท้าเตียงพยุงตัวขึ้นมา มองคนที่นอนอยู่ด้วยแววตารักใคร่เอ็นดู
อะ…อะไร นี่มันเรื่องอะไรกัน