พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส - ตอนที่ 8 ปฏิบัติการพบคนงาม
แปด
ปฏิบัติการพบคนงาม
“เจ้า! ปล่อยข้านะ…” เขายื่นมือไปสัมผัสนิ้วมือของอีกฝ่าย
ทว่าซ่งฉือไม่ยอม เขาลูบไล้ไต่ไปตามขาของจี้ชิง “เจียงซ่าง ข้าไม่ได้โกหกเจ้าเห็นไหม คุณชายสามจี้ชิงเป็นคนรู้จักเก่าของข้า”
“ใช่จริงๆ ด้วย” เมื่อเจียงซ่างเห็นความสัมพันธ์ที่แนบแน่นของทั้งสองคนก็ยิ่งรู้สึกว่าซ่งฉือไม่ได้หลอกเขา “ในเมื่อคุณชายสามกับท่านพี่ซ่งสนิทสนมกันแบบนี้ ถ้าเช่นนั้นช่วยชี้แนะข้าสักหน่อยสิ”
สิ่งที่เขากล่าวเป็นเรื่องบังหน้า ทว่าปีศาจน้อยตนนี้กลับไม่รู้ว่าคำพูดที่ตนเองกล่าวนั้นทำให้ดูกำกวมเข้าไปใหญ่
“แค็กๆ” จี้ชิงกระแอมกระไอสองครั้ง ทันใดนั้นใบหูก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ สอดกระบี่กลับเข้าฝักแล้วผลักซ่งฉือออก ชี้นิ้วไปทางซ่งฉือก่อนจะหันไปพูดกับเจียงซ่าง
“ข้าไม่รู้จักเขา”
ซ่งฉือเบิกตากว้าง “จี้ชิง เจ้าความจำเสื่อมหรือ”
จี้ชิงปัดมือของซ่งฉือที่แตะหน้าผากของตนเองออก แล้วมองด้วยสายตาเย็นชา “ข้าแค่มาหลบฝนที่นี่เท่านั้น อีกสักพักข้าก็ไปแล้ว”
เจียงซ่างก้าวสั้นๆ ไปข้างหน้าแล้วถอยหลังหนึ่งก้าว หลังจากนั้นไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดเขาก็รวบรวมความกล้ากลืนน้ำลายเอื๊อก สองมือกำแน่นที่หน้าอกแล้วกล่าว “คุณชายสามมาเยือนที่พำนักอันต้อยต่ำของข้า ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
“ฮ่าๆ”
ซ่งฉือหัวเราะจนตัวงอ แขนข้างหนึ่งพาดไหล่ของจี้ชิง ยิ้มกริ่ม ใช้พัดหยกพิสุทธิ์ชี้ไปที่พระพุทธรูปที่อยู่ด้านหลังของพวกเขา จี้ชิงชำเลืองมองแขนที่พาดอยู่บนไหล่ของเขา ซ่งฉือรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยเป็นตัวเองสักเท่าไร จึงเอาแขนลงแล้วเดินไปยืนข้างเจียงซ่าง ริมฝีปากยกยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับกล่าว
“เฮ้ เจ้าอยากจะถามเขาว่าจะเป็นเซียนได้อย่างไรไม่ใช่หรือ ไปสิ”
“ข้า…คือว่าข้า…” เจียงซ่างมองที่จี้ชิงด้วยความลังเล แล้วค่อยๆ ก้าวไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า
อาจิ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ กอดเสื้อของซ่งฉือไว้กับอก นางยื่นเสื้อที่ผึ่งจนแห้งแล้วให้เขา อาจิ่งเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่เก่งเรื่องการตากผ้า ซ่งฉือจึงอาศัยช่วงจังหวะที่เจียงซ่างและจี้ชิงกำลังสนทนากันหาท่อนไม้มาสองท่อนแล้วถอดเสื้อคลุมตัวนอกกับเสื้อซับในออก ส่งให้นางทำเป็นราวตากผ้ากึ่งฉากกั้นแบบง่ายๆ
สิ่งที่เจียงซ่างถามล้วนเป็นปัญหาเล็กน้อยทั้งนั้น เขามุ่งมั่นที่จะบรรลุตนเป็นเซียนโดยที่ไม่สนใจเรื่องศีลธรรม เพียงแต่อายุยังน้อย ยังฝึกได้ไม่ถึงขั้น และเนื่องจากบาปกรรมที่ทำตั้งแต่ชาติก่อน ชาตินี้ถ้าอยากไปให้ถึงฝันก็ต้องคงต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนธรรมดา
ซ่งฉือเปลือยกายเช่นนี้หันไปทางชายหนุ่มทั้งสองคนที่นั่งเหยียดตัวตรงอยู่ฝั่งตรงข้าม รอให้อาจิ่งตากเสื้อผ้า
“เจ้าสองคนกระซิบกระซาบอะไรกัน ให้ข้าฟังด้วย”
บรรยายกาศภายในวัดค่อนข้างมืดและน่าขนลุก สถานที่ที่มีผู้ชายอยู่เป็นจำนวนมากน่าจะมีพลังหยางมากจึงจะถูก
ซ่งฉือเบียดตัวเข้าไปแทรกอยู่ระหว่างกลางของทั้งสองคน เส้นผมนุ่มสลวยของเขาแห้งเพียงแค่ครึ่งเดียว ดวงตาทอประกายระยิบระยับ หยดน้ำบางส่วนหลงเหลืออยู่บนกล้ามเนื้อได้สัดส่วนของซ่งฉือ บนไหปลาร้าที่นูนเด่นมีไฝสีชาดคล้ายดอกเหมย
“ท่านพี่ซ่งรูปร่างไม่เลวเลย” เจียงซ่างกลืนน้ำลายด้วยความอิจฉา เขาเตี้ยกว่าซ่งฉือเล็กน้อย กระดูกและกล้ามเนื้อก็ไม่ได้สมส่วนเหมือนกับอีกฝ่าย
“ชมเกินไปแล้ว ถ้าจะให้ข้าพูด รูปร่างของน้องอวิ๋นฉงก็ไม่เลวเช่นกัน ขณะสวมเสื้อผ้าก็ยังมองเห็นถึงรูปร่างกำยำเหนือมนุษย์”
จี้ชิงกวาดตามองเขาอย่างเย็นชา
มีเซียนมากมายที่จัวลู่ แม้จี้ชิงจะดูเหมือนเซียน ทว่าหว่างคิ้วของเขาก็ยังแฝงความเป็นเด็กอยู่ไม่น้อย ที่จัวลู่ผู้คนมักไม่ค่อยสวมชุดขาว ส่วนใหญ่สวมชุดเสื้อคลุมรัดรูปสีเขียวแกมน้ำเงิน มัดผมรวบตึงแล้วใช้ปิ่นหยกยึดเอาไว้
จี้ชิงเป็นลูกศิษย์ของเซียนอู่หลิง ดังนั้นเขาจึงแตกต่างชาวบ้านทั่วไป
“คุณชายสามแห่งตระกูลจี้ นี่คือชุดจันทร์ส่องนทีในตำนานใช่หรือไม่” เจียงซ่างกะพริบตาปริบๆ มองรูปร่างของจี้ชิง
“ชุดจันทร์ส่องนทีคือสิ่งใด” ซ่งฉือมองขึ้นลงพินิจพิเคราะห์ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ยื่นมือออกไปแล้วลูบไปมาอย่างแผ่วเบา รู้สึกว่าคุณสมบัติของวัสดุค่อนข้างละเอียด “มันแตกต่างกับชุดทั่วไปตรงไหน”
เจียงซ่างยื่นมือออกไปคิดอยากสัมผัสเนื้อผ้าเลื่องชื่อนี้ดูบ้าง แต่ถูกสายตาเย็นชาของจี้ชิงสกัดไว้ จึงหดมือทั้งสองข้างกลับมากอดอกแน่น ไม่กล้าขยับอย่างผลีผลาม
“นี่คือชุดจันทร์ส่องนที สหายซ่งไม่รู้จักหรือ”
ซ่งฉือมองเสื้อผ้าชุดนี้ นอกจากใช้วัสดุราคาแพงแล้วเขาก็ไม่เห็นว่ามันต่างกับชุดทั่วไปอย่างไร
“ก็แค่เสื้อผ้าชุดหนึ่งเท่านั้น” จี้ชิงเปิดปากพูด ก่อนจะมองผ่านทั้งสองคนออกไปนอกประตู
“โอ้ ฟ้าสว่างแล้ว”
ซ่งฉือลุกขึ้นยืน ชายเสื้อสีดำสะบัดไปถูกด้ามกระบี่ของจี้ชิง กล้ามเนื้อหลังที่ได้สัดส่วนกระทบกับแสงแดด บังสายตาของจี้ชิงที่กำลังยื่นมือออกมาหยิบกระบี่หลิงหาน ด้ามกระบี่จึงกระแทกเข้าที่เอวของซ่งฉือ ฝ่ายนั้นยืนตัวแข็ง กระโดดถอยหลังราวกับถูกถีบ
“เจ้า…เจ้าทำอะไรน่ะ”
จี้ชิงกวาดตามองซ่งฉือ ยามปกติอีกฝ่ายทำตัวเหมือนอันธพาล แต่พอถูกแตะเบาๆ กลับกระโดดโหยงราวกับตั๊กแตน
“เจ้าบังแสงข้า”
จี้ชิงลุกขึ้นยืน ชายชุดจันทร์ส่องนทีก็พลิ้วไหวตามสายลมราวกับเกลียวคลื่นเป็นประกายระยิบระยับจับตา
ซ่งฉือหัวเราะ สะบัดแขนเสื้อไปด้านหลัง “เจ้าให้ความรู้สึกเหมือนกับพระโพธิสัตว์ เรืองแสงได้ด้วย”
เจียงซ่างได้แต่มองซ่งฉือจับชายเสื้อของจี้ชิงอย่างมีความหวัง แต่หลังจากที่อีกฝ่ายตวัดตามองเขาเงียบๆ เขาก็ได้แต่นั่งกัดขอบผ้าเช็ดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น นี่มันไม่ยุติธรรม!
อาจิ่งสะกิดเขา เจียงซ่างถึงรู้ตัวว่ายังมีเด็กหญิงตัวน้อยอีกคน
“ท่านพี่ซ่ง สหายซ่ง น้องสาวท่านสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว”
เจียงซ่างขยับเข้าไปใกล้ เห็นนิ้วเรียวยาวของซ่งฉือกดอยู่บนข้อมือของคุณชายสามแห่งตระกูลจี้ราวกับจับชีพจร
ซ่งฉือสะบัดมือไล่ “ไปๆๆ ดูอะไร ชีพจรปกติดี ไม่ได้มีเรื่องน่ายินดีอะไร”
จี้ชิงตวัดสายตามองเขาครู่หนึ่ง
หลังจากอาจิ่งเก็บเสื้อผ้าและช่วยซ่งฉือสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็พูดเสียงแผ่วเบาออกมาสองคำ
“ข้าหิว”
ซ่งฉือจึงนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย
อนิจจา ถ้าให้ท่านพี่รู้ว่าพวกเขาใช้ชีวิตข้างนอกแบบนี้ ต่อไปคงไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้อาจิ่งเป็นแน่
“ไปกันเถอะ”
“สหายซ่งจะไปไหนหรือ”
ซ่งฉือหันกลับไปมองเจียงซ่างพลางยิ้ม “กลับบ้านน่ะสิ เจ้าไม่มีบ้านรึ”
“บ้าน?” เจียงซ่างครุ่นคิดอยู่สักครู่ แล้วแสดงสีหน้าสับสน “บ้านคืออะไรรึ”
ซ่งฉือขมวดคิ้ว เม้มริมฝีปากแล้วมองด้านหลังของจี้ชิง “เอ่อ…บ้านคือ…ใช่แล้ว!” เขาตบมือฉาดใหญ่ราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง “ลองถามจี้ชิงดูสิ คุณชายสามแห่งตระกูลจี้ต้องรู้อย่างแน่นอน”
เจียงซ่างพยักหน้าด้วยความไม่เข้าใจ แล้ววิ่งตามจี้ชิงไป