พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส - ตอนที่ 6 เผชิญหน้าปีศาจน้อยโดยบังเอิญ
- Home
- All Mangas
- พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส
- ตอนที่ 6 เผชิญหน้าปีศาจน้อยโดยบังเอิญ
หก
เผชิญหน้าปีศาจน้อยโดยบังเอิญ
ว่าไปแล้วการที่ซ่งฉือพาอาจิ่งไปด้วยก็ไม่ได้เปล่าประโยชน์ไปเสียทีเดียว
อาจิ่งทำครัวเก่ง อีกทั้งยังดูแลเขาได้เป็นอย่างดีตลอดการเดินทาง ประการที่สองคือเด็กบื้อผู้นี้เป็นคนที่เข้าสังคมไม่เก่ง นอกจากกู้ฉือแล้ว นางมักไม่พูดกับใครเลย ดูเหมือนคนสมองช้า ขาดประสบการณ์ในโลกภายนอกอีกทั้งใบหน้ายังซูบผอม
“อาจิ่ง ข้าจะบอกให้นะ อยู่ข้างนอกต้องหน้าหนาหน่อย ต้องพูดเก่งด้วย ปากหนักเช่นนี้ระวังถูกจับไปขายเป็นสาวใช้ในหอโคมเขียว” ซ่งฉือสะบัดพัดในมือที่มีชื่อว่าหยกพิสุทธิ์ เพื่อพัดให้ลมเย็นปะทะเข้าหน้า เขาหัวเราะแล้วโบกพัดใส่หน้าของเจ้าเด็กน้อยที่ยังคงทำหน้าตาเหลอหลาดังเดิม แล้วกล่าวว่า “มานี่มา ยกมุมปากเล็กๆ นี่ขึ้นหน่อยซิ”
อาจิ่งส่ายหน้าจนกระดิ่งบนเครื่องประดับศีรษะส่งเสียงดัง
“เด็กน้อย” ซ่งฉือเขกหัวนาง แสร้งทำเป็นโหดเหี้ยม “มา ยิ้มหน่อย เร็ว”
อาจิ่งจ้องหน้าอีกฝ่ายเหมือนกำลังมองพวกปัญญาอ่อน แล้วเอ่ยประโยคแรกกับซ่งฉือตั้งแต่พวกเขาออกเดินทางมาด้วยกัน
“ข้าไม่อยากโง่เหมือนเจ้า”
ซ่งฉือรู้สึกเหมือนกำลังจะกระอักเลือดขึ้นมาทันที
ว่าไงนะ ยายเด็กบื้อนี่ว่าเขาโง่อย่างนั้นรึ!
“เจ้าคิดว่าข้าโง่รึ” ซ่งฉือสะบัดพัดหยกพิสุทธิ์เสียงดัง นั่งยืดตัวตรงอยู่บนก้อนหิน จ้องอาจิ่งเขม็ง “ข้า โง่ ตรงไหน กัน”
เขากระตุกริมฝีปากราวกับกำลังยิ้ม พูดทีละคำ ทว่าแต่ละคำเป็นคำถามที่ถามตัวเองทั้งสิ้น
อาจิ่งจ้องตากับเขาแล้วก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวเสียงเบา “เจ้าไม่ได้ยิ้มจริงๆ”
ซ่งฉือสะดุ้ง ในขณะนี้มีทั้งเสียงลมและเสียงใบไม้ดังขึ้นพร้อมๆ กัน รอยยิ้มค้างอยู่ที่มุมปาก กำพัดในมือแน่นเสียจนข้อต่อไร้สี
“ฐานะของเจ้าล้วนเป็นของปลอมทั้งสิ้น จะเป็นผู้ลากมากดีหรืออันธพาลก็ดี ผู้รากมากดีก็เป็นสิ่งที่เจ้าคิดไปเอง แล้วก็เป็นเรื่องยากที่เจ้าจะเป็นประมุขแห่งหอไห่ถังได้ ส่วนเรื่องอันธพาล มันก็แค่เจ้าเข้าห้องผิดแล้วบังเอิญไปเห็นพี่หญิงฟ่างอวี้อาบน้ำอยู่ จากนั้นก็กลายเป็นข่าวไปทั่ว…และถึงแม้เจ้าช่วยชีวิตข้า แต่ไม่คิดว่าข้าติดหนี้อะไรเจ้า ล้วนเป็นศิษย์พี่กู้ที่คอยดูแลข้าทุกอย่าง”
อาจิ่งค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ความสับสนฉายอยู่ในดวงตา
“คนเราก็มักเป็นอย่างนี้แหละ นำความจอมปลอมเจ้าเล่ห์มาใช้เป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด” นางแสยะยิ้ม มองเขา “ยิ้มแบบนี้เสแสร้งจริงๆ”
สมองของซ่งฉือถูกคำพูดของอาจิ่งครอบงำไว้แล้ว…เด็กหญิงคนนี้วิเคราะห์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แม้แต่เซียนยังต้องยกย่องให้นางเป็นปีศาจ
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่ารอยยิ้มของข้าเป็นรอยยิ้มจริงใจหรือเป็นการแสร้งยิ้ม” เขาทำปากเบ้ “ข้าไม่สามารถยิ้มจากใจได้เลยหรือ”
อาจิ่งมองลงไปด้านล่าง นิ้วเท้าชิดเข้าหากันแล้วมองไปดูดอกไม้ที่ถูกลมพัดไปมา จากนั้นก็ส่ายหน้าไปมาอย่างเชื่องช้า
“ข้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าข้าเป็นใคร แล้วจะดูออกได้อย่างไรว่ารอยยิ้มของเจ้าเป็นรอยยิ้มที่จริงใจหรือเสแสร้งกันแน่”
พวกเขาเดินกันยังไม่ถึงครึ่งทาง ขณะที่กำลังถกกันถึงเรื่องรอยยิ้มจากใจหรือรอยยิ้มเสแสร้งท่ามกลางทางรกร้าง ซ่งฉือรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ไม่ต้องพูดถึงอาจิ่งที่ความจำเสื่อม สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือต้องรีบไปให้ถึงจุดหมายต่อไปเสียก่อน
ฟ้าใกล้มืดแล้ว อีกทั้งยังมีเสียงลมฝน เกรงว่าห่าฝนจะตกลงมาในอีกครึ่งชั่วยาม
เขาสะบัดพัดหยกพิสุทธิ์เสียงดัง จากนั้นก็เอามันตบที่ท้ายทอยของเด็กหญิงเบาๆ “ไม่ต้องไปสนว่าความทรงจำจริงเท็จเป็นอย่างไร คนเราน่ะไม่จำเป็นต้องหมกมุ่นอยู่กับอดีต สิ่งต่างๆ เวียนเข้ามาแล้วก็เวียนออกไป ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปหาของอร่อยกินเอง”
นึกว่าจะช้าแต่กลับรวดเร็วกว่าที่คิด พายุฝนฟ้าคะนองที่คาดว่าจะตกในอีกหนึ่งชั่วยาม อยู่ดีๆ ก็กระหน่ำลงมาจนคนทั้งสองเปียกปอนไปทั้งร่าง
ซ่งฉือมองไปรอบๆ แล้วก็เห็นวัดร้าง อาจิ่งจามออกมาทันทีหลังจากที่วิ่งเข้ามาหลบฝนด้านใน ซ่งฉือมองนาง จากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมลงไปบนไหล่ของอาจิ่ง
เมื่อหาฟืนแห้งพบจึงนำมาก่อไฟ
“นั่นใคร”
เสียงคำถามที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้อาจิ่งลุกขึ้นจากที่นั่ง ซ่งฉือเองก็ตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“เจ้าเป็นใคร เป็นคนหรือเป็นผี แจ้งชื่อเจ้ามาเดี๋ยวนี้”
แม้เขาจะตกใจ แต่อย่างน้อยก็ยังมีอาจิ่งอยู่ที่นี่ และถึงไม่มีกำลังภายใน แต่ก็มีวิทยายุทธ์ติดตัวอยู่บ้าง
“เจ้าบอกมาก่อนว่าเจ้าเป็นใคร”
เสียงนั้นดูล่องลอย ไม่เหมือนกับเสียงของมนุษย์
“ข้าคือมังกรนกเฟิ่งหวง4ท่ามกลางผู้คน”
ซ่งฉือจุดคบไฟแล้วส่องไปทางที่มาของเสียง
“ข้าก็คือเฟิ่งหวงท่ามกลางผู้คนและมังกรเหมือนกัน!”
ซ่งฉือได้ยินดังนั้นก็รู้สึกสนุก “เจ้าไม่ใช่คนหรอกรึ”
“เจ้าด่าใคร” เจ้าของเสียงนั้นกระแอมกระไอ “แม้ข้าจะไม่ใช่มนุษย์จริงๆ ก็เถอะ”
“เจ้าออกมาเถอะ ข้าเห็นเจ้า” ซ่งฉือเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วขยับคบไฟ
อาจิ่งยืนพิงเสา เบิกตากว้างมองไปรอบๆ นางเกิดอาการกลัวตัวประหลาดที่โผล่ออกมาอย่างกะทันหัน
“อาจิ่ง ไม่ต้องกลัวนะ ข้าอยู่นี่” ซ่งฉือใช้หลังเป็นที่กำบังให้อาจิ่ง
“ถ้าอยากรู้ว่าข้าผู้นี้คือใครก็ต้องจ่ายมาก่อนสักตำลึงสองตำลึง” เสียงพูดก้องทว่าแผ่วเบาราวกับลอยมาจากทุกทิศทาง
ซ่งฉือคิดว่าหากนี่ไม่ใช่เทวดา ก็คงจะเป็นปีศาจน้อยอย่างแน่นอน “ข้าไม่มีหรอกเงินตำลึงสองตำลึง มีแต่ทองสองสามก้อน ถ้าจะเอาก็มาเอาสิ”
“ทองสองสามก้อนอย่างนั้นรึ” เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายดูพอใจอยู่ไม่น้อย น้ำเสียงของเขาดูมีความสุขมาก
ซ่งฉืออมยิ้มเล็กน้อยแล้วล้วงพัดหยกพิสุทธิ์ออกมา แล้วค่อยๆ ขยับเข้าไปยืนตรงกลางอย่างเงียบๆ
“ทองจ๋า ข้ามาแล้ว”
ทันใดนั้นเสียงก็ดังมาจากด้านหลัง ซ่งฉือหันกลับไปมอง เห็นตัวประหลาดหน้าตาบูดเบี้ยวมีเขี้ยวงอกออกมา ดวงตาสีขาวขนาดใหญ่ ริมฝีปากเต็มไปด้วยเลือดกำลังพุ่งเข้ามาหาเขา อาจิ่งตกใจจนกรีดร้องเสียงหลง ไอ้ตัวประหลาดนั่นโผล่มาจากทางด้านหลังของนาง
ซ่งฉือค่อยๆ หมุนตัวไปครบรอบอย่างเชื่องช้า แล้วใช้พัดเคาะท้ายทอยเจ้าตัวประหลาด เจ้านั่นส่งเสียงร้องเสียงดังลั่นและหันกลับมาคำรามใส่ซ่งฉือ
“เอาเงินมา”
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นพวกหน้าเงิน” ซ่งฉือหยิบทองในมือส่ายไปมา “มาสิ มาเอาสิ”
เจ้าตัวประหลาดถูกกวนอารมณ์ คำรามเสียงดังแล้วพุ่งไปหา ทว่าเร็วกว่าที่คิด อาจิ่งที่ยืนอยู่ข้างเขาคว้าไม้มาหนึ่งท่อน ฉวยจังหวะเหมาะฟาดลงไปที่ท้ายทอยเจ้าตัวประหลาดอย่างจัง เจ้าตัวประหลาดส่งเสียงร้องออกมาทว่ายังไม่ล้มลงไป หันหลังกลับมองอาจิ่ง เด็กหญิงกรีดร้องและวิ่งหนีไป
ซ่งฉือจับไหล่ของเจ้าตัวประหลาดแล้วทุ่มลงไปบนพื้น กดแขนทั้งสองข้างของมันแล้วเปลื้องชุดอันน่ากลัวนั้นทิ้งไป
เด็กหนุ่มผู้นั้นร้องโอดครวญ ทันทีที่เจอแสงแดด หลังจากปรับสายตาได้แล้วก็เห็นซ่งฉือกำลังหัวเราะ
“ขออภัย ข้าจำผิดคน”