พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส - ตอนที่ 5 เหตุผลที่ต้องไปพบสาวงาม
ห้า
เหตุผลที่ต้องไปพบสาวงาม
เจียงอินมีภูเขาและแม่น้ำที่งดงาม ด้านหลังภูเขาอุดมไปด้วยปูและปลาอ้วนพี
อาจิ่งมีฝีมือในการทำครัว นางใช้ท่อนไม้เขี่ยถ่านไฟ ด้านบนของโครงเหล็กสองชิ้นมีตะแกรงวางอยู่ ไขมันจากปลาที่ย่างบนตะแกรงหยดลงบนถ่านไฟ
ซ่งฉือยกสุราคืนเดือนบุหงาขึ้นมา เขานอนเอกเขนกบนก้อนหิน จิบเหล้าในมือด้วยความชื่นอกชื่นใจ
กู้ฉือพับขากางเกงขึ้นแล้วก้มลงไปจับปลาในแม่น้ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยหยดน้ำที่กระเซ็นใส่ ท่ามกลางบรรยากาศขมุกขมัวเพราะความชื้นในอากาศ
ซ่งฉือพลิกตัวลงมาจากก้อนหิน ชี้ไปที่กู้ฉือ “ศิษย์พี่ อาจิ่งเป็นเพียงสาวน้อยคนหนึ่ง ท่านปล่อยให้นางถูกรมควันได้อย่างไรกัน ท่านดูสิ หน้านางดำไปหมดแล้ว”
พอกู้ฉือจะอ้าปากพูด ซ่งฉือก็ก้มลงมองปลาย่างพร้อมกับเบ้ปาก
“อาจิ่ง โรยผงพริกอีกหน่อยสิ กินกับสุราคืนเดือนบุหงาไหนี้กำลังดีเลย”
“เฮ้อ…” อาจิ่งถอยไปด้านข้าง ห่างจากซ่งฉือไม่ไกล
“อาฉือ เจ้าดื่มเหล้าน้อยๆ หน่อย ถึงแม้ว่าสุราคืนเดือนบุหงาจะหอมหวาน แต่มันก็แรงไม่น้อย ถ้าเจ้าเมา ข้ากับอาจิ่งลากเจ้ากลับไม่ไหวหรอกนะ” กู้ฉือบิดขากางเกงที่ชุ่มไปด้วยน้ำ จากนั้นเดินไปแย่งไหสุราจากมือซ่งฉือแล้วปิดฝา แม้ว่าสุราคืนเดือนบุหงาเป็นสุราผลไม้ ทว่ามันเป็นสุราฤทธิ์แรงมาก
ตะแกรงเหล็กถูกเผาจนร้อน อาจิ่งหยิบมันขึ้นมาไม่สำเร็จในครั้งแรก นางต้องชักมือออกมาจับติ่งหูพลางกัดฟัน
“อาจิ่ง มา ข้าเอง ระวังมือนะ” กู้ฉือใช้ผ้าจับไปที่มุมทั้งสองข้างของตะแกรง วางไว้บนก้อนหิน ใช้มีดเหลาตะเกียบไม้สามคู่
“อาฉือ มานี่” กู้ฉือนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้าง กวักมือเรียกซ่งฉือที่กำลังล้างหน้าอยู่ในแม่น้ำ
อาจิ่งนั่งลงด้านข้างและเริ่มกินไปก่อนแล้ว ซ่งฉือกระโดดขึ้นไปบนก้อนหิน ถือตะเกียบไว้ในมือ คีบท้องปลามันส่วนที่นิ่มที่สุดส่งให้อาจิ่ง ทว่าอาจิ่งส่ายตะเกียบไปมาแล้วเอื้อมไปคีบหางปลาส่วนที่มีแต่กระดูกไป
“เฮ้อ เจ้าเด็กน้อยนี่ ส่วนที่นิ่มที่สุดไม่กิน ช่างเถอะๆ มองข้ามความหวังดีของคนอื่น” ซ่งฉือชำเลืองมองนาง ก่อนจะคีบส่วนที่นิ่มที่สุดใส่ปากเคี้ยวกินเอง
“อาจิ่งชอบเคี้ยวหางปลากรุบๆ สะใจดี อาฉือ เจ้าตะกละมาตั้งแต่เด็กแต่กลับไม่ชอบกินเนื้อตรงหางปลา นี่ถือเป็นส่วนเติมเต็มเจ้ากับอาจิ่งเลยนะ”
“ข้าไม่ต้องการส่วนเติมเต็มร่วมกับยายโง่นี่หรอกน่า” ซ่งฉือยืนขึ้น “พูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ดี ข้านึกขึ้นมาได้ว่าวันเกิดของยายเด็กโง่นี่ใกล้มาถึงแล้วใช่หรือไม่”
“โอ้ นึกออกแล้ว อาจิ่งกับเจ้าห่างกันหนึ่งเดือน” กู้ฉือนึกขึ้นได้ หลังจากวันที่เก็บอาจิ่งมาดูแลได้ครบหนึ่งเดือนก็เป็นวันเกิดของอาฉือ
นึกๆ ไปแล้วเรื่องราวต่างๆ นั้นผ่านไปรวดเร็ว
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราไปหาหยกสักชิ้นให้อาจิ่งกันดีกว่า จัวลู่มีหยกมากมายไม่ใช่หรอกหรือ อาจิ่งเหมือนเกิดใหม่หลังจากตกทุกข์ได้ยาก ใส่หยกสักชิ้นจะได้ป้องกันคราเคราะห์ที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า” ซ่งฉือดีดก้างปลาทิ้ง กลอกตามองทั้งสองคน แล้วแสร้งทำเป็นพูดลอยๆ
“จัวลู่หรือ”
กู้ฉือเหลือบมองเขาแล้ววางตะเกียบลง อาจิ่งเห็นกู้ฉือวางตะเกียบลงก็วางลงตาม ทั้งสองเบิกตามองซ่งฉือตาไม่กะพริบ
“เจ้าสองคนมองข้าด้วยเหตุใด… ยายเด็กโง่ ข้าทำทุกอย่างเพื่อเจ้านะ” ซ่งฉือใช้ตะเกียบสะกิดแขนของอาจิ่ง “เจ้าไม่อยากได้หยกสักชิ้นหรอกรึ”
อาจิ่งมองกู้ฉือด้วยความงุนงง “หยกเอาไปทำอะไรได้บ้างเจ้าคะ”
“ไอ้หยา เจ้าไม่ต้องสนใจหรอกว่าหยกอะไร ไปหาหยกที่จัวลู่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรอกรึ อีกอย่าง…ช่วงนี้ท่านพ่อกำลังจะโจมตีเขาสลายมารไม่ใช่รึ เราไปเยี่ยมคุณชายจี้กัน ไม่แน่…บางทีเขาอาจจะช่วยท่านพ่อได้อีกแรงหนึ่ง”
ซ่งฉือลุกขึ้นยืนตบก้น โบกมือพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงฮึกเหิมว่าทุกอย่างนี้มีจุดประสงค์เพื่อปราบปีศาจภูเขา
กู้ฉือยิ้มเล็กน้อยราวกับรู้อะไรบางอย่าง
“อาจิ่ง ครั้งนี้เจ้าไปกับอาฉือเถอะ” เขาลุกขึ้นยืนพร้อมถกชายเสื้อขึ้น จากนั้นก็หยิบพลุไฟที่เหน็บอยู่ตรงเอวส่งให้ซ่งฉือ
“แม้ว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดถึงคุณชายจี้คนไหน แต่ในเมื่อเจ้าจะไป เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถอะ หากมีเรื่องอะไรเกิดอะไรขึ้นแล้วเจ้ารับมือไม่ไหวก็ยิงพลุสัญญาณแจ้งให้ข้าทราบ”
ซ่งฉือรับมาแล้วหมุนพลุในมือไปมาพลางหัวเราะ “รับทราบศิษย์พี่”
“ส่วนเรื่องท่านประมุขนั้น ข้าจะหาข้ออ้างให้เจ้าเอง เก็บของแล้วก็ดูแลอาจิ่งดีๆ นะ” กู้ฉือพูดพร้อมกับหันไปลูบหัวอาจิ่งแล้วคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน
อาจิ่งจับชายเสื้อของกู้ฉือ หันหน้าไปทางซ่งฉือแล้วส่ายหน้า
ซ่งฉือตะโกนเสียงดัง “เฮ้ย ยายเด็กบื้อ ข้าขอเตือนเจ้า ทางที่ดีอย่าทำหน้าตาน่าสมเพชเช่นนี้ ข้าจะไปหาหยกให้เจ้าไม่ใช่ไปส่งเจ้า ทำอย่างกับจะตายจากกัน คิดว่าข้าจะทำอะไรเจ้าอย่างนั้นแหละ”
อาจิ่งยิ่งทำท่าทางน่าสงสารมากขึ้นแล้วหลบไปอยู่หลังกู้ฉือ
กู้ฉือตบไหล่อาจิ่งเบาๆ และพูดปลอบใจ “ไม่มีอะไรหรอกอาจิ่ง อาฉือก็พล่ามไปอย่างนั้นเอง เขาไม่จับเจ้าไปขายหรอก อีกอย่าง…แค่ไปหาหยกสักชิ้นเท่านั้นคุณชายจี้คงไม่ได้ทำอะไรให้พวกเจ้าตกที่นั่งลำบากหรอก คิดซะว่าไปเที่ยวก็แล้วกัน อย่าดื้อนะ”
อาจิ่งเชื่อฟัง ทว่ายังไม่ยอมปล่อยมือ ซ่งฉือก้าวออกไปอุ้มเจ้าเด็กน้อยไว้ในมือแล้วหัวเราะเสียงดัง
“ศิษย์พี่ ไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลเจ้าเด็กบื้อเป็นอย่างดี”
กู้ฉืออดไม่ได้ที่จะมองซ่งฉือจูงอาจิ่งเดินจากไป อาจิ่งยังเด็ก หลังจากเดินสะดุดไปตลอดทางลงเขา จึงถูกซ่งฉือแบกไว้บนหลัง
กู้ฉือหันหน้าไปด้านข้าง…ตระกูลจี้แห่งจัวลู่มีสมาชิกทั้งหมดสี่คน มีผู้บรรลุวิทยายุทธ์สองคน พวกเขามีแววตาที่เต็มไปด้วยความเมตตา แม้จะเป็นกันเองกับผู้คน ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความคิดมากมาย อาฉือเป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรอ้อมค้อม คิดไปแล้วต่างจากจี้หลิงอู้
คนที่เหลือก็คือจี้เสวียนอวี๋กับจี้หลิน แต่อาฉือไม่เคยเจอมาก่อน หรือว่าจะเป็นจี้ชิง?
กู้ฉือถอนหายใจ เดินลงจากเขาไปตามถนนหินเรื่อยๆ
เกรงว่าพี่หญิงกับฮูหยินหมิงหานคงจะคิดไม่ถึงว่าแม้ยกเลิกสัญญาที่มีต่อกันไปแล้ว แต่ทั้งสองคนยังคงกลับมาพบกันได้