พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส - ตอนที่ 4 บทลงโทษและยาบำรุง
สี่
บทลงโทษและยาบำรุง
“คุกเข่าลง”
เรือนกว่างหลิงจุดไฟส่องสว่างตั้งแต่ฟ้าเริ่มมืด
ซ่งฝูอี้คุกเข่าเงียบๆ อยู่หน้าเรือน กู้ฉือยืนอยู่ด้านหลังของเขา มองแผ่นหลังเหยียดตรงของคนที่กำลังคุกเข่าด้วยสีหน้ากังวล
“ซ่งฉือ ข้าซ่งจือหนาน ในชีวิตของข้าไม่เคยทำสิ่งเลวร้ายใดๆ แต่เหตุใดฟ้าดินถึงลงโทษข้ากับอาหลีให้มีลูกแบบเจ้ากันนะ”
“ท่านประมุข” กู้ฉือขมวดคิ้ว เม้มริมฝีปาก คำพูดของประมุขซ่งรุนแรงเกินไป
“ซ่งฉือ ตอนที่เจ้ายังเป็นเด็ก ข้าไม่เคยบังคับให้เจ้าต้องฝึกวิทยายุทธ์เพราะเจ้าไม่มีหยวนตัน เพียงแต่ให้ฉางซือสอนวิทยายุทธ์พื้นฐานให้เจ้าเท่านั้น แต่เจ้าน่ะ ตั้งแต่โตขึ้นมากลับหนีไปเที่ยวสำมะเลเทเมาคบหาแต่พวกนักเลงเป็นประจำ”
ซ่งจือหนานหยิบแส้ออกมา ความโหดเหี้ยมฉายผ่านแววตา “ข้ารู้ว่าตั้งแต่เล็กจนโต ข้าไม่เคยได้ตีเจ้าน้อยลงเลย”
ซ่งฉือคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเปี่ยมทิฐิ ทว่าฝ่ามือในแขนเสื้อกลับกำแน่นจนขึ้นสีขาว
“ถอดเสื้อออก” ซ่งจือหนานก้าวลงมาจากที่นั่ง “เปลือยหลังซะ”
กู้ฉือร้อนรนเหมือนมดที่วิ่งบนกระทะร้อน ไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป จึงหันหลังเดินออกไปจากเรือนกว่างหลิง
ซ่งฉือปลดสายรัดเอวออกเผยให้เห็นร่างกายท่อนบนที่ขาวซีด ไฝสีชาดบนกระดูกไหปลาร้าดูเหมือนหยดเลือด
“เฆี่ยนครั้งที่หนึ่ง ลงโทษที่เจ้าช่างหน้าหนาไร้ยางอาย”
ปลายแส้ที่ตวัดกระทบผิวหนังบนแผ่นหลังราวกับตวัดเอาเนื้อหนังของเขาติดไปด้วย
ซ่งจือหนานมือสั่นเทาทุกครั้งที่ตวัดแส้ลงบนตัวซ่งฉือ เขาคิดเสมอว่าร้อยปีหลังจากนี้ อาหลีจะมาตำหนิเขาหรือไม่ ทว่าเขาก็ไม่มีวิธีการอื่นใดที่ดีกว่านี้ ถ้าเขาไม่ดูแลให้ดี อาหลีก็จะยิ่งตำหนิเขา
“เฆี่ยนครั้งที่สอง ลงโทษที่เจ้าเสียคน”
ซ่งฉือกัดฟันแน่นไม่ยอมร้อง ความจริงมันก็ไม่มีอะไรมาก ทนให้จบๆ ไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย
“เฆี่ยนครั้งที่สาม ลงโทษแทนท่านแม่ของเจ้า ไม่มีเหตุผล เจ้าต้องสำนึกเอาเอง”
แส้ครั้งที่สามนี้เป็นแส้ที่หนักที่สุด ซ่งฉือรู้สึกว่าทั้งร่างของเขาคะมำไปด้านหน้าโดยไม่รู้ตัว รอยแผลบนแผ่นหลังปวดแสบปวดร้อนราวกับลงไปแช่ในน้ำเกลือ
ไม่มีเหตุผลอย่างนั้นเหรอ
ฮึ!
“ท่านไม่คู่ควร” ซ่งฉือยันตัวลุกจากพื้นแล้วเช็ดเลือดที่มุมปาก
“เจ้าลูกทรพี เจ้าพูดว่าไงนะ” ซ่งจือหนานมือไม้สั่น โยนแส้ที่เปื้อนเลือดทิ้งไป
“ข้าพูดว่าท่านไม่คู่ควรที่จะมาสั่งสอนข้าแทนท่านแม่ของข้า” ซ่งฉือประคองตนเองให้ลุกขึ้น ในมือถือพัดหยกพิสุทธิ์ไว้
“ตัวของท่านเองนั่นแหละที่ให้กำเนิดลูกสวะเช่นนี้ออกมา มันเกี่ยวอะไรกับข้า” ซ่งฉือหัวเราะแล้วเดินไปยืนตรงหน้าซ่งจือหนาน “ถ้ารู้แต่แรก มิสู้ไม่ให้เกิดท่าจะดีกว่า!”
ซ่งจือหนานแทบกระอักเลือด แต่ก็พยายามอดกลั้นไว้แล้วก้าวเดินไปข้างหน้า “ไสหัวไป!”
ซ่งฉือเบ้ปาก “ความจริงแล้วข้าก็ไม่อยากอยู่ต่อนักหรอก”
กู้ฉือยืนอยู่นอกเรือน เมื่อเห็นเขาเดินกะเผลกออกมาก็รีบก้าวออกไปประคองเขาในทันที
“อาฉือ เจ้าไม่น่าพูดกับท่านประมุขแบบนั้น”
ใบหน้าของซ่งฉือซีดเผือด ปิดปากเงียบเดินตรงไปที่เรือนหลิงกวง
“การตายของท่านแม่ ท่านพ่อโทษข้ามาตั้งแต่ต้น”
เมื่อกู้ฉือไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ ซ่งฉือเดินก้มหน้าไปพูดน้ำเสียงเย็นชาไป
มันเป็นอะไรที่พูดยาก ภายในจิตใจของเขาว้าวุ่น…กู้ฉือถอนหายใจเงียบๆ แต่เขาเป็นห่วงซ่งฉือ
“การตายของพี่หญิง ท่านประมุขไม่เคยโทษเจ้า” กู้ฉือพยุงที่เอวของอีกฝ่าย อดไม่ได้ที่จะมองไปยังรอยแผลบนตัวเขา
“ไม่โทษข้าเช่นนั้นรึ เขาเกลียดข้าที่ทำให้ท่านแม่ต้องตาย” พอซ่งฉือพูดจบก็แค่นหัวเราะขื่นๆ ออกมา
เป็นเวลาหลายปี ทุกครั้งที่วันเกิดของเขาเวียนมาถึง มักจะเป็นเวลาที่ขมขื่นที่สุด นึกขึ้นมาแล้วก็น่าขำ หลายปีมานี้เขาไม่เคยเห็นท่านพ่อเข้ามาถามสารทุกข์สุกดิบแม้แต่ประโยคเดียว
ไม่มีแม้เพียงคำสองคำ
แม้แต่ในพิธีสวมกวานก็คิดแต่เพียงจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างไรบ้าง
หากว่าเขาตายตั้งแต่แรกก็คงจะดี จะได้ไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานเช่นนี้
เช้าตรู่ของวันที่สอง กู้ฉือต้มยาจับช้วงต้าโป้วทึง2เสร็จ พาอาจิ่งเข้ามาด้วย
ตอนที่กู้ฉือพานางเข้ามา ซ่งฉือกำลังนอนเปลือยหลังให้ มีรอยแผลบนหลังเป็นเส้นๆ ผิวหนังบางส่วนปลิ้นออกมา ดูรุนแรงเอาการหากเทียบกับครั้งก่อนๆ
อาจิ่งขมวดคิ้ว กู้ฉือส่งสัญญาณให้แต้มจินชวง3ลงไปอีก นางเป็นหญิงสาวจึงละเอียดอ่อนและระมัดระวังเป็นพิเศษ
“อือ” ซ่งฉือลืมตาขึ้นด้วยความฉงน เมื่อเห็นหน้าไร้พิษภัยของอาจิ่งก็ตกใจจนตีลังกาหงายหลัง ผลลัพธ์คือกลายเป็นเกี่ยวผิวหนังที่เป็นแผลเจ็บจนต้องกัดฟัน
“ศิษย์พี่ เรียกนางมาที่นี่เพราะเหตุใด” เขาลุกขึ้นนั่งแล้วคว้าเสื้อมาคลุมหน้าอก
กู้ฉือเห็นสภาพเช่นนี้ของเขาก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“อาฉือ แผลของเจ้าต้องทายาเป็นประจำ ข้าเองก็ซุ่มซ่าม อาจิ่งเป็นสตรี น่าจะทำเรื่องพวกนี้ได้อ่อนโยนกว่า” กู้ฉือชี้ไปที่ชามซุปจับช้วงต้าโป้วทึงที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ
“ในเมื่อเจ้าตื่นแล้วก็รีบดื่มตอนร้อนๆ เถอะ ข้าใช้เวลาตุ๋นหลายชั่วโมงเชียวนะ”
ซ่งฉือพยายามประคองตัวลุกขึ้น เห็นอาจิ่งหลบอยู่หลังอาฉือดูเกรงกลัวเขาอยู่ไม่น้อย
“เหตุใดนางดูกลัวข้าขนาดนี้ล่ะ”
ถูกช่วยชีวิตมาสามปี เขาซื้ออาหารดีๆ พานางไปเล่นอย่างสนุกสนานตั้งหลายครั้ง แต่อาจิ่งก็ยังมองเขาราวกับว่าเป็นสัตว์ดุร้ายอยู่เสมอ
“อาจิ่งเกิดมาใสซื่อบริสุทธิ์ เจ้ากับนางใช้ชีวิตไม่เหมือนกัน นางจึงกลัวเจ้าเป็นเรื่องธรรมดา” กู้ฉือช่วยซ่งฉือสวมเสื้อให้เรียบร้อย ทว่าไม่กล้าเอาเสื้อแนบลงไปบนแผ่นหลังของเขาเลย
“ไม่เป็นไร ไม่เจ็บแล้ว”
กู้ฉือปล่อยมือออก เห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วเก็บซ่อนความเจ็บปวดไว้ก่อนลุกขึ้นมานั่งที่โต๊ะ หยิบถ้วยยาขึ้นมาแล้วยื่นให้เขา
“อาจิ่ง ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เจ้าไปเอาว่าวที่เพิ่งทำเสร็จมาให้อาฉือดูสิ” กู้ฉือหันมาลูบศีรษะอาจิ่งเบาๆ
อาจิ่งจึงรีบวิ่งกลับไปหยิบว่าวด้วยความลิงโลด
“ยายเด็กโง่นี่มีสองหน้างั้นรึ เฮอะ!” ซ่งฉือบีบจมูกแล้วกรอกยาจับช้วงต้าโป้วทึงสีดำในถ้วยลงคอไปอึกใหญ่
“ตั้งแต่เจ้าช่วยอาจิ่ง สิ่งแรกที่นางลืมตาขึ้นมาก็เห็นข้า ในหอไห่ถังแห่งนี้ นางคิดว่ามีแค่ข้าคนเดียวที่ดีต่อนาง กล่าวอีกนัยหนึ่ง ข้าคงต้องถือว่าเป็นคุณงามความดีของเจ้านะ” กู้ฉือยื่นยาจับช้วงต้าโป้วทึงอีกถ้วยให้เขา
ซ่งฉือรีบโบกมือ ยาถ้วยนี้ขมจนเขาอยากจะอาเจียนออกมา
“ข้าว่าแม่สาวน้อยคงหลงเสน่ห์ความหล่อเหลาของศิษย์พี่เข้าแล้วละ”
“เหลวไหล” กู้ฉือพูดพร้อมกับเอายาจับช้วงต้าโป้วทึงอีกถ้วยกรอกปากซ่งฉือ
จากนั้นอีกเพียงครู่เดียว อาจิ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับมา ในมือถือว่าวนกนางแอ่นที่เพิ่งทำเสร็จ นางยืนอยู่หน้าประตู ยื่นหัวเข้าไปครึ่งหนึ่ง มองกู้ฉือด้วยสายตาประจบประแจง กู้ฉือได้ยินเสียงฝีเท้าของนางจึงหันหน้ากลับไปยิ้มให้แล้วจับมือนางขึ้นมา
ซ่งฉือเห็นแต่ว่าวที่ข้อต่อโครงเครง ส่วนดวงตาของนกนางแอ่นเป็นน้ำหมึกดำสนิท ปีกก็บูดเบี้ยว ดูน่าขันสำหรับผู้คนในเรือนกว่างหลิง
“นี่เหรอที่เรียกว่าว่าว น่าขันเสียจริง”
อาจิ่งวางมือลงทันที นัยน์ตาหม่นลง
กู้ฉือหลบสายตา เม้มริมฝีปาก แล้วเงยหน้าขึ้นมองซ่งฉือตาขวาง “อาจิ่งเพิ่งทำว่าวเป็นครั้งแรก แล้วก็ทำออกมาได้ไม่เลวเลย เป็นว่าวที่น่ารักที่สุดที่ข้าเคยเห็น”
ซ่งฉือเบ้ปาก ถ้าศิษย์พี่พูดแบบนี้แล้วไม่รู้สึกขัดแย้งในใจ เขาก็ไม่ว่าอะไร
“ใช่ๆ อาจิ่งทำได้น่ารักที่สุดแล้ว”
อาจิ่งเงยหน้าขึ้น สีหน้าหม่นหมองเปลี่ยนเป็นสดใสทันที แววตาดูร่าเริงขึ้นไม่น้อย
เจ้าเด็กน้อย ช่างหลอกง่ายเสียจริง