พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส - ตอนที่ 15 คุณชายสามจี้แห่งจัวลู่
สิบห้า
คุณชายสามจี้แห่งจัวลู่
จี้หลิงอู้กลับจัวลู่ก่อนแล้ว
ซ่งฉือหยิบของบางอย่างออกมาจากหอลับ เขาชำเลืองมองไปมาด้วยความลุกลนแล้วรีบวิ่งไปหาจี้ชิง เห็นไกลๆ ว่าฝ่ายนั้นนั่งอยู่ท่ามกลางพื้นสีแดง แม้ว่าชุดจันทร์ส่องนทีขาดรุ่งริ่ง ทว่าในตัวก็เต็มไปด้วยไอของความเป็นเซียน หยิ่งยโสและเยือกเย็น
เขาไม่ได้เดินจากไป
ซ่งฉือถอนหายใจอย่างโล่งอก
จี้ชิงได้ยินเสียงฝีเท้าของซ่งฉือ จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น “หาเจอแล้วรึ”
“อือ”
ซ่งฉือส่งกระบี่ให้เขาดู น่าจะเป็นของท่านแม่ของซ่งฉือ
จี้ชิงรับมาแล้วชักกระบี่ที่มีความละม้ายคล้ายคลึงกับกระบี่หลิงหานออกมา
“ดูๆ แล้วมันคล้ายกับกระบี่เล่มนั้นของเจ้านะ” ซ่งฉือคุกเข่าลงแล้วลูบลายบนฝักกระบี่ “รู้สึกเหมือนทำจากฝีมือของคนคนเดียวกัน”
จี้ชิงพยักหน้า เงยหน้าขึ้นมองซ่งฉือ “กลับไปแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
ซ่งฉือประคองจี้ชิงขึ้นมาแล้วกล่าวด้วยความกังวล “ศิษย์พี่รองของเจ้าล่ะ เจ้าเด็กน้อยอีกสองคนนั่นด้วย”
“กลับไปก่อนแล้ว” จี้ชิงพูดเสียบเรียบ
ทิ้งจี้ชิงไว้ตรงนี้คนเดียวจริงๆ น่ะหรือ…ซ่งฉือแปลกใจ ไม่ใช่ว่าจี้หลิงอู้รักน้องชายคนนี้นักหนาหรอกหรือ
“พวกเขามีเรื่องต้องจัดการ” จี้ชิงอธิบายให้ฟังโดยไม่ได้กล่าวถึงความขัดแย้งกับศิษย์พี่รอง
“อ้อ” ซ่งฉือเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เหลียนอี้ไหวจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ก่อนที่จะฆ่าทุกคนมันยังใช้ยาพิษก่อน ศพทุกร่างสลายไป เกรงแต่เพียงสุดท้ายแล้วพลังแห่งเซียนจะถูกหลอมรวมเข้ากับเขาสลายมารและจอมมารชื่อเซียว”
ซ่งฉือซุกซ่อนใบหน้าของตนเอง เขารู้สึกแต่เพียงว่าง่วงมากอีกทั้งยังปวดตาเหมือนว่าตาจะบวม ศพของท่านพ่อกับศิษย์พี่ก็หายไปแล้ว อยากจะสร้างสุสานฝังสักแห่งแต่บริเวณโดยรอบก็เต็มไปด้วยฝุ่นควันและเถ้าธุลีดูไร้ระเบียบ
“เหลียนอี้ไหวหัวหน้าตระกูลเหลียนแห่งริมน้ำว่านหลิงกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว เหลียนอวี่เปี้ยนบุตรชายของเขาต้องมาโจมตีแน่นอน ไม่แน่ที่นี่อาจจะกลายเป็นซากปรักหักพังภายในค่ำคืนนี้” จี้ชิงเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นป้ายเรือนกว่างหลิงพอดี
“ข้าควรทำอย่างไร” ซ่งฉือสำลักเลือดและน้ำตาออกมา
จี้ชิงก้มหน้า เห็นอีกฝ่ายขดตัวลีบเล็ก อ่อนแอและขี้ขลาดเหมือนสุนัขจรจัดที่ไม่มีบ้านจะกลับ เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง อธิบายได้เพียงว่าน่าเวทนา
“เจ้าคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ” เขาถาม
ซ่งฉือเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด มุมปากซีดเผือด “ข้าจะต้องล้างแค้นเพื่อท่านพ่อ ศิษย์พี่ และลูกศิษย์หอไห่ถังอีกสามพันชีวิต”
ดวงตาของจี้ชิงหรี่ลงเล็กน้อย จากนั้นมุมปากก็ค่อยๆ ยกยิ้มขึ้นอย่างเชื่องช้า ก้าวไปข้างหน้าแล้วคุกเข่าเบื้องหน้าและมอบกระบี่ซุ่ยหานไว้ในมือของซ่งฉือ
“ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง”
ซ่งฉือมองจี้ชิงแล้วขมวดคิ้ว “ไม่ได้”
“เพราะเหตุใด”
ซ่งฉือจับกระบี่ซุ่ยหานยืนขึ้นแล้วหันหลังให้จี้ชิง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและเฉียบขาด “หลังจากพิธีสวมกวาน เจ้าก็จะบรรลุขั้นเซียน ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องหยุมหยิมบนโลกมนุษย์หรอก”
“ไม่ใช่เรื่องวุ่นวายอะไร” จี้ชิงยืนขึ้นแล้วเดินไปด้านหลังของซ่งฉือ “เจ้าไม่ได้บอกว่าจะเป็นพี่ชายข้ารึ ในเมื่อเป็นพี่ชายข้า ข้าก็ต้องทำหน้าที่พี่น้องอย่างเต็มที่”
“ถึงแม้เราจะเป็นพี่น้องกัน แต่ก็เป็นพี่น้องคนละตระกูลกัน” ซ่งฉือหันกลับไป “การบรรลุขั้นเซียนไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆ เรื่องสำคัญเช่นนี้จะล่าช้าได้อย่างไร”
“ข้าไม่อยากบรรลุขั้นเซียน” จี้ชิงหลบสายตา
ซ่งฉือทึ้งศีรษะด้วยความโกรธและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน เดี๋ยวพวกริมน้ำว่านหลิงมาก็จะซวยไปกันใหญ่”
จี้ชิงกอดกระบี่หลิงหานไว้เงียบๆ แล้วเดินตามหลังซ่งฉือไป
เดิมทีจัวลู่เป็นมหาสมุทรที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ตอนที่จี้ฟ่านหลอมกายตนเอง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว หอภพวิญญาณที่หายสาบสูญไปนานหลายร้อยปีก็โผล่ขึ้นมาเนื่องจากน้ำเหือดแห้ง หลังจากนั้นจัวลู่ก็กลายเป็นดินแดนแห่งเซียนอู่หลิง
เขาอู่หลิงสูงเด่นเป็นสง่า มีกำแพงปริแตกเรียกว่ากำแพงวิญญาณซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดหยก แต่เนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลและอันตราย ภูเขาอู่หลิงจึงเป็นเขตหวงห้ามในการฝึกตนเป็นเซียนของจัวลู่ ร้อยปีที่ผ่านมามีเพียงจี้หลิงอู้และจี้ชิงเท่านั้นที่เคยขึ้นไป ในบรรดาคนหนุ่มคนสาว แม้กระทั่งจี้เสวียนอวี๋ซึ่งอยู่อย่างสันโดษก็ไม่มีคุณสมบัติ
เมื่อทั้งสองกลับมาถึงจัวลู่ก็เป็นเวลาค่ำแล้ว ซ่งฉือถูกจัดให้เข้าพักที่เรือนเหวินซู
ซ่งฉือเดินเข้าไป จี้หลิงอู้ก็รีบลงกลอนประตูทันที ซ่งฉือรู้สึกฉงน เคาะประตูแต่กลับไม่มีใครตอบ จี้หลิงอู้ยืนอยู่ไม่ไกล ซ่งฉือมองลอดช่องประตูออกไปด้านนอก
จี้หลิงอู้สีหน้าเย็นชากำลังกล่าวอะไรบางอย่างกับจี้ชิง
ซ่งฉือกุมสองมือไว้แน่น ค่อยๆ หันหลังกลับไปพิงผนังอย่างเชื่องช้า เขาไม่อยากทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน จี้ชิงมีคุณสมบัติและพรสวรรค์เพียบพร้อม แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถที่ช่วยเหลือเขาได้แต่เขาก็ไม่ต้องการ เดิมจี้ชิงมีหนทางที่ยอดเยี่ยมที่จะก้าวต่อไปรออยู่แล้ว เหตุใดถึงยอมเสียสละอนาคตอันโชติช่วงให้แก่พี่ชายที่เพิ่งเจอกันด้วยความบังเอิญอย่างนี้
การบรรลุขั้นเซียนยังต้องผ่านความทุกข์ยากมหันต์ รอยสักรูปห่านป่าบนหน้าผากของเขาเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี
เขานึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้นตอนที่เขาดูแลจี้ชิง ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงก่ำนอนซุกอยู่ในผ้าห่ม เต็มไปด้วยความอิดโรยและว้าเหว่
ขึ้นเขาไปฝึกวิทยายุทธ์เพียงลำพังตั้งแต่อายุสิบขขวบ แม้จะเข้มแข็งดั่งเซียนแต่เขาก็เป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น เจ็ดปีแห่งความทุกข์ทรมาน มันจะต้องมาพังย่อยยับในมือของเขาอย่างนั้นหรือ
“จี้ชิง เรื่องของเจ้า ข้าจะไม่ยุ่งอีกต่อไป” จี้หลิงอู้ตบบ่าของจี้ชิง หันหน้ากลับไปมองประตูใหญ่ของเรือนเหวินซู “เรื่องการบรรลุขั้นเซียน เจ้าต้องบอกกับท่านตันชิวและเซียนอู่หลิงเอง”
“ศิษย์พี่รอง” สายตาอบอุ่นของจี้ชิงสบกับจี้หลิงอู้ที่เต็มไปด้วยความเศร้าใจและเสียใจ
“ความจริงเจ้าสามารถก้าวสู่จุดหมายได้อย่างง่ายดาย ผ่านความทุกข์ยากมามากมายในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ จนในวันนี้โลกยังเต็มไปด้วยความทุกข์ยาก เจ้าอาจจะมีข้ออ้าง ทว่าหากทำเพื่อเรื่องส่วนตัวก็เท่ากับว่าเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ถึงเจ็ดปี เจ้าเข้าใจไหม”
บรรยากาศยามค่ำคืนนี้เย็นดุจน้ำ สีหน้าผิดหวังและปวดใจของจี้หลิงอู้ยากที่จะปิดบังได้ แต่ในที่สุดก็บอกวิธีการรับมือให้เขาฟัง
จี้ชิงเงยหน้าขึ้นมองเขาอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็ยิ้มมุมปาก สะบัดชายเสื้อแล้วคุกเข่าลง คำนับเพื่อแสดงความเคารพ
ซ่งฉือได้ยินไม่ชัดนัก เขาได้ยินเพียงเวลาที่ใช้ไปเจ็ดปีช่างเปล่าประโยชน์
“ข้าไปละ” จี้หลิงอู้สะบัดชายเสื้อแล้วจากไป
“จี้ชิง จี้อวิ๋นฉง เจ้ากลับมาก่อน” ซ่งฉือตะโกนผ่านช่องประตูออกไป
อีกฝ่ายมองเขาด้วยสายตาลุ่มลึกและเย็นชา ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
ซ่งฉือทิ้งก้นไม่เอาไหนของตนเองนั่งลงบนพื้น…นี่มันคืออะไร ความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองคนก้าวหน้าไปแบบก้าวกระโดดไม่ใช่รึ เหตุใดจึงเปลี่ยนเป็นเย็นชาราวกับน้ำเช่นนี้
ซ่งฉือไม่อยากทำให้จี้ชิงเดือดร้อน แม้ปีศาจจะออกอาละวาด แม้เขาจะไม่มีหยวนตัน แต่สามารถติดต่อสหายเก่าของท่านแม่ให้ล้างแค้นได้ เหตุใดเล่า เหตุใดต้องเดือดร้อนฝ่ายนั้นด้วย
เวลาผ่านไปพักหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา
ซ่งฉือชะโงกหน้ามองออกไปทางช่องประตู จี้ชิงเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เขาสวมเสื้อคลุมสีเขียวแกมน้ำเงินดูอ่อนเยาว์ เดินเข้ามาพร้อมกับกล่องอาหารในมือ
“เอ? เหตุใดเจ้าถึงกลับมา”
จี้ชิงวางกล่องอาหารลงแล้วหยิบกุญแจออกมาจากแขนเสื้อ กล่าวเสียงเบา “เจ้าหิวแล้วสินะ”
“ข้า…” ทันใดนั้นซ่งฉือนึกขึ้นได้ว่าตนเองยังไม่ได้กินอะไรเลย จู่ๆ ก็รู้สึกปวดท้อง
จี้ชิงยื่นแขนออกไปพยังเขาไปพิงวงกบประตู หยิบขวดลายครามออกมาจากหน้าอก แล้วเทยาเม็ดสีเขียวออกมาจากนั้นก็ใส่เข้าไปในปากของซ่งฉือ…ละลายในปาก
ซ่งฉือรู้สึกว่ากระเพาะดีขึ้นมากทีเดียว ไม่จุกเสียดอีกต่อไปและรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นมากโข
“เจ้าให้ข้ากินอะไร” เขานั่งลง
“ยาบำรุงชี่” จี้ชิงเปิดกล่องข้าวออก หยิบข้าวและกับข้าวออกมา แม้จะดูไม่น่ากินนักแต่กลิ่นก็เตะจมูกเป็นอย่างมาก
“เจ้า…ทำเอง”
“ไม่ใช่”
“เช่นนั้นใครเป็นคนทำ”
“จี้หลิน”
“อ้อ” ซ่งฉือเลิกคิ้ว “ข้าจำได้แล้ว พ่อครัวที่จัวลู่ใช่ไหม”
“ใครบอกเจ้า” จี้ชิงเงยหน้าขึ้นมองไปที่ซ่งฉือ แต่มือก็ไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหวลงแต่อย่างใด หยิบของออกมาวางไว้ที่หน้าเขาทีละชิ้น หลังจากนั้นก็หยิบชามสองใบและตะเกียบสองคู่ออกมา
“เขาเป็นคนพูดเอง” ซ่งฉือหยิบตะเกียบขึ้นมา เห็นจี้ชิงเตรียมให้ตัวเองอีกคู่จึงถามว่า “เจ้าก็ยังไม่ได้กินรึ”
จี้ชิงพยักหน้า
“กินแบบนี้เจ้าจะมองเห็นรึ เจ้ารอเดี๋ยวนะ” ซ่งฉือวิ่งไปหาเทียนมาหนึ่งเล่มแล้วนำมาวางตรงหน้าเขา
แสงเทียนส่องสว่าง ความอบอุ่นส่องประกายออกมาท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ
ซ่งฉือมองไปยังเงาของทั้งสองคนที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาท่ามกลางแสงไฟ ทันใดนั้นก็รู้สึกอุ่นใจ
จี้ชิงคีบหมูสามชั้นตุ๋นน้ำแดงชิ้นหนึ่งวางลงในชามของซ่งฉือ “กินเยอะๆ นะ”
โดยปกติค่อนข้างเย็นชา แต่ตอนนี้รู้สึกว่าจะมีความเป็นมนุษย์ขึ้นมาบ้าง
ส่วนซ่งฉือกลับเขินอายราวกับสองแก้มถูกรมควัน ดวงตาคู่งามหรี่ลงครึ่งหนึ่ง มองหมูสามชั้นตุ๋นน้ำแดงในชาม เดิมทีคิดว่าจะใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาอยู่ที่เจียงอิน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพอโตเป็นผู้ใหญ่ ผู้คนจะผ่านเข้ามาในชีวิต ดังเช่นตอนนี้ที่กำลังนั่งกินอาหารอย่างสบายใจอยู่กับคนสนิทที่ไม่สนิทอยู่ภายใต้แสงเทียน
แต่ก็ดูเหมือนว่านี่คือสิ่งที่ถูกพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว อนาคตที่กำลังจะมาถึงคือโชคชะตาที่ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย