พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส - ตอนที่ 14 อนาคตอันยาวไกลของฝูอี้และข้า
- Home
- All Mangas
- พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส
- ตอนที่ 14 อนาคตอันยาวไกลของฝูอี้และข้า
สิบสี่
อนาคตอันยาวไกลของฝูอี้และข้า
“ศิษย์พี่รอง”
จี้ชิงเงยหน้าขึ้นมา คนทั้งสองมองหน้ากันก็รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามคิดอะไรอยู่
“ศิษย์พี่/คุณชายสาม”
เสียงใสสองเสียงดังขึ้น พร้อมกับเด็กหนุ่มสองคนในชุดเขียวกระโดดลงมาจากกระบี่
“เสวียนอวี๋ เจ้ามาพอดี” จี้หลิงอู้หันหน้าเข้าหาถ้ำปีศาจ “จอมมารชื่อเซียว ในวันนี้หากยังไม่ได้ผนึกมันไว้ ต่อไปก็คงเป็นภัยต่อยุทธจักรเหมือนกับนรกบนแดนมนุษย์”
“ศิษย์พี่ คุณชายสาม” จี้เสวียนอวี๋ทำความเคารพ จากนั้นก็หยิบผ้ายันต์ออกมาผืนหนึ่ง “นี่คือยันต์ปราบปีศาจที่ท่านเซียนให้มา ท่านเซียนยังฝากข้ามาบอกกับคุณชายสามด้วย”
จี้ชิงเงยหน้าขึ้นมามองจี้หลิงอู้ด้วยความรู้สึกผิดบางอย่าง คนด้านหลังขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้าไปมา
“ว่ายังไง”
จี้เสวียนอวี๋กระแอมสองทีก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียง “เจ้าไปบอกไอ้เด็กเหม็นหน่อยนะ ถ้าวันนี้ยังไม่กลับต่อไปจะไม่พาไปเที่ยวอีก”
จี้หลิงอู้หลุบตาลง “อวิ๋นฉง ท่านเซียนโมโหแล้ว”
จี้ชิงกำมือแน่น มองซ่งฉือซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นบรรจงจัดการกับศพ ก่อนจะโยนหลิงหานลงกับพื้น “ศิษย์พี่รอง เรื่องนี้ อวิ๋นฉงเป็นคนผิดเอง”
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มันยิ่งใหญ่กว่าฟ้าเสียอีก เจ้าฝึกหนักมาหลายปี…”
“ศิษย์พี่รอง!” จี้ชิงขมวดคิ้วแล้วพูดตัดบท “กลับไปค่อยอมรบสั่งสอนก็ยังไม่สาย ตอนนี้ยังมีเรื่องด่วนมากกว่า”
จี้หลิงอู้หันกลับไปมอง จี้เสวียนอวี๋พยักหน้าและทั้งสองก็มุ่งตรงไปที่ถ้ำปีศาจ
“คะ…คุณชายสาม” จี้หลินไม่กล้าเงยหน้ามองอีกฝ่าย เขาได้แต่เดินตามทั้งสองไป
“อยู่ดูแลเขา” จี้ชิงเดินดุ่มๆ เข้าไป
“ขะ…ขอรับ” จี้หลินนั่งยองๆ มองซ่งฉือแล้วกล่าวว่า “ท่านผู้นี้คือคุณชายซ่งนั่นเอง”
อีกฝ่ายหลับตานั่งอยู่หน้าศพทั้งสองด้วยอาการเศร้าสร้อย
“คุณชายซ่ง ท่านอย่าได้เศร้าโศกเสียใจไปเลย ลูกผู้ชายสิบปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย”
ซ่งฉือเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มเซ่อซ่าที่อยู่เบื้องหน้า “เจ้าเป็นใคร”
“ข้า…ข้าเป็นพ่อครัวที่จัวลู่” จี้หลินคลำท้ายทอยยิ้มๆ “ข้าทำอะไรก็อร่อย”
“เจ้าบอกว่าลูกผู้ชายสิบปีล้างแค้นก็ยังไม่สายเช่นนั้นรึ”
“ใช่แล้ว ตราบใดที่คนเรายังมีชีวิตอยู่”
ซ่งฉือเบนสายตาลงเพื่อปกปิดความเจ็บปวดในดวงตา
“คุณชายสามวันนี้แปลกจริงๆ รับปากไว้แล้วว่าจะไปเยี่ยมท่านตันชิวพร้อมกับท่านเซียนอู่หลิง คิดไม่ถึงว่าจะใช้เชือกสะกดวิญญาณเป็นการส่วนตัวและยังพลาดฤกษ์ดีไปด้วย กลับไปต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน”
ซ่งฉือเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ใช้เชือกสะกดวิญญาณต้องถูกลงโทษเช่นนั้นรึ”
จี้หลินมองเขา “ท่านไม่รู้รึ วันเกิดของคุณชายสามใกล้จะมาถึงแล้วอีกทั้งยังเป็นช่วงปีใหม่ เมื่อผ่านพ้นการฝึกอัสนีบาตจากสวรรค์แล้วก็คงจะเป็นเซียนได้เช่นเดียวกันกับเซียนอู่หลิงและท่านตันชิวละมั้ง ท่านตันชิวสั่งให้เขาไปเอาเชือกสะกดวิญญาณจากภูเขาฟ่างเชวี่ยเพื่อเป็นการทดสอบ แต่คิดไม่ถึงว่าแม้คุณชายสามเอาชนะปีศาจเลี่ยนไห่ แต่เขากลับทำผิดระหว่างทาง ท่านตันชิวโกรธจัดเกรงว่าจะมีผลกระทบถึงการบรรลุขั้นเซียน”
ไม่แปลกที่ซ่งฉือจะรู้สึกเสียใจ เรื่องนี้ไม่ควรดึงอีกฝ่ายเข้ามาเกี่ยวด้วย เชือกสะกดวิญญาณมาจากที่ใดกัน ก่อนหน้านี้เขาควรถามให้รู้ชัดเสียก่อน
สิ่งของศักดิ์สิทธิ์มาอยู่ในมือของมนุษย์ธรรมดาที่กำลังบำเพ็ญเพียรเป็นเซียน จี้ชิงต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นเขาเอาชนะปีศาจเลี่ยนไห่ เขาจะต้องบาดเจ็บแน่ อีกทั้งเมื่อครู่ยังต่อสู้กับพวกอสูรอีก
“ข้า…” เขาอ้าปากค้างทว่าพูดอะไรไม่ออก
“แต่คุณชายซ่ง ท่านยอดเยี่ยมมากจริงๆ” จี้หลินนั่งคุกเข่าลงไปแล้วมองเขาด้วยความอิจฉา
“หากวันไหนคุณชายสามพูดกับข้า ข้าตกใจจนตัวสั่นเลยละ”
“เหตุใดกัน”
แม้จี้ชิงดูเย็นชาและควบคุมตนเองตลอดเวลา แต่ก็ไม่น่ากลัว
“เขามีแมวแสนรักอยู่ตัวหนึ่ง ครั้งแรกที่เจอมัน ข้าลูบมันเพียงแค่สองสามทีแต่เขากลับโมโห ได้ยินศิษย์พี่บอกว่านั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคุณชายสามอารมณ์แปรปรวนอย่างหนัก ข้ายังถูกคุณชายสามลงโทษจับไปขังอีก เจ้าว่ามันน่าอนาถาหรือไม่”
ขณะที่พูดจี้หลินลูบแขนของตนเองไปด้วย
“เหตุใดถึงหนาวแบบนี้ล่ะ”
ซ่งฉือหันหน้ากลับไป ถ้ำปีศาจปล่อยแสงสีขาวที่เต็มไปด้วยไอเย็นยะเยือก ลมเย็นพุ่งออกมาจากด้านในเพียงชั่วพริบตาราวกับน้ำแข็งและไฟปะทะกัน
“คุณชายซ่ง ข้าจะเข้าไปดูเสียหน่อย” จี้หลินยื่นกระบี่ในมือให้ซ่งฉือ “หากมีอันตรายเกิดขึ้นก็จงใช้กระบี่นี้ป้องกันตนเอง”
กล่าวจบเจ้าเด็กหนุ่มก็หมุนตัวแล้ววิ่งเข้าไปในถ้ำปีศาจ
ต่อมาแสงแห่งความเย็นนั้นก็ค่อยๆ จางหายไปแล้วกลับสู่ความสงบอีกครั้ง
“คุณชายสาม”
ซ่งฉือได้ยินเสียงเรียกของจี้หลิน กระบี่ในมือเขาสั่นไหว เขาเดินสองก้าวไปที่ปากถ้ำก็เห็นจี้หลิงอู้เดินออกมาจากถ้ำปีศาจโดยแบกจี้ชิงไว้บนหลัง
จี้หลิงอู้เงยหน้ากวาดตามองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ตั้งแต่หัวจดเท้า “เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ และข้าได้รับการฝากฝังจากสหายกู้ อวิ๋นฉงกับเจ้าก็เป็นเพื่อนสนิทกัน เจ้าตามข้ากลับไปจัวลู่แล้วกัน” จี้หลิงอู้วางจี้ชิงลง แล้วพูดกับเด็กหนุ่มรูปร่างกำยำผู้นั้นว่า “เสวียนอวี๋ เจ้ารับไปแบกต่อนะ”
จี้เสวียนอวี๋ส่งกระบี่ในมือให้จี้หลิน อีกฝ่ายรีบรับไว้ทันทีเพราะกลัวว่าจี้หลิงอู้จะเปลี่ยนใจให้เขาแบกจี้ชิงแทน
“ข้าเอง” ซ่งฉือรับจี้ชิงมาแล้วดึงแขนของอีกฝ่ายไว้ข้างลำตัว จากนั้นก็ยกขาทั้งสองข้างมาหนีบแน่นไว้กับลำตัว
“คุณชายซ่ง ท่าน…”
จี้เสวียนอวี๋ขมวดคิ้ว จี้หลิงอู้ส่ายหน้าให้เขาและเก็บกระบี่กลับคืนไป
เมื่อภายในใจของเขายังเต็มไปด้วยความเสียใจ เช่นนั้นก็ให้เขาทำอะไรสักอย่างเพื่อให้รู้สึกดีขึ้นแล้วกัน
หอไห่ถังคือกำแพงที่พังทลาย เคยเป็นเวทีประลองยุทธ์ของบรรดาผู้ฝึกวิทยายุทธ์ เคยเป็นหลังคาให้ผู้คนเหินฟ้าขึ้นไปชมจันทร์ และเรือนกว่างหลิงที่เคยแจกเทียบเชิญจอมยุทธ์ทั้งหลาย ทว่าตอนนี้เหลือเพียงแค่ซากปรักหักพังเท่านั้น
ซ่งฉือรู้สึกว่าคนที่เขาแบกอยู่ข้างหลังขยับเล็กน้อย ลมหายใจค่อยๆ หอบถี่ขึ้นมาแล้วหน้าผากที่ซบบนไหล่ของเขาก็เงยขึ้นอย่างเชื่องช้า
“เจ้าตื่นแล้วรึ” ซ่งฉือเอียงศีรษะไปมอง รู้สึกว่าคนที่อยู่บนหลังตัวแข็งไปชั่วขณะ หลังจากนั้นก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง
“ปล่อยข้าลงไปเดี๋ยวนี้นะ”
เสียงของจี้ชิงแหบแห้งและบาดแผลที่มือก็มีเลือดไหลออกมาอีกครั้ง ซ่งฉือรู้สึกถึงหน้าอกที่ร้อนผ่าว ก้มหน้าลงไปก็เห็นแต่นิ้วมือเรียวยาวสีซีดที่ตกราบลงไปกับพื้นอย่างช้าๆ เขากัดฟันแล้วบรรจงวางอีกฝ่ายลงบนบันไดหิน พยายามมองหาชิ้นส่วนผ้าดีๆ จากเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น
จี้หลิงอู้จ้องมองไปที่จี้ชิง ทันใดนั้นก็รู้สึกราวกับว่าไม่เคยรู้จักน้องชายผู้นี้มาก่อน เขานั่งอยู่บนขั้นบันไดหิน เงยหน้าขึ้นมองซ่งฉือที่อยู่ในสภาพลุกลี้ลุกลน คิ้วและดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความขมขื่น มีสี่จุดบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสารแต่ก็สองจุดบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความฉงน ทว่าเขายังสังเกตเห็นรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนมุมปากของจี้ชิง
ซ่งฉือหาผ้าสะอาดอยู่พักหนึ่งแต่ไม่เจอ เขาหมดอาลัยตายอยาก เดิมทีมันก็เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ เท่านั้น แต่ซ่งฉือก็ไม่อาจชดเชยอะไรให้จี้ชิงได้
“ฉีกผ้าชิ้นนี้เถอะ” จี้ชิงชี้นิ้วไปที่ชายชุดจันทร์ส่องนทีของตนเองอย่างไร้เรี่ยวแรง
ซ่งฉือมองไปที่จี้ชิง ก่อนจะได้รับการยืนยันจากแววตาอีกฝ่ายและจัดการกับชุดจันทร์ส่องนทีที่เจียงซ่างชอบนักชอบหนา
“คุณชายสาม” จี้เสวียนอวี๋มองไปทางจี้หลิงอู้ด้วยความสงสัย อีกฝ่ายก็อยู่ในอาการเดียวกัน ส่ายหน้าไปมาแล้วถอนหายใจ
“คุณชายสามเป็นอะไรไป”
จี้หลินเอ่ยปากด้วยความตกใจ เสวียนอวี๋หันไปมองจี้หลินแล้วลากอีกฝ่ายออกไป
จี้หลิงอู้เอามือไพล่หลังยืนอยู่ที่เดิม มองทั้งสองด้วยอารมณ์ที่ยากจะคาดเดาได้
ซ่งฉือดึงมือของจี้ชิงขึ้นมาแล้วใช้ผ้าชั้นดีพันมือของอีกฝ่าย มือคู่นี้ช่วยเขามามาก
“ขอบใจ” จี้ชิงกุมมือของซ่งฉือไว้ ดวงตาทั้งสองข้างที่ส่องประกายแวววาวเริ่มมีน้ำตาซึมออกมา “ขอโทษ”
จี้ชิงมองไปที่อีกฝ่ายแล้วทันใดนั้นก็หัวเราะออกมา มุมริมฝีปากบางซีดเผือดยกยิ้มขึ้นมาอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาฉายแววยิ้มบางๆ ทำให้ท่าทางเย็นชาของเขาดูอ่อนลง
“ท่านพี่ฝูอี้” เขาส่งเสียงออกมาในบัดดล
ซ่งฉือเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ น้ำตาหยดลงมาบนมือของเขาอย่างแผ่วเบา รอยสักแดงสีสดที่ปรากฏจางๆ บนหน้าผากของจี้ชิงรูปร่างของมันราวกับหยดเลือดและน้ำตาที่ส่องประกายอยู่ระหว่างคิ้ว
“เจ้าคือเพื่อนคนแรกของข้า เจ้าอยู่กับข้าในยามที่ข้าอ่อนแอที่สุด ข้าขอบใจเจ้ามาก เพราะฉะนั้นบุญคุณต้องทดแทน”
“ข้า…” เขาควรพูดอย่างไรดี เขาก็แค่พูดออกไปอย่างนั้น ความจริงแล้วเขาเพียงแค่สุ่มหาเพื่อนแล้วบังเอิญมาเจอสงครามเข้า
หรือว่าเขาอาจตั้งใจใช้ประโยชน์จากอีกฝ่ายมาตั้งแต่แรกก็ได้
จี้ชิงหุบยิ้ม ก้มหน้าแล้วดึงมือของตนเองกลับคืนมา “เจ้าจะไปเอาของที่ระลึกที่ฮูหยินจงหลีไม่ใช่รึ”
ซ่งฉือปาดน้ำตาออก…น่าอับอายเสียจริง ดูเหมือนว่าเขาจะหลั่งน้ำตาทั้งหมดในชีวิตออกมาภายในวันนี้วันเดียว
“เจ้านั่งรอข้าอยู่ตรงนี้นะ” ซ่งฉือลุกขึ้น วิ่งไปสองสามก้าวแล้วค่อยๆ หยุดฝีเท้า เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นจี้ชิงที่กำลังมองตามหลังตนเอง แล้วทั้งสองก็สบตากันอย่างไม่ตั้งใจ
“ข้าจะเป็นพี่ชายของเจ้าตลอดไป”
จี้หลิงอู้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองจนซ่งฉือเดินออกไป แล้วจึงเดินไปที่ด้านข้างของจี้ชิง
“เจ้าจะทำอะไร คุณชายสาม”
จี้ชิงหลบตา รอยสักตรงหว่างคิ้วก็จางลง “ข้าไม่ได้ทำอะไร”
“จี้ชิง!” นี่เป็นครั้งแรกที่จี้หลิงอู้กล่าวด้วยความโกรธขั้นรุนแรงเช่นนี้
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ฝึกปรือวิทยายุทธ์มานานแรมปี ทั้งสติปัญญา พรสวรรค์ ตากแดดลมฝน ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทุกสารทิศ ทว่าการฝึกครั้งสุดท้ายกลับกลายเป็นเช่นนี้”
“ศิษย์พี่รอง ข้าไม่อยากบรรลุขั้นเซียนแล้วละ”
จี้หลิงอู้สูดอากาศบริสุทธิ์เย็นสบายเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อระงับความโกรธของตนเอง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่” เขาหยิบเชือกสะกดวิญญาณออกมาจากหน้าอก “เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย แล้วตอนนี้เจ้ายังมาพูดจาเลอะเทอะอีกหรือ”
จี้ชิงเงยหน้า คราวนี้เป็นครั้งแรกที่เขาใช้สายตาอ้อนวอนมองอีกฝ่าย “ศิษย์พี่รอง เขาเป็นเพื่อนคนแรกของข้านะ”
จี้หลิงอู้หันหลังแล้วกระทืบเท้าอย่างแรง ก่อนจะกล่าวาด้วยอารมณ์ที่ไม่ได้ดั่งใจ “เจ้าโง่หรือไม่ ข้าจะต้องหาคู่ครองที่ดีให้ซ่งฝูอี้ เขาจะใช้ชีวิตแบบผู้ชายธรรมดาที่มั่นคงคนหนึ่ง เรื่องของเขาเจ้าไม่ต้องยื่นมือเข้ามาแทรก รีบกลับไปขอโทษท่านตันชิวทันทีที่เรื่องนี้สิ้นสุด ถ้าหากครั้งหน้าข้าได้ยินคำพูดเช่นนี้ออกมาจากปากของเจ้าอีก อย่ามาโทษว่าข้าโหดร้าย ละเมิดคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับท่านกู้”
กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป
ดอกไห่ถังร่วงโรยลงมาเต็มท้องผ้า จี้ชิงเอนหลังลงนอนบนพื้นที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีแดงสดใส
เขากระแอมเบาๆ สองสามครั้ง รู้สึกเจ็บคอจนแทบจะทนไม่ได้ ความเย็นแผ่กระจาย เมื่อกระบี่หลิงหานออกจากฝักพื้นดินก็กลายเป็นคุก
เขาลุกขึ้นนั่งปรับลมหายใจ แสงสว่างเจิดจรัสส่งประกายและรอยสักห่านป่าก็จางลง
เขานึกถึงครั้งแรกที่พบกับซ่งฉือ อีกฝ่ายหล่นมาจากฟากฟ้าแล้วตกลงสู่อ้อมแขนของเขา
ก่อนหน้านี้เพียงครู่เดียวเขาไม่อยากจะยื่นมือออกไป แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทั้งๆ ที่ศิษย์พี่รองก็ยืนอยู่ด้านข้าง ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าหากตนเองไม่ยื่นมือออกไป ท่านพี่ของเขาก็ต้องยื่นมือออกไปช่วยอยู่ดี ทว่าเขาก็ยังยื่นมือออกไปช่วย ผลสุดท้ายคือก้มศีรษะไปสบเข้ากับสายตาที่เต็มไปด้วยประกายแวววาว…และก็เป็นแบบนี้อยู่ร่ำไป จนค่อยๆ อ่อนแอลง
เขาอยู่คนเดียวมาตั้งแต่วัยเด็ก ไม่ได้สนิทสนมกับศิษย์พี่รองเท่าใดนัก ท่านตันชิวบอกว่าเขาเป็นคนที่โง่ที่สุดในโลกมนุษย์ อีกทั้งการพูดจาก็ราวกับคนโง่ ทว่าตั้งแต่ที่เขาพบกับซ่งฉือ สิ่งที่อีกฝ่ายถามเขาก็อยากที่จะตอบ
ซ่งฉืออยากเป็นพี่ชายของเขา จี้ชิงจึงตอบตกลง
ทั้งหมดนี้ยังมีเวลาอีกยาวนาน