พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส - ตอนที่ 12 สังเวยเขาสลายมาร
ภาคที่ 2
ดวงจิตแตกสลาย
สิบสอง
สังเวยเขาสลายมาร
อสุรกายแห่งแม่น้ำว่านหลิงคืออสูรโบราณ จิตใจโหดเหี้ยม คราวที่หลิงกุยผนึกมาร เหล่าอสูรโบราณควรจะเสียสละและฝังตนเองไปพร้อมๆ กัน ทว่าอสูรก็มีทั้งดีและเลว ตระกูลเหลียนแห่งริมฝั่งแม่น้ำว่านหลิงซึ่งอยู่ร่วมกับเจ้าพวกนั้นมาโดยตลอดทนไม่ได้ที่จะเห็นสิ่งมีชีวิตนับพันต้องตายเพราะจอมมารชื่อเซียวเพียงผู้เดียว จึงขอร้องให้ไว้ชีวิตอสูรที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เหล่านี้ไว้ ใครจะคิดว่าหลังจากผ่านไปนานหลายปี พวกมันจะกลายเป็นผู้ที่ช่วยเหลียนอี้ไหวยึดหอไห่ถัง บุกรุกเจียงอินที่ยิ่งใหญ่ ปล้น ฆ่า เผา ทำลายเมืองจนย่อยยับ ไม่เพียงเท่านั้น มันยังจับลูกศิษย์อีกสามพันชีวิตที่เหลืออยู่ของหอไห่ถังไปที่เขาสลายมารเพื่อเป็นเครื่องสังเวยอีกด้วย
ตอนที่ซ่งฉือกับจี้ชิงเดินทางมาถึง เขาสลายมารก็มีเปลวไฟลุกท่วม ในยามปกติภูเขาลูกผลิตของเหลวที่มีฤทธิ์กัดกร่อนสีแดง มีรัศมีการกระจายตัวที่แตกต่างออกไปตามพื้นผิวใกล้กับพื้นที่ต้องห้าม
“อยู่ตรงนั้นกระมัง” ซ่งฉือกัดฟันแล้วยื่นมือออกไป พึมพำท่องคาถา ทว่าฝ่ามือของเขาก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาอะไร จนภายในร่างกายรู้สึกเย็นยะเยือก
จี้ชิงรู้สึกว่าร่างกายของอีกฝ่ายแผ่ไอเย็นออกมา เขาลดสายตาลงเล็กน้อยก่อนจะคว้ามือของซ่งฉือเอาไว้
“มีอะไร” ซ่งฉือหันหน้าไปมอง
“ช่วยเจ้าไง” จี้ชิงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย แววตาไม่เฉยเมยเหมือนกับตอนที่เจอกันครั้งแรก และไม่เลี่ยงหลบสายตาไปอย่างเช่นครั้งที่สอง
บางทีอาจยอมรับว่าเขาเป็นเพื่อนแล้วจริงๆ และในตอนที่เขาต้องการความช่วยเหลืออีกฝ่ายก็เดินเคียงข้างเขา
นิ้วมือของซ่งฉือสั่นเทา เขาห่อไหล่เล็กน้อยด้วยความเสียใจจนแผ่นหลังตรงค้อมเกร็งเล็กน้อย
“อสูรล้อมผู้นำเอาไว้ ตอนนี้เราเข้าไปใกล้ไม่ได้”
ซ่งฉือสลัดข้อมือแต่ก็สลัดมืออีกฝ่ายไม่หลุด เขาหันกลับไปมองจี้ชิงด้วยความประหลาดใจ
“ซ่งฉือ รอก่อน เจ้าอย่าบุ่มบ่าม เจ้าไม่มีหยวนตัน และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องป้องกันตัวเอง” จี้ชิงหยิบกระบี่หลิงหานขึ้นมาและยื่นฝักกระบี่ให้ซ่งฉือ
“ถ้ามีอันตรายเข้ามาใกล้ ให้เจ้ารีบตวัดฝักกระบี่ ฝักกระบี่หลิงหานเต็มไปด้วยไอเย็นยะเยือก อสูรพวกนั้นเปรียบเสมือนไฟ คิดว่าน่าจะรับมือได้บ้าง”
เมื่อจับฝักกระบี่เย็นเฉียบไว้ในมือ ทันใดนั้นซ่งฉือก็รู้สึกเจ็บที่หัวใจ เขากุมอกข้างซ้ายและขมวดคิ้ว
“อดทนหน่อย อีกเดี๋ยวจะดีขึ้น”
“ความจริงข้า…” ซ่งฉือพยักหน้าก่อนเริ่มขยับปาก แต่แล้วกลับหยุดพูด
ความจริงแล้วเขาพูดเล่น ที่บอกว่าเป็นพี่น้องกัน เขาก็พูดไปอย่างนั้นเอง แต่จี้ชิงกลับถือเป็นจริงเป็นจัง
ซ่งฉือเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่ไร้เดียงสาของจี้ชิง ดวงตาคู่นั้นใสซื่อราวกับสายธารบริสุทธิ์
เขาหลอกจี้ชิง…คิดแล้วในใจพลันเปี่ยมไปด้วยความละอาย ซ่งฉือจึงบังคับตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป พุ่งความสนใจไปยังสถานการณ์ปัจจุบันแล้วคิดหาวิธีรับมือ
“ข้าจะไปล่อพวกอสูรนั่น ส่วนเจ้าเอาเชือกสะกดวิญญาณมัดเหลียนอี้ไหวให้แน่น” จี้ชิงหยิบเชือกสะกดวิญญาณออกมาจากในเสื้อแล้วส่งให้
“เจ้ามีสิ่งนี้ได้อย่างไร” ซ่งฉือถามด้วยความสงสัย
คุณชายตระกูลจี้ชะงักเล็กน้อย หลุบตาลงราวกับครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาและเม้มปากเล็กน้อย
“ไม่ต้องสนใจว่าข้ามีสิ่งนี้ได้อย่างไร ในวันนี้มันอยู่ในมือเจ้าก็เพื่อช่วยเหลือเจ้าอีกแรงหนึ่ง” เขาก้าวไปข้างหน้า “ซ่งฝูอี้ หากเราชนะศึกในครั้งนี้และเจ้าสามารถไปเขาอู่หลิงที่จัวลู่ ข้าจะพาเจ้าไปพบท่านอาจารย์เอง”
เขาถือกระบี่หลิงหานไว้ในมือและไม่หันกลับไปมอง ขณะเห็นเปลวไฟที่ลุกโชนอยู่เบื้องหน้า น้ำเสียงแน่วแน่นั้นกลับแฝงไปด้วยความอ่อนโยนและน่าอัศจรรย์ใจ
“เขาต้องมีวิธีช่วยเจ้าให้หลอมหยวนตันขึ้นมาได้อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าก็จะเหมือนกับคนอื่นๆ ไม่ว่าจะบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนหรือว่าบำเพ็ญเพียรเพื่อการรู้แจ้ง จะรับช่วงต่อเป็นประมุขหอไห่ถังหรืออาจจะท่องไปในยุทธภพ…”
“เหตุใดเจ้าถึงต้องช่วยข้าเล่า” ซ่งฉือพูดตัดบท กำฝักกระบี่ไว้ในมือแน่น “ข้าเป็นเพียงเศษสวะที่ผู้คนรังเกียจ มีแต่ตัวเปล่า เจ้าจะช่วยข้าเพราะเหตุใดกัน”
จี้ชิงหันหน้าไปด้านข้างราวกับว่ามองเห็นเขาจนทะลุปรุโปร่ง
“อนาคตยังอีกยาวไกล ข้าค่อยอธิบายให้เจ้าฟังอย่างละเอียด ภารกิจในตอนนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด”
ซ่งฉือถอนหายใจ…อนาคตยังอีกยาวไกลงั้นหรือ การที่เขาอยู่ที่นี่ในวันนี้อาจจะไม่มีอนาคตอีกต่อไปแล้วก็ได้
กู้ฉือถูกทุบสลบอยู่บนโขดหินสีดำ ใบหน้าขาวผ่องมีแผลเลือดไหลซิบ เลือดไหลไปตามรอยร้าวของหินจนถึงเท้าของซ่งฉือ
ทั้งคู่ซุ่มเงียบอยู่หลังเจ้าสัตว์ประหลาดห่างออกไปไม่ไกลนัก ซ่งฉือคลำมือไปมาด้วยอาการสั่นเทาอย่างไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง สัมผัสเหนียวหนืดเช่นนี้…เป็นไปไม่ได้
ศิษย์พี่!
“ข้าจะล่อมันออกไป”
จี้ชิงกระโจนออกไป ซ่งฉือยังไม่ทันตั้งตัวชายเสื้อคลุมสีขาวเงินก็ปลิวสะบัดห่างออกไปแล้ว เหล่าอสูรถูกปลุกให้ตื่น ปีศาจกลุ่มใหญ่มุ่งตรงไปยังจี้ชิง เพียงพริบตาเงาของเขาถูกกลืนหายไปในกลุ่มปีศาจ
ซ่งฉือกัดฟัน ขอบตาแดงก่ำ รีบวิ่งตรงไปยังเหลียนอี้ไหวที่ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
ลูกน้องของเหลียนอี้ไหวชักดาบออกมาทันทีด้วยความตกใจ โชคดีที่ปกติซ่งฉือคุ้นเคยกับการไล่ล่าของบิดาอยู่แล้ว ความเร็วและความสามารถในการตอบสนองของเขาจึงดีเยี่ยมอย่างไม่มีที่ติ
เชือกสะกดวิญญาณขดตัวกระชับเข้าหากันแน่นหลังจากเผชิญหน้ากับความชั่วร้าย
เหลียนอี้ไหวกลับไม่ได้ตื่นตระหนกหรือหวาดกลัว หันมามองเขาอย่างไม่แยแสพร้อมส่งเสียงหัวเราะที่เจือเลศนัยและเย้ยหยันออกมา
“โอ้ ท่านประมุขหอไห่ถังสำนักซ่ง ดูสิ นี่ใคร…นี่ไม่ใช่บุตรชายเศษสวะของท่านหรือ อะไรกัน จะมาตายกันพร้อมๆ สินะ”
ซ่งจือหนานนอนอยู่บนพื้นมีเลือดไหลออกจากมุมปาก เสื้อผ้าด้านหลังถูกสัตว์ประหลาดขย้ำจนขาดวิ่น เลือดทะลักออกมาจากบาดแผลไม่หยุด
“เจ้า…เจ้าลูกทรพี รู้จักกลับมาด้วยรึ”
“ท่านพ่อ” ซ่งฉือกลั้นน้ำตาไว้ แล้วกดฝักกระบี่ไปที่คอหอยเหลียนอี้ไหว จ้องจนตาแทบทะลักออกจากเบ้า “ข้าจะฆ่าเจ้า!”
“เจ้ากล้ารึ” เหลียนอี้ไหวแสยะยิ้ม สายตาเต็มไปด้วยการยั่วยุและดูถูก “เป็นแค่สวะ ถือฝักกระบี่มาเล่มเดียวแล้วบอกว่าจะมาเอาชีวิตข้า โอ้ ข้ากลัวเหลือเกิน ฮ่าๆ”
เหลียนอี้ไหวหันหน้าเข้าหารังปีศาจ แม้จะถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือกสะกดวิญญาณจนแน่นแต่เขาก็ยังเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
“ชื่อเซียวผู้เป็นนายของข้า วันนี้ข้าจะเอาชีวิตพวกหอไห่ถังมาเซ่นสังเวย ลูกหลานของข้าจะรุ่งโรจน์ในวันข้างหน้า นับว่าพวกเจ้าได้มีส่วนร่วมในการสร้างโลกใหม่”
“บังอาจ”
เสียงแผ่วเบาทว่าเย็นยะเยือกและหนักแน่นดังมาจากด้านหลัง
ซ่งฉือหันกลับไปมอง จี้หลิงอู้ในชุดสีน้ำเงินเข้มแขนกระบอกฝ่าวงล้อมฝูงสัตว์ประหลาดออกมา ในมือถือกระบี่มองไปที่เหลียนอี้ไหวพลางยิ้ม
“ผู้นำเหลียน ไม่ได้พบกันเสียนาน สบายดีหรือไม่”
“จี้หลิงอู้?” เหลียนอี้ไหวเลิกคิ้ว “เจ้ามาร่วมสนุกด้วยอย่างนั้นรึ”
“ข้ามาร่วมมือเพื่อสังหารเจ้าน่ะสิ” ดวงตาดอกท้อของจี้หลิงอู้เป็นประกาย ก่อนซ่งฉือจะเห็นได้ชัดเจน จี้ชิงก็มายืนอยู่ตรงหน้าของเหลียนอี้ไหวแล้วจ่อปลายกระบี่เข้าที่คอหอยของอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว
“ท่านผู้นำ!”
บริวารของเหลียนอี้ไหวล้อมรอบจี้หลิงอู้ไว้แต่ไม่สามารถประชิดตัวอีกฝ่ายได้
ซ่งฉือมองไปที่ศิษย์พี่ของตน เมื่อดูเหมือนฝ่ายนั้นยังมีลมหายใจอยู่จึงกึ่งวิ่งกึ่งคลานไปคุกเข่าลงตรงหน้าซ่งจือหนาน ในที่สุดก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้
“ท่านพ่อ!”
ซ่งจือหนานยกมือที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้นจากพื้น ซ่งฉือจึงพลิกตัวเขา เลือดที่ไหลออกมาจากแผลที่หลังนั้นเปียกชุ่มเสื้อผ้า
ซ่งจือหนานยื่นมือออกไปลูบใบหน้าของบุตรชาย “ฝูอี้ ในที่สุดเจ้าก็กลับมา”
“ท่านพ่อ อย่าพูดอะไรได้ไหม ข้าจะไปหาเซียนอู่หลิง เขาต้องช่วยท่านได้แน่” ซ่งฉือฉีกเสื้อของอีกฝ่ายออกมาพันบาดแผลบนตัวให้ รัดแผลไปน้ำตาไหลไป ทั้งเลือดและน้ำตาผสมกันอยู่บนใบหน้าของเขา
“อย่า ฝูอี้” ซ่งจือหนานจับมือเขาไว้แล้วยิ้มให้ “ไม่มีประโยชน์หรอก บิดาไม่รอดแล้ว”
ไม่รอดแล้ว
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้
เขาไม่มีแม่ ตอนนี้แม้แต่ท่านพ่อก็กำลังจะจากไปอีกคน
“ท่านพ่อ ท่านอย่าพูดอะไรโง่ๆ แบบนั้น ข้าจะไปขอร้องให้ท่านเซียนมาช่วย เขาต้องมีวิธีช่วยชีวิตท่านแน่นอน ท่านพ่อ ท่านอดทนอีกหน่อยได้หรือไม่”
“ฝูอี้ ไม่มีหอไห่ถังแล้ว ต่อไปเจ้าก็ไม่มีแม้แต่บ้านจะอยู่”
ซ่งจือหนานพูดขณะที่น้ำตาไหลลงมาตามรอยย่นมุมดวงตา มันไหลไปผสมกับเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่บนร่างกาย
“ตอนที่ท่านแม่ของเจ้ากำลังจะตาย นางบอกว่าในชีวิตการเป็นหมอของนาง สิ่งที่นางไม่พอใจมากที่สุดก็คือการที่หมอรักษาผู้อื่นได้แต่กลับรักษาตัวเองไม่ได้ ทว่านางก็ไม่เสียใจ…นางบอกให้ข้าตั้งชื่อเจ้าว่าฝูอี้เพื่อผดุงความยุติธรรม แต่ข้ารู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ที่หนักเกินไป มีข้าอยู่ ลูกชายของข้าก็ไม่ต้องไปเสี่ยงภัยอันตราย”
“ท่านพ่อ คำพูดเหล่านี้เหตุใดท่านถึงไม่ยอมบอกข้าให้เร็วกว่านี้ ข้าสมควรตาย”
ซ่งจือหนานส่ายหน้า “มะ…ไม่เกี่ยวกับอะไรกับเจ้า เป็นเพราะหลายปีมานี้ข้าไม่อยากให้เจ้า…แค็กๆ”
ขณะที่พูดเลือดก็ไหลทะลักออกจากมุมปาก เขาหยิบกุญแจดอกหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้ซ่งฉือ
“นี่คือสิ่งที่ท่านแม่ของเจ้าเก็บไว้ให้เจ้า เดิมทีข้าจะมอบให้เจ้าในวันพิธีสวมกวาน แต่เวลานั้นคิดว่าถ้าไม่สามารถจัดการกับเขาสลายมารได้ก็จะไม่มีวันสงบสุขอีกต่อไป จึงคิดว่ารอให้ทุกอย่างจบลงก่อนแล้วข้าค่อยเล่าเรื่องราวของแม่เจ้าให้ฟังทีหลัง…ตอนนี้ถึงอยากจะทำก็ทำไม่ได้แล้ว…”
ซ่งฉือร้องไห้จนลืมตาไม่ขึ้นได้แต่ปาดน้ำตาป้อยๆ
“ฝูอี้ อย่าโทษพ่อ อย่าโทษ…”
แล้วเสียงก็หายไปในบัดดล
ที่เขาสลายมาร ซ่งจือหนานประมุขหอไห่ถังที่เพิ่งทลายกำแพงทางทิศใต้ ผู้เคยเป็นที่รู้จักกันในนามซาอู่ฟางซึ่งต้องสังเวยเลือดจนเหลือเพียงร่างนี้ เป็นคนเปิดเผยและไร้เล่ห์เหลี่ยมมาทั้งชีวิต เป็นวีรบุรุษห้าวหาญผดุงความยุติธรรม
แม้ชื่อเสียงกึกก้องไปทั้งยุทธจักรมาตลอดชีวิต แต่เมื่อตายไปก็เหลือเพียงเถ้าถ่านเท่านั้น