พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส - ตอนที่ 11 ราวกับไม่ใช่การเดินทางของบุรุษน้อย
- Home
- All Mangas
- พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส
- ตอนที่ 11 ราวกับไม่ใช่การเดินทางของบุรุษน้อย
สิบเอ็ด
ราวกับไม่ใช่การเดินทางของบุรุษน้อย
หนทางไม่ไกลมากนัก ทว่าร่างกายของอาจิ่งค่อนข้างอ่อนแอจึงต้องเดินไปพักไปตลอดทาง
ส่วนเจียงซ่างนั้น ความสามารถในการใช้กระบี่ไม่ค่อยดีนัก ถามโน่นถามนี่จี้ชิงตลอดทาง ถามจนซ่งฉือรู้สึกปวดเศียรเวีนเกล้าแม้ว่าเขาไม่ใช่คนตอบก็ตาม
“เฮ้ สหายเจียง เจ้าให้น้องข้าพักสักหน่อยได้ไหม จะวิเศษเพียงใดก็คงทนการเดินล้อมหน้าล้อมหลังจากเจ้าไม่ได้” ซ่งฉือทนไม่ได้อีกต่อไป หยิบสุราคืนเดือนบุหงาออกมาจากเอว มันเป็นเหล้าที่เขาสะสมเอาไว้แล้วยื่นให้แก่จี้ชิง “เอ้า น้องชาย ชิมดูสิ รสชาติดีนะ”
“ไม่ต้องหรอก ข้าไม่ดื่มเหล้า” จี้ชิงรู้สึกว่าในเมื่อนับเป็นน้องชายก็ต้องเรียกว่าน้อง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในใจของเขากลับไม่ตอบรับ
“น้องรึ สหายซ่ง ผ่านไปแค่คืนเดียวเหตุใดความสัมพันธ์ของท่านกับคุณชายสามจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้เล่า” เจียงซ่างรู้สึกเหมือนถูกทรยศ ราวกับว่าตนเองพลาดเรื่องราวที่สำคัญมากไป
ซ่งฉือหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไร ดีดฝาขวดเหล้าแล้วยกขึ้นดื่มอึกใหญ่ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเพลิดเพลิน หลังจากนั้นจึงตอบอย่างเชื่องช้า “ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
เจียงซ่างพูดไม่ออก หันกลับไปมองอาจิ่งซึ่งทำหน้าตกใจเช่นกัน
มีความสัมพันธ์อันดีกับคุณชายสามแห่งตระกูลจี้เช่นนี้ อนาคตต้องสดใสเป็นแน่
“คะ…คุณชายสามแห่งตระกูลจี้ เจ้ากับสหายซ่งสาบานเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันแล้วรึ” เจียงซ่างขยับเข้าไปใกล้จี้ชิง คิดอยากจะดึงแขนอีกฝ่ายแต่ก็ไม่กล้า สีหน้าเหมือนกับไม่อยากเชื่อ
“ไม่ใช่…” จี้ชิงหลุบตามองไปที่พื้น ทันใดนั้นสายตาเขาก็หยุดนิ่ง “เดี๋ยว ระวัง!”
“เป็นอะไรไป” ซ่งฉือดึงอาจิ่งเข้ามาอยู่ในวงล้อมเพื่อความปลอดภัย โดยมีเจียงซ่างและจี้ชิงหันหลังเข้าหากัน
“ตรงนี้มีรอยเท้าพวกว่านหลิง” จี้ชิงชักกระบี่ออกมา ความคมของกระบี่หลิงหานยามกระทบฝักส่งเสียงพร้อมกับส่องประกายอย่างฉับพลัน
“ยอดกระบี่” เจียงซ่างขยับเข้าไปใกล้ “เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่คือกระบี่หลิงหานที่เซียนอู่หลิงใช้ สมคำเล่าลือที่ว่าหลิงหานทะลุวิญญาณจริงๆ”
“ฟังเสียงสิ” ซ่งฉือขมวดคิ้ว เพิ่งจะผ่านโรงเตี๊ยมไปเพียงแห่งเดียวเท่านั้นอีกทั้งบ้านเรือนก็มีมากจนหนาตา เหตุใดถึงมีอสูรเช่นนี้ได้
“รอยเท้านี้เหมือนเกิดขึ้นไม่นาน ไม่ได้ตรงไปทางเดียวกับพวกเรา ทางที่พวกเรามาก็ไม่เจอรอยเท้าแบบนี้ แต่กลับมีรอยเท้าหยุดอยู่ตรงนี้อย่างกะทันหัน บางที…” ซ่งฉือขมวดคิ้ว มีลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก หรือว่า…
“แย่แล้ว” จี้ชิงหันกลับไปมองด้วยความวิตกเช่นเดียวกับดวงตา
“โรงเตี๊ยม!” ทั้งสองอุทานออกมาพร้อมกัน
กว่าเจียงซ่างจะมีปฏิกิริยาอะไร ซ่งฉือก็ดึงอาจิ่งวิ่งกลับไปทางเดิมเรียบร้อยแล้ว ส่วนจี้ชิงก็วิ่งตามหลังไปติดๆ
รอยเท้าขนาดใหญ่ของสัตว์ประหลาดที่เห็นนั้นบ่งบอกถึงความน่ากลัว นี่คืออสูรริมแม่น้ำว่านหลิง กลับไปต้องตายแน่…
“คุณชายสาม สหายซ่ง อาจิ่งน้อย รอข้าด้วยสิ”
นี่คือสนามสังหารหมู่
ในตอนที่ซ่งฉือเห็นสภาพที่นี่ เขานึกออกได้เพียงประโยคนี้เท่านั้น
โหดร้ายเกินไปแล้ว
เขารีบเอามือปิดตาอาจิ่งไว้ ส่วนอาจิ่งจับแขนของเขาไว้แน่นยืนตัวสั่นเทา “อาจิ่ง ไม่ต้องกลัวนะ”
บนพื้นเต็มไปด้วยศพถูกฉีกเป็นชิ้นๆ มีลูกตากลิ้งไปมาอยู่ที่เท้าของซ่งฉือ
เลือดไหลลงแม่น้ำไปตามรอยผืนดิน กลิ่นคาวเลือดคลุ้งเตะจมูก
“เป็นฝีมืออสูร” จี้ชิงย่อตัวลงไปตรวจดูรอยแผลที่ฉีกขาด โหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง ไม่เหมือนการกระทำของมนุษย์ผู้มีสติปัญญาแม้แต่น้อย
“ตระกูลเหลียนที่ชายฝั่งว่านหลิงควบคุมดูแลพวกอสูรและทำกระบี่ไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงปล่อยให้พวกมันออกมาทำร้ายชาวบ้าน” ซ่งฉือกัดฟัน จากถนนสายนี้ไปจะเหลือเพียงเจียงอินเท่านั้น
“ตระกูลเหลียนไม่ได้เข้าร่วมการผนึกเขาสลายมาร เห็นได้ชัดถึงความทะเยอทะยานที่โฉดชั่ว” จี้ชิงลุกขึ้นยืน เก็บกระบี่หลิงหานไว้ในฝักดั่งเดิม ส่งสายตาไปที่เขาพร้อมกับความกังวลที่แฝงไว้บนสีหน้า “แผนการเดินทางไปจัวลู่เที่ยวนี้ เกรงว่าจะไม่บรรลุผลสำเร็จ”
ซ่งฉือถอยหลังไปสองก้าว สีหน้าซีดเผือด
ถ้า…ถ้าเจียงอินตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เหมือนกัน เขา…เขาจะทำอย่างไร
สวะผู้ที่แม้แต่พลังก็รวบรวมไม่ได้จะไปต่อกรกับอสูรที่เต็มไปด้วยความเหี้ยมโหดเหล่านี้อย่างไรเล่า
“สหายซ่ง ท่านไม่ต้องกังวลไป ข้าจะกลับไปเป็นเพื่อนท่านเอง” เจียงซ่างตบไหล่เขาเบาๆ “คุณชายสามแห่งตระกูลจี้ก็จะไปด้วยใช่หรือไม่”
จี้ชิงขมวดคิ้ว
ซ่งฉือเงยหน้าขึ้นมองเขา จากนั้นก็มองเจียงซ่าง กำมือแน่นก่อนกอดอาจิ่งไว้ในอ้อมอก
“ไม่จำเป็นหรอก” เขากล่าวเช่นนั้น แววตาของซ่งฉือเต็มไปด้วยความดุร้ายที่พร้อมจะแผดเผาทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้า เขาส่งอาจิ่งให้เจียงซ่าง “ข้าจะไปคนเดียว”
“ไมได้นะ” จี้ชิงก้าวไปข้างหน้า “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอสูรนั่น”
“ข้าไม่ใช่” ซ่งฉือพยักหน้า กัดฟันแล้วกล่าวเสียงดัง “แต่ข้าเป็นประมุขน้อยแห่งหอไห่ถัง ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่หอไห่ถัง ข้าก็ต้องร่วมเป็นร่วมตายกับพวกเขา”
“เหตุใดถึงต้องรนหาที่ตาย” จี้ชิงมองไปยังหนทางด้านหน้าที่เต็มไปด้วยซากศพเกลื่อนกลาด “อสูรถูกตระกูลเหลียนควบคุม หากไม่มีคำสั่งของพวกเขา พวกมันก็ไม่กล้าลงมือหรอก”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“จับกุมเหลียนอี้ไหว” จี้ชิงยื่นมือออกไปแล้วใช้นิ้วเรียวยาววาดเป็นรูปคาถาส่งข่าว
“เจ้ากำลังส่งข่าวให้จี้หลิงอู้รึ”
“อีกสักครู่พี่รองจะมา พวกเราล่วงหน้าไปก่อน” จี้ชิงสบตาซ่งฉือด้วยสายตามุ่งมั่น
“ข้าจะไปกับเจ้า” เขากล่าว
ซ่งฉือยื่นมือออกไปจับแขนของจี้ชิงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวล “แต่เจ้าเพิ่งหายป่วยนะ อีกอย่าง…ไม่ใช่ว่าเจ้ามีธุระด่วนต้องรีบกลับไปที่จัวลู่หรอกหรือ”
“ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อย” จี้ชิงส่ายหน้า “ในตอนนี้ยังจะมีอะไรสำคัญไปกว่าการช่วยผู้คนที่ตกอยู่ในอันตรายล่ะ”
“คุณชายสาม สหายซ่ง แล้วอาจิ่งน้อยล่ะ” เจียงซ่างเอาตัวบังอาจิ่งไว้เพื่อกันไม่ให้นางเห็นฉากนองเลือด “ฆ่ากันตายเป็นเบือเช่นนี้ ทำให้เด็กน้อยตกใจแย่ ไม่ดีเลย”
“สหายเจียง เรื่องนี้ข้าต้องฝากเจ้าแล้วละ” ซ่งฉือถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วโค้งคำนับเจียงซ่าง
เจียงซ่างรีบก้าวไปด้านหน้าแล้วจับมือของซ่งฉือ กล่าวอย่างร้อนรน “ไม่จำเป็น…ไม่จำเป็น การที่พวกเราสองคนรู้จักกันถือว่าเป็นโชคชะตา อาจิ่งน้อยก็น่ารักไม่ดื้อ ข้างเอ็นดูนาง เพียงแต่ช่วยอะไรไม่ได้มาก ข้าละอายใจจริงๆ”
“สหายเจียงพูดเกินไปแล้ว เจ้าดูแลอาจิ่งได้เป็นอย่างดีก็นับว่าช่วยได้เยอะแล้วละ” ซ่งฉือสีหน้าเคร่งขรึม ไม่เหลาะแหละเหมือนก่อนหน้านี้
ทันใดนั้นจี้ชิงก็นึกถึงคำพูดที่ศิษย์พี่รองเคยพูดไว้ได้ว่าซ่งฉือแห่งเจียงอินนิสัยไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่สนใจพิธีรีตองหรือขนบธรรมเนียม ชอบดื่มเหล้าเคล้าสาวงามและมีดวงตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์…ดูดีแต่กลับหาสาระไม่ได้
ข่าวลือเชื่อไม่ได้ ศิษย์พี่รองคงจะมองผิดไป…จี้ชิงวางกระบี่ลง คราวนี้เขายื่นมือไปหาซ่งฉือ
“ไปเถอะซ่งฉือ”
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกชื่ออีกฝ่าย ชุดจันทร์ส่องนทีพลิ้วไหวไปกับสายลมเผยให้เห็นรอยสักสีแดงสดที่อยู่ตรงหว่างคิ้ว ริมฝีปากบาง ดวงตาเจือไปด้วยแววมุ่งมั่น
ซ่งฉืองุนงงอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นมือไปจับมือเขาไว้ ตาสองคู่ประสานกัน รู้สึกราวกับพวกเขากำลังจะมุ่งไปสู่ความตาย เขาสะบัดชายเสื้อคลุมแล้วกระชับกระบี่ให้เข้าที่ เรียวคิ้วดูเยือกเย็น หันกลับไปมองเจียงซ่างและอาจิ่งด้วยแววตาลึกซึ้ง
“ท่านพี่ซ่ง” จู่ๆ อาจิ่งก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง
ซ่งฉือหันกลับไปมองด้านหลัง ความรู้สึกเย็นวูบยังไม่หมดไป เขาเห็นดวงตาที่มีน้ำตารื้นของอาจิ่ง
“ท่านพี่ซ่ง ท่านต้องรอดกลับมานะ ข้าอยากกลับไป…กลับไปย่างปลาให้ท่านกับท่านพี่กู้กินอีก”
“แน่นอน ข้ายังอยากเล่นว่าวกับเจ้านะ”
ซ่งฉือทนไม่ได้หากต้องเห็นนางร้องไห้ เขาจึงหันหน้ากลับมาแล้วโอบเอวของจี้ชิงไว้ กล่าวเสียงเบา “ไปกันเถอะ”
อาจิ่งกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ข้างหลัง ส่วนเจียงซ่างก็ไม่รู้จะปลอบอย่างไร
การกลับไปคราวนี้ย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และจะไม่มีประมุขน้อยอีกต่อไป