พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส - ตอนที่ 10 ร่วมเตียงร่วมหมอนเป็นพี่น้อง
- Home
- All Mangas
- พี่น้องร่วมสาบาน ใต้แสงจันทร์อันเจิดจรัส
- ตอนที่ 10 ร่วมเตียงร่วมหมอนเป็นพี่น้อง
สิบ
ร่วมเตียงร่วมหมอนเป็นพี่น้อง
“พะ…พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันน่ะ”
เจียงซ่างทำมือเป็นรูปกากบาท เกาะขอบประตูแล้วค่อยๆ เข้าไปในห้อง “คุณชายสามแห่งตระกูลจี้เป็นอะไรล่ะ โดนเวทมนตร์รึ”
“เจ้านั่นแหละทำอะไร” ซ่งฉือลุกขึ้นนั่ง มือข้างหนึ่งยังคงถูกจี้ชิงจับไว้แน่น
“เอ๊ะ สหายซ่งเป็นคนบอกเองว่าโรงเตี๊ยมเหลือห้องว่างเพียงสองห้องไม่ใช่หรือ ข้าก็เลยต้องอยู่ห้องเดียวกับท่านทั้งสองคน”
ซ่งฉือทุบศีรษะตนเอง เขาถูกจี้ชิงเรียกจนสติไม่อยู่กับเนื้อตัว เจียงซ่างเข้ามาก็ต้องมานอนน่ะสิ
“เจ้า เจ้าน่ะรอก่อนนะ” ซ่งฉือกระแอมไอสองที
เจียงซ่างไม่ควรจะเข้าใจผิด
แต่ช่างมันเถอะ จะเข้าใจผิดหรือไม่ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่นะ
“สะ…สหายซ่ง เช่นนั้นจะให้ข้านอนตรงไหน” เจียงซ่างกอดเสื้อผ้าของตนเองไว้แน่น มองสถานการณ์บนเตียงตาค้าง เห็นได้ชัดว่าคนที่สามไม่สามารถเบียดเพิ่มเข้าไปได้…โอ ไม่นะ แย่จัง
“เตียงนี้ก็นอนไม่ได้แล้ว” ซ่งฉือพยายามแกะมือข้างนั้นออกจากจี้ชิง แต่เจ้านี่แรงเยอะมาก ดึงอย่างไรก็ดึงไม่ออก เมื่อหมดปัญญาจึงพลิกตัวด้วยความยากลำบากมาถามเจียงซ่างที่ยังคงนั่งทื่ออยู่ที่เดิมว่า “สหายเจียง เจ้าเป็นถึงปีศาจ ต้องมีร่างเดิมอย่างแน่นอน”
“พูดตามตรงเลยนะ ร่างเดิมของข้าคือปลาจิ๋นหลี่5” เจียงซ่างกล่าวด้วยความภาคภูมิ “ก่อนที่จะบำเพ็ญเพียรจนกลายเป็นมนุษย์ได้ ข้าเคยอยู่ในวัดฟ่านอินให้บูชา ปลาจิ๋นหลี่หกสีที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มีข้าเพียงผู้เดียว”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ น้ำเสียงเขาพลันเศร้าลงทันที “เพียงแต่พอกลายเป็นมนุษย์ ข้าก็ไม่อาจอยู่ที่วัดฟ่านอินได้อีกต่อไปจำต้องเร่ร่อนท่องไปเรื่อยอย่างนี้”
“อ๋อ” ซ่งฉือพยักหน้า “อย่างนี้นี่เอง “ตอนที่ข้าเจอสหายเจียงจึงรู้สึกว่าทุกอย่างดูราบรื่นไปหมด มหาโชคมาเยือนจริงๆ ที่แท้สหายเจียงก็คือปลาจิ๋นหลี่นั่นเอง”
เจียงซ่างได้ยินเขากล่าวชมเช่นนั้นก็แตะศีรษะด้วยรู้สึกเขินอาย “ไม่ได้ดีเลิศขนาดนั้นหรอก”
“ในเมื่อสหายเจียงเป็นปลาจิ๋นหลี่ อภัยที่ข้าต้องขออธิบายเสียหน่อย เตียงนี้คงนอนไม่ได้แล้วละ น้องอวิ๋นฉงก็ป่วยด้วย ข้ากับเขามีสายสัมพันธ์พี่น้อง มีไมตรีต่อกัน จึงต้องดูแลเขาเป็นอย่างดี”
เจียงซ่างพยักหน้า นี่ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดี
“ประการที่สอง ข้าไม่อยากให้สหายเจียงเหน็ดเหนื่อยจึงได้หาสถานที่ที่เหมาะสมให้แก่สหายเจียงไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อเป็นปลา การได้อยู่ในน้ำย่อมเป็นความสุขสูงสุด ห้องข้างๆ มีน้ำอยู่ถังหนึ่ง ถ้าคืนนี้สหายเจียงใช้ร่างเดิม พรุ่งนี้เช้าเราจะได้เดินทางกันเลย”
เจียงซ่างเดินได้สองก้าวก็พบว่าห้องข้างๆ มีถังน้ำใบใหญ่ตั้งอยู่ เป็นเวลานานมากแล้วที่เขาไม่ได้มีความสุขกับร่างเดิม เขากำลังเตรียมที่จะกระโจนลงไปแต่ก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าเรื่องนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง และก่อนที่เขาจะนึกออกก็ได้ยินเสียงแหบพร่าพร้อมกับลมหายใจหอบถี่เรียก “ท่านแม่” ดังมาจากในห้องนอน
เขารีบวิ่งออกไปดู เห็นซ่งฉือใช้มือปิดปากจี้ชิงไว้พร้อมกับยิ้มเจื่อน
“สหายซ่ง คุณชายสามแห่งตระกูลจี้เป็นอะไรไป”
“อ๋อ แค่ไอน่ะ ข้ากลัวเขาไอแล้วแพร่อาการป่วยออกมาจึงปิดปากเขาไว้ ไม่มีอะไรหรอก เจ้าไปพักเถอะ”
เมื่อถูกขัดจังหวะขึ้นมาแบบนี้ เจียงซ่างพลันลืมไปเลยว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง เขากลายร่างเดิมแล้วกระโจนลงไปในถังน้ำอย่างมีความสุข อีกทั้งยังพ่นน้ำออกมาอย่างสนุกสนานอีกด้วย…สบายจริงๆ
ซ่งฉือปล่อยมือออก จี้ชิงสำลักอย่างแรงจนใบหน้าแดงก่ำ แต่รอยสักที่หว่างคิ้วเริ่มจางลง หัวคิ้วที่ขมวดชิดก็ค่อยๆ คลายลงทีละน้อย ดวงตาปิดสนิทไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไป
เจ้าหมอนี่…ซ่งฉือถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกว่ามือของตนเองชาไปหมด เขาลองกำมือแล้วคลายออกอย่างสั่นเทา
มีเพียงตอนที่นอนหลับสนิทแล้วเท่านั้นจึงค่อยดูซื่อตรงขึ้นมาหน่อย
ซ่งฉือถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะมุดเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วนอนตะแคงมองใบหน้าของจี้ชิง
หล่อมากจริงๆ…มองกี่ครั้งก็ยังหล่อ
ไม่ว่าจะมองจากมุมใดเครื่องหน้าของเขาก็คมชัดสมบูรณ์แบบ แม้จะยังไม่ถึงวัยสวมกวานและดูเยาว์วัย ทว่าโหนกคิ้วนูน สันกรามเด่นชัดก็ทำให้กล่าวได้แล้ววว่าหลังจากผ่านพิธีสวมกวานจะต้องเป็นบุรุษรูปโฉมงดงามเป็นแน่ ใครได้ไปเป็นสามีคงจะมีความสุขแน่นอน
ซ่งฉือหัวเราะ เขานึกถึงภาพท่าทีโอหังตอนพบกันครั้งแรก แต่คืนนี้กลับละเมอเพ้อเรียกหามารดาในโรงเตี๊ยมสับปะรังเคหลังนี้
วงล้อแห่งโชคชะตาพลิกแรงน่าดู
“เจ้าเด็กเซ่อนี่ตกอยู่ในกำมือของข้าแล้ว” เขายื่นมือไปเคาะหน้าผากของจี้ชิงเบาๆ แต่ก็ไร้ปฏิกิริยาใดๆ โต้ตอบ ซ่งฉือถอนหายใจ นอนราบมองไปที่หัวเตียง ยามไม่ได้อยู่ที่หอไห่ถังเขาก็รู้สึกคิดถึงบ้านอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าตอนนี้ศิษย์พี่ทั้งหลายกับตาเฒ่านั่นจะทำอะไรกันอยู่ คงไม่ใช่ว่ายังโกรธเขาอยู่หรอกนะ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เหตุใดจี้ชิงถึงได้มีรอยสักห่านป่าเพิ่มขึ้นมาอีก ไม่ใช่ว่าเขากลับไปหาฮูหยินหมิงหานแล้วหรือ แล้วได้พบกันหรือยัง
การไปจัวลู่ครั้งนี้แม้จะไปเพื่อหาหยก แต่ความจริงเขาอยากจะรู้ว่าลูกศิษย์ของจัวลู่ฝึกเป็นเซียนกันอย่างไร
ซ่งฉือยื่นมือออกไป พยายามตั้งสมาธิ แต่ไม่ว่าเขาทำอย่างไรก็ยังไร้วี่แววปฏิกิริยาโต้ตอบ แม้กระทั่งความเปลี่ยนแปลงน้อยนิดภายในร่างกายของเขาก็ยังไม่มี
เต๋าส่งเสริมเกื้อหนุนให้มีหนึ่ง หนึ่งส่งเสริมเกื้อหนุนให้มีสอง สองส่งเสริมเกื้อหนุนให้มีสาม สามส่งเสริมเกื้อหนุนให้มีสรรพสิ่ง
หลับตา ลืมตา เดินลมปราณ นัยน์ตาอ้างว้าง
เขาลดมือทั้งสองลงข้างกายอย่างไร้เรี่ยวแรง…ชีวิตนี้เป็นได้แค่สวะเท่านั้นหรือ
ซ่งฉือหลับตาลงแต่ก็นอนไม่หลับ พลิกตัวไปมาหลายครั้ง เขาคลำไปโดนอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างกายของจี้ชิง คลำสัมผัสอยู่นานก่อนจะหยิบมันออกมา
เป็นหยกก้อนหนึ่ง มันเต็มไปด้วยวิญญาณแห่งหิมะ
เขาเคยเห็นมันบนคอของจี้ชิง
เขาลูบมันไปมา รู้สึกเย็น
“นี่เอาไว้ทำอะไร” เขาบ่นพึมพำ หยกธรรมดากำไว้เดี๋ยวก็อุ่นขึ้น แต่หยกชิ้นนี้ถูไปมาระหว่างเขาสองคนอยู่เป็นเวลานาน จี้ชิงมีไข้อยู่สักพักแล้ว หยกชิ้นนี้เอาออกมาจากในผ้าห่มก็ยังรู้สึกเย็นในมืออยู่เลย แต่หยกชิ้นนี้แขวนอยู่บนคอของจี้ชิง อาจเป็นไปได้ว่าการพลิกตัวของทั้งคู่ทำให้มันหลุดออกมา คงไม่เป็นการดีแน่ถ้าพรุ่งนี้จี้ชิงตื่นขึ้นมาพบว่าหยกที่ห้อยอยู่ที่คอหลุดไป เขาจึงค่อยๆ สวมหยกไว้บนคออีกฝ่ายให้เหมือนเดิม
พอสวมไว้ที่คอ สีของหยกก็เปลี่ยนจากสีเข้มเป็นอ่อนลง ในที่สุดก็กลายเป็นหยกสีขาว
มหัศจรรย์เสียจริง เมื่อครู่นี้ยังเป็นสีเขียวมรกตอยู่เลย
คิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว หยกชิ้นนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
จี้ชิงมีพรสวรรค์เป็นเลิศ ผู้ที่เหมาะสมจนได้รับเลือกให้เป็นเซียนเช่นนี้ต้องแตกต่างจากสวะอย่างเขาแน่นอน การมีหยกมหัศจรรย์ชิ้นนี้อยู่ในครอบครองก็ไม่ใช่สิ่งที่เหนือจินตนาการสักเท่าไร
ราวกับรู้สึกถึงความอิจฉาและริษยาในใจของตนเองที่ไม่อาจควบคุมได้ ซ่งฉือรีบลุกขึ้นนั่งและทำสมาธิทันที
“นั่งทบทวนข้อผิดพลาดของตนเองเงียบๆ อย่าได้วิจารณ์ผู้อื่น”
ท่องอยู่หลายรอบ ความคิดที่น่าขยะแขยงภายในหัวจึงค่อยๆ จางหายไป จากนั้นจึงมุดเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วบังคับตนเองให้หลับใหล
ราชันแห่งอสูรทั้งสี่ทิศยืนอยู่บนเปลวเพลิง จ้องถมึงทึงมาที่เขา
ผู้กล้ายืนอยู่บนดอกบัวลอยเด่นอยู่กลางอากาศ มองลงมาจากที่สูงด้วยสีหน้าเหยียดหยาม
ใบหน้า…เขามองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน
สัตว์ร้ายน่าสะพรึงกลัวที่มีรูจมูกขนาดใหญ่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา เขาคุกเข่าอยู่กับพื้น แขนขาชาราวกับถูกบางอย่างมัดไว้
ทันทีที่เจ้าสัตว์ร้ายหายใจออกมาทางจมูก ลมหายใจของมันก็แรงจนทำให้เขาเจ็บไปทั้งตัว เจ็บไปจนถึงกระดูกราวกับร่างกายจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ซ่งฉือคิดหาทางหนีทีไล่เพื่อถอยหลัง ทว่ากระบี่ก็ฟันลงมาแล้ว แม้กระทั่งผู้กล้ายังมีสีหน้าขยะแขยง ความจริงแล้วในขณะที่กระบี่แทงเข้ามาในร่างกาย ซ่งฉือกลับไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย
ทว่าตอนดึงออกมานี่สิ เขากลับเจ็บจนแทบดับสลาย
และในช่วงที่เขารู้สึกเหมือนตกลงไปในเหวที่ไร้จุดสิ้นสุด ทันใดนั้นเองก็รู้สึกว่ามีใครคนหนึ่งดึงแขนเขาเอาไว้ หลังจากนั้นก็รู้สึกเจ็บก้น ซ่งฉือร้องออกมาเสียงดัง พอได้สติก็พบว่าตนเองนั่งอยู่บนพื้น
เกิดเรื่องอะไรขึ้น
ผ้าห่มบนเตียงยับยู่ยี่ จี้ชิงนอนหลับสบายอยู่ใต้ผ้าห่มโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใด
เขาลุกขึ้นยืนแล้วลูบก้น…ใครถีบเขาลงมา
จี้ชิงหรือ หากไม่ใช่เจ้าหมอนั่นแล้วยังจะมีใครอีก แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นไม่ได้ขยับตัวเลยสักนิด
“สหายซ่ง”
เสียงแผ่วเบาดังมาจากด้านหลังทำให้ซ่งฉือตกใจ
“สหายเจียงนี่เอง ตื่นแต่เช้าเชียว ฮ่าๆ”
เจียงซ่างหัวเราะแล้วชี้ไปที่จี้ชิงซึ่งนอนอยู่บนเตียงก่อนจะถาม “พวกท่านนอนหลับสบายหรือไม่”
“พอใช้ได้ เขาดีขึ้นมากแล้วละ” ซ่งฉือคิดในใจ…ไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับไปแล้ว เช่นนั้นตื่นนอนเลยก็แล้วกัน
เจียงซ่างไปเรียกอาจิ่งที่ห้องข้างๆ
เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ตอนที่ซ่งฉือเตรียมออกไปข้างนอกจี้ชิงก็ลุกจากเตียงขึ้นมานั่ง
“เจ้าตื่นแล้วรึ”
จี้ชิงพยักหน้า มองด้วยสายตาเย็นชาแล้วนวดรอยสักบนหว่างคิ้วเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เมื่อวานข้าเป็นลมไปรึ”
“ใช่” ซ่งฉือนั่งลงไปที่ข้างเตียง “เมื่อวานเจ้าซบในอ้อมอกข้าตลอดเวลา น่าสงสารจริงๆ”
ริมฝีปากของจี้ชิงยังซีดเผือด ดวงตาฉายแววขอโทษ เบือนหน้าไปเล็กน้อยแล้วกล่าวเสียงแผ่วเบา “ขอบใจมาก”
“อือ ไม่ต้องเกรงใจ พวกเราถือว่าเป็นเพื่อนกัน ไม่ต้องขอบอกขอบใจอะไรหรอก”
จี้ชิงเงยหน้าขึ้น แววสับสนฉายอยู่ในดวงตาของเขา “เพื่อนรึ”
ซ่งฉือเห็นสีหน้างุนงงของจี้ชิงก็หลุดหัวเราะออกมา “แน่นอนว่าเราเป็นเพื่อนกัน เจ้าไม่เคยมีเพื่อนหรือ”
“ข้า…” จี้ชิงสับสนเล็กน้อย ตั้งแต่ลงจากเขาอู่หลิงนอกจากพี่รองกับศิษย์น้องในตระกูลจัวลู่สองสามคนแล้ว เขาก็รู้จักอยู่ไม่กี่คน ได้แต่พยักหน้าทักทายกัน ไม่นับว่าเป็นเพื่อน
“ไม่เป็นไร ต่อไปข้าจะเป็นเพื่อนสนิทของเจ้า แน่นอนว่าหากเจ้าไม่รังเกียจเศษสวะอย่างข้า พวกเราก็สาบานเป็นพี่น้องกันได้” ซ่งฉือครุ่นคิดแล้วยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง “ได้เป็นเพื่อนกับเจ้า เสมือนข้าทำบุญมาแต่ชาติปางก่อน”
จี้ชิงนึกขึ้นมาได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีหยวนตัน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอยู่รอดได้ท่ามกลางผู้คนที่กำลังแสวงหาหนทางสู่การเป็นเซียน ตัวเขานั้นมีพื้นฐานที่ดี แต่ซ่งฉือนั้นหากคิดที่จะพยายามก็ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องเริ่มต้นจากตรงไหน
“เรื่องสาบานเป็นพี่น้องน่ะไม่จำเป็นหรอก เป็นเพื่อนกันก็เพียงพอแล้ว” เขาลุกขึ้นนั่งแล้วส่งยิ้มให้ซ่งฉือ
ซ่งฉือมองด้วยความตะลึง…นี่จี้ชิงยิ้มให้เขาอย่างนั้นหรือ
“ฮ่าๆ”
เขาส่งเสียงหัวเราะแปลกๆ ด้วยความตื่นเต้นจนจี้ชิงตกใจลุกลี้ลุกลน
“น้องอวิ๋นฉง” ซ่งฉือลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น สะบัดพัดหยกพิสุทธิ์แล้วกล่าวพร้อมกับโบกพัดไปมา “ต่อไปเจ้าต้องเรียกข้าว่าท่านพี่ฝูอี้”
จี้ชิงแสยะยิ้ม เดินอ้อมเขาไปหยิบเสื้อผ้าที่แขวนอยู่บนที่แขวนเสื้อ “รอชาติหน้าเถอะ”
“เจ้า! จี้ชิง อย่าให้ข้าต้องรอ เรียกข้าว่าท่านพี่ฝูอี้ เร็ว!”
คนด้านหลังรีบสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วดุจเซียน และหายแวบไปต่อหน้าต่อตาของเขา
แสงอาทิตย์ทอลอดหน้าต่าง ส่องแสงเข้ามาท่ามกลางความเงียบสงบ