Summary
เขาไม่มีแม้แต่พลังปกป้องตนเอง ได้แต่พึ่งพาน้องชายแห่งโชคชะตา ทว่าพี่ชายไม่เอาไหนผู้นี้กลับเป็นที่ต้องใจของน้องชายผู้มากพรสวรรค์ เพื่อปกป้องพี่ชายผู้นี้ เขาทำได้ทุกสิ่ง และจะไม่มีวันปล่อยมือไปตลอดกาล
“เอ๊ะ วันนี้ข้าได้ยินมาว่าหอไห่ถังจะจัดพิธีสวมกวานให้แก่บุตรชายคนโตที่ชื่อซ่งฝูอี้ใช่หรือไม่”
“เจ้าไม่ต้องถามให้มากความ ในช่วงสองวันมานี้ ประมุขหอไห่ถังกลัดกลุ้มใจเรื่องการปราบปีศาจอีกาดำแห่งเขาสลายมาร นี่ดูเหมือนเป็นงานเฉลิมฉลอง ทว่าอันที่จริงแล้ว เขาเชิญบรรดาจอมยุทธ์จากทุกสารทิศมาปรึกษาหารือถึงวิธีปราบเจ้าปีศาจตัวนี้ต่างหาก”
“เฮ้ย ข้าได้ยินมาว่าไอ้สวะซ่งฝูอี้ผู้นั้น เมื่อวานมันยังไปเที่ยวหอบุปผาภิรมย์ร่ำสุราเคล้านารีอยู่เลย ประมุขซ่งแห่งหอไห่ถังผู้สูงส่งเหตุใดถึงให้กำเนิดสวะเช่นนี้ออกมาได้ก็ไม่รู้”
“ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง”
ภายในหอไห่ถัง ณ เวลานี้ชุลมุนวุ่นวายเป็นอย่างยิ่ง เมื่อบรรดาลูกศิษย์หาตัวซ่งฝูอี้ไม่พบก็ร้อนรนจนเหงื่อท่วมศีรษะไปตามๆ กัน ประมุขกำชับไว้ว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามวันนี้จะต้องจับซ่งฝูอี้มาให้ได้ จากนั้นให้มัดเขาไว้ที่เรือนกว่างหลิง ผลลัพธ์คือเพียงชั่วพริบตาเดียวแม้แต่ในซอกหินก็ยังหาไม่พบ
“ศิษย์พี่ เราควรทำอย่างไรกันดี เกรงว่าท่านอาจารย์จะต้องลงโทษแน่” ศิษย์น้องกระวนกระวายจนฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“อู๋จี้ เวิ่นเฉิน พวกเจ้าไปหาดูแถวด้านหลังลำธาร” กู้ฉือเริ่มตั้งสติได้ หากฝูอี้ไม่กลับมาภายในครึ่งชั่วยามนี้ เกรงว่าเขาจะต้องถูกแส้เฆี่ยน นอนบนเตียงไม่ได้ไปครึ่งเดือนเป็นแน่
นับตั้งแต่พวกมารถูกกำราบ โลกก็สงบสุขขึ้นมาก เพียงแต่เมื่อไม่กี่วันมานี้ภูเขาสลายมารเต็มไปด้วยกลิ่นอายของปีศาจ สุดท้ายทุกคนคงต้องช่วยกันผนึกมันอีกครั้ง
บรรดาผู้บำเพ็ญเพียรในช่วงเวลานี้ล้วนเป็นคนหนุ่มสาวที่เพียบพร้อมด้วยวิทยายุทธ์สุดลึกล้ำ
แม้คนของตนเป็นเพียงแค่สวะ ทว่าประมุขหอไห่ถังก็ใจกว้างพอที่จะแจกเทียบเชิญให้แก่บรรดาจอมยุทธ์ผู้มากฝีมือ นับเป็นแบบอย่างอันดีให้แก่ผู้คน
หลังจากปราบมารจนหมดสิ้น จี้ฟ่านผู้เป็นวีรบุรุษนำลูกศิษย์นับไม่ถ้วนกลับไปที่จัวลู่ พักผ่อนเพื่อฟื้นฟูพลังภายในและไม่ข้องแวะกับโลกภายนอกอีก ในตอนนี้ตระกูลจี้จึงมีจี้หลิงอู้เป็นผู้แบกรับภารกิจอันยิ่งใหญ่ นับเป็นการหลีกเลี่ยงเรื่องหยุมหยิม ทุกสรรพสิ่งดุจเศษธุลี
ตอนนี้ภูเขาสลายมารมีการเคลื่อนไหวแปลกประหลาด ทว่าจอมยุทธ์ผู้มีชื่อเสียงในใต้หล้ามีหัวใจที่ต่างกันเสียแล้ว ซ่งจือหนานมีอะไรอยู่ในมือน้อยมากจริงๆ
ทว่าอีกด้านหนึ่ง กลับเปี่ยมล้นไปด้วยอิสระ
“ย่างปลาให้ดี” เด็กหนุ่มผู้ย่างเข้าสู่วัยบุรุษคาบหญ้าหางหมาไว้ที่ริมฝีปาก นอนเอกเขนกอยู่บนหน้าผา
ศิษย์ชุดดำเดินขึ้นมาจากแม่น้ำอย่างทำอะไรไม่ถูกพร้อมกับปลาตัวอวบอ้วนในมือ ไม่ว่าเขาจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร ประมุขน้อยก็ยังไม่ยอมไปที่เรือนกว่างหลิง
“ประมุขน้อยขอรับ ท่านรีบไปที่เรือนกว่างหลิงเถอะ นี่ก็สายแล้วเดี๋ยวไปไม่ทันนะขอรับ ท่านประมุขเตรียมแส้ไว้ตั้งแต่เมื่อคืน อาจเพราะเห็นว่าวันนี้มีพิธีสวมกวาน นายน้อยจึงยังไม่โดนเฆี่ยน”
หนุ่มน้อยที่นอนเอกเขนกเอามือก่ายหน้าผากอยู่บนผาหินลุกขึ้นนั่ง “หึ จุดประสงค์ที่แท้จริงของงานวันนี้ไม่ใช่เพื่อฉลองวันเกิดของข้า ข้าไม่ไป”
“ประมุขน้อย หากท่านไม่ไปเกรงว่าคืนนี้จะโดนเฆี่ยนนะขอรับ”
“โดนเฆี่ยนก็ไม่เป็นไร ข้าเคยโดนมาไม่น้อย ไร้ความรู้สึกไปนานแล้ว” ซ่งฝูอี้หยิบหญ้าหางหมาขึ้นมาคาบไว้ที่ริมฝีปากอีก “เจ้ากลับไปบอกศิษย์พี่ทีว่าช่วยบอกท่านพ่อให้เตรียมแส้ไว้ให้พร้อมก็แล้วกัน”
“นายน้อย…” ศิษย์ชุดดำจนปัญญา เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จจึงทะยานไปยังเรือนกว่างหลิง
ซ่งฝูอี้นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะกับตนเองพร้อมกับทอดตาไปยังปลาที่วางทิ้งไว้บนก้อนหินที่กำลังจะหมดลมหายใจ เขากระโดดลงจากผาหินแล้วเตะปลาตัวนั้นลงไปในแม่น้ำ
เมื่อมองจากด้านนอก แสงไฟภายในเรือนกว่างหลิงสว่างขึ้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าบิดาของเขาเริ่มงานเลี้ยงไปแล้ว บรรดาจอมยุทธ์ที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศร่วมปรึกษาหาวิธีพิทักษ์ความยุติธรรม ขจัดปีศาจร้ายให้หมดสิ้นไป
ซ่งฝูอี้รู้อยู่เต็มอกว่าพิธีสวมกวานของเขานั้นเป็นเพียงฉากบังหน้า ท่ามกลางผู้คนที่พลุกพล่าน ในอกเต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธ…เพื่อภารกิจอันยิ่งใหญ่ตาเฒ่านั่นจึงจัดงานเลี้ยงบังหน้า แต่เหตุใดจึงต้องประกาศออกไปว่านี่เป็นพิธีสวมกวานของเขาด้วย
เมื่อก่อนไม่เคยจัดงานฉลองวันเกิดให้ ตอนนี้แสร้งมาทำเป็นบิดาผู้แสนดี
ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้ยังเป็นวันครบรอบวันตายของท่านแม่อีกด้วย
ยิ่งคิดซ่งฝูอี้ก็ยิ่งโกรธ เขาจึงหนีกลับไปที่หลิงกวงเซวียน นั่งพิงพนักเก้าอี้จ้องมองภาพท่านแม่ ทว่าความคับแค้นภายในจิตใจก็ยังไม่สามารถคลายลงได้
หากท่านแม่ไม่ตายตอนที่ให้กำเนิดเขา จะมีอะไรแตกต่างไปหรือไม่ วันเกิดของเขาอาจจะไม่เงียบเหงาเช่นนี้ หรือบางทีท่านแม่อาจทำหมี่ซั่วให้เขากินก็เป็นได้
“อาฉือ”
เสียงคุ้นเคยดังขึ้นมาขัดจังหวะความคิดของเขา
“ศิษย์พี่” ซ่งฝูอี้รีบสาวเท้าไปเปิดประตู
กู้ฉือยืนอยู่นอกประตู สวมชุดดำกลืนไปกับความมืดมิดยามค่ำคืน ถือโคมลอยที่ยังไม่ได้จุดไฟไว้ในมือ
“ปีนี้เจ้ายังไม่ได้ปล่อยโคมเลยไม่ใช่หรือ” กู้ฉือยื่นโคมไฟให้ซ่งฝูอี้ “ข้าให้เจ้า”
ทุกปีศิษย์พี่จะเอาโคมไฟมาให้เขา
“ขอบคุณศิษย์พี่” ซ่งฝูอี้ฉีกยิ้มออกมาทันที “ศิษย์พี่ พรุ่งนี้ข้าจะไปซื้อสุราหมักบุปผาที่หอบุปผาภิรมย์มาให้ท่านดื่ม”
“ไม่ต้องหรอก เพียงแต่คืนนี้ท่านประมุขค่อนข้างยุ่ง” กู้ฉือชะงักไปเล็กน้อย “มันก็เป็นอย่างนี้ทุกปี เจ้าอย่าน้อยใจไปเลย”
“ศิษย์พี่ ข้าไม่ได้น้อยใจเสียหน่อย” ซ่งฝูอี้พิงประตูแล้วยิ้มจนตาหยี “ข้าไม่สนหรอก”
สีหน้าของกู้ฉือเปลี่ยนไป “อาฉือ อย่าพูดเช่นนี้เลย หากท่านประมุขรู้เข้าคงเสียใจแย่”
ซ่งฝูอี้ยิ้มพลางลูบเนื้อผ้าที่ใช้ทำโคมลอยด้วยปลายนิ้ว “ศิษย์พี่รีบกลับไปเถอะ ตาเฒ่านั่นจะได้ไม่โมโห”
ในที่สุดกู้ฉือก็หันมามอง ทว่ากลับเห็นซ่งฝูอี้อยู่บนหลังคาเพื่อปล่อยโคมเสียแล้ว
“อาฉือ”
ซ่งฝูอี้มองลงมา จึงเห็นว่าสีหน้าท่าทางของกู้ฉือดูจริงจังและสงบยิ่ง
“เจ้าไม่ใช่สวะ ภายในใจของข้า เจ้าเป็นศิษย์ผู้น้องที่ดีที่สุดในหอไห่ถังเสมอ”
โคมค่อยๆ ลอยขึ้นไป ซ่งฝูอี้มองกู้ฉือที่หายลับไปกับความมืดยามค่ำคืนอย่างรวดเร็ว บนเนื้อผ้าของโคมลอยมีเส้นหมึกที่ตวัดด้วยลายมือดูดั้งเดิมและทรงพลัง
“ยินดีที่เป็นผู้ใหญ่” เขาเอ่ยเสียงเบา
เจียงอินที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้คงมีศิษย์พี่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ดูแคลนว่าเขาเป็น ‘สวะ’