พันธสัญญาลวงรัก - ตอนที่ 229 คือคุณคนเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ
ตอนที่ 229
คือคุณคนเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ
จิ้นเป่ยเฉิงพยักหน้าเมื่อได้ยินเช่นนั้นและวางแผนจะขับรถออกไป
แต่จู่ ๆ เขาก็รู้สึกถึงแรงกระชากคอเสื้อที่ดึงเขาถอยกลับไปทางด้านหลัง
จิ้นเป่ยเฉิงถูกกระชากคอเสื้ออย่างกะทันหันจนทำให้แทบจะหายใจไม่ออก
เขาเตะท้องคู่ต่อสู้อย่างแรงจนชายชุดดำปล่อยมือออกด้วยความเจ็บปวด
จิ้นเป่ยเฉิงค่อย ๆ สูดลมหายใจเข้าออก แต่กลับกลายเป็นว่าเขาถูกลากออกจากกลุ่มบอดี้การ์ดไป
การป้องกันตัวถูกทำลายจนสิ้นซาก ซุนจิ้งกับเหล่า บอดี้การ์ดถูกรายล้อมไปด้วยชายชุดดำร่างกำยำหกถึงเจ็ดคนซึ่งมีจำนวนมากเกินกว่าพวกเขาจะรับมือไหว
“ใครส่งพวกแกมา?” จิ้นเป่ยเฉิงถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ทว่าพวกเขาไม่ตอบกลับและเลือกที่จะโจมตีต่อจนทำให้เขาตั้งรับไม่ไหว
ถึงแม้ว่าทักษะฝีมือของจิ้นเป่ยเฉิงจะดีมาก แต่เขาไม่สามารถเอาชนะคนหลายคนได้ จึงทำให้เขาถูกต่อยเข้าเต็มเปา
ซุนจิ้งกับพวกบอดี้การ์ดพบว่าจิ้นเป่ยเฉิงกำลังถูกล้อม
พวกเขาสกัดกั้นหมัดที่กำลังเหวี่ยงเข้ามาและเคลื่อนตัวไปทางจิ้นเป่ยเฉิง
เฉียวซือคอยซุกตัวอยู่ที่มุมรถ มือทั้งสองข้างกุมศีรษะเอาไว้แน่น ใบหน้าซีดเผือด
ตลอดชีวิตเธอไม่เคยเห็นการต่อสู้แบบนี้มาก่อนเลย
หัวใจของเธอสั่นไหวทุกครั้งที่มีเสียงดังนอกรถยนต์ แม้แต่ร่างกายยังสั่นสะท้าน
คนพวกนั้นคือใคร?
รึต้องการจะลักพาตัวพวกเธอหรือเปล่า?
จู่ ๆ ความคิดดังกล่าวก็แวบเข้ามาในหัวของเฉียวซือ
หากเป็นเช่นนั้น เธอจะต้องรีบหนีไปให้เร็วที่สุด
ซุนจิ้งกับพวกบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านนอกรถยนต์เข้าไปกระชิดตัวจิ้นเป่ยเฉิง ทุกคนหอบจัดและได้รับรอยฟกช้ำกันถ้วนหน้า
“บอส รีบหนีไป” ซุนจิ้งกระซิบบอกจิ้นเป่ยเฉิง
ครั้งนี้พวกเขาพากำลังคนออกมาไม่มากนัก พวกเขาจึงไม่สามารถต่อสู้กับคนกลุ่มนี้ได้
วิธีเดียวคือจะต้องปกป้องจิ้นเป่ยเฉิงให้หลบออกไปก่อน
แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ให้โอกาสพวกเขาเลย พวกเขาปิดล้อมพวกจิ้นเป่ยเฉิงเอาไว้ทำให้ไม่สามารถหลบหนีออกไปได้
ชายชุดดำที่เข้ามารุมล้อม ทุบตีพวกเขาจนพวกเขาไม่สามารถต่อสู้กลับได้
ก่อนหน้านี้ซุนจิ้งได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ แต่กว่าคนของพวกเขาจะมาถึงสถานการณ์ก็ชุลมุนวุ่นวายแล้ว
คนกลุ่มที่ปิดล้อมได้อพยพออกไป เหลือทิ้งจิ้นเป่ยเฉิงที่ได้รับบาดเจ็บให้นอนหมดสติอยู่บนถนน พวกบอดี้การ์ดถูกโจมตีจนล้มไปกองกับพื้น ขณะที่เฉียวซือวิ่งหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ลูกน้องของจิ้นเป่ยเฉิงรีบพาเขาไปส่งโรงพยาบาล และเข็นเขาเข้าห้องฉุกเฉินโดยตรง
ณ คฤหาสน์ตี้หลาน
ขณะนี้มู่อวี้เฉิงกำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่ในห้องทำงาน ดวงตาของเขามืดมิดราวกับทัศนียภาพตอนกลางคืนด้านนอกหน้าต่าง
‘ก๊อก ๆ ๆ’ หลังจากเสียงเคาะประตูดังขึ้น ลู่หมิงก็เดินเข้ามาข้างใน
มู่อวี้เฉิงหันไปมองเขาด้วยสีหน้าเย็นชา
“ท่านประธาน เรื่องทั้งหมดได้รับการแก้ไขแล้วครับ” ลู่หมิงโค้งคำนับและรายงานด้วยความเคารพ
มู่อวี้เฉิงที่ได้ยินเช่นนั้นถามกลับอย่างเย็นชา “ผลลัพธ์ล่ะ?”
“จิ้นเป่ยเฉิงบาดเจ็บสาหัส ส่วนเฉียวซือวิ่งหนีไปช่วงที่ชุลมุนครับ” ลู่หมิงตอบ
เขาอยู่ในเหตุการณ์ที่จิ้นเป่ยเฉิงถูกปิดล้อมเช่นกัน และรีบกลับมายังคฤหาสน์ตี้หลานทันทีที่เรื่องทั้งหมดจบลง
มู่อวี้เฉิงพูดตอบด้วยสีหน้าเย็นชา “ไม่เป็นไร”
ไม่สำคัญว่าเฉียวซือจะวิ่งหนีไปไหน เพราะเหตุการณ์ในวันนี้จะทำให้เธอตกใจอย่างแน่นอน
สำหรับคนที่กล้าแตะต้องคนของเขา เหตุการณ์นี้จะถือว่าเป็นบทเรียนสั่งสอนพวกเขา
หลังจากลู่หมิงรายงานและเดินออกจากคฤหาสน์ไปแล้ว มู่อวี้เฉิงก็เดินกลับมาที่ห้อง
ตั้งแต่เขาพาถงเหมี่ยวเหมี่ยวออกมาจากคลับ เธอก็นอนหลับเงียบ ๆ มาตลอดทาง
แม้ว่าเขาจะอุ้มเธอกลับมาบ้านและช่วยเช็ดตัวให้เธอ แต่เธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลย
มู่อวี้เฉิงมองดูถงเหมี่ยวเหมี่ยวที่กำลังนอนหลับเงียบ ๆ ใบหน้าของเธอขยับเขยื้อนเพียงเล็กน้อย ริมฝีปากบางโค้งขึ้นจนเกิดรอยยิ้มเบา ๆ
เขาคิดในใจว่าถึงแม้เธอจะเมาแต่ก็ยังประพฤติตัวน่ารักมาก
นอกจากนี้ข้าง ๆ เธอยังมีปุ่มก้อนเล็ก ๆ นู้นขึ้นมา
ตอนนี้เขาอุ้มถงเหมี่ยวเหมี่ยวกลับมาบ้าน เจ้าตัวเล็กเป็นห่วงหม่ามี้มากจนไม่ยอมกลับไปที่ห้องของตนเอง
ทำให้ตอนนี้เขาผล็อยหลับไปข้าง ๆ เธอ
มู่อวี้เฉิงหยิบผ้าห่มที่เสี่ยวเป่าถีบออกขึ้นมาห่มให้เขาอีกครั้ง แม้ว่าเสี่ยวเป่าจะนอนหลับอยู่แต่เขาก็ยังดิ้นไปมาและค่อย ๆ เขยิบตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม
มู่อวี้เฉิงมองดูสองแม่ลูกที่กำลังนอนหลับอยู่ด้วยสายตาอบอุ่นราวกับบ่อน้ำพุร้อน
ตั้งแต่ทั้งสองเข้ามาอยู่เคียงข้างเขา ชีวิตของเขาก็สงบสุขขึ้นมาก
เช้าวันรุ่งขึ้น
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวขยี้ตาด้วยความรู้สึกง่วงนอน ดวงตาของเธอยังคงพร่ามัวเล็กน้อย
นี่เธอนอนอยู่ในคฤหาสน์ตี้หลานเหรอ?
เธอกลับมาได้ยังไง?
ขณะที่เธอกำลังนึกคิด ความเจ็บปวดก็แล่นออกมาจากศีรษะจนทำให้เธอปวดหัวมาก
เธอหลับตาลงอีกครั้งและยกนิ้วขึ้นมานวดขมับ โดยหวังว่ามันจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้
เสียง ‘แกร๊ก’ ดังขึ้นภายในห้องอันเงียบสงบ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวลืมตาขึ้นเล็กน้อยจนเห็นคนตรงหน้าชัดเจน
มู่อวี้เฉิงค่อย ๆ เดินถือน้ำอุ่นกับยาสองสามเม็ดเข้าไปหาเธอ
มู่อวี้เฉิงวางยาและน้ำอุ่นลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงประคองถงเหมี่ยวเหมี่ยวให้ขึ้นมานั่งพิงข้างเตียง
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวเงยหน้ามองเขาด้วยความรู้สึกสับสน
มู่อวี้เฉิงส่งยากับน้ำอุ่นให้เธอแล้วพูดบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ยาแก้เมาค้าง”
เขารู้ดีว่าถงเหมี่ยวเหมี่ยวเป็นคนดื่มไม่เก่ง เช้านี้ตื่นขึ้นมาคงจะปวดหัวแน่นอน เขาจึงสั่งให้พ่อบ้านเตรียมยาแก้เมาค้างไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวเอื้อมมือออกมารับยา แต่หลังจากนั้นเธอกลับได้ยินเสียงเซ็กซี่ของมู่อวี้เฉิงดังขึ้น
“อ้าปาก”
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวกินยาจากมือของเขาที่ยื่นมาหาเธอ และสัมผัสได้ถึงรสขมที่ติดอยู่ปลายลิ้น
ใบหน้าเล็ก ๆ ย่นเล็กน้อยจากความขมของยา
มู่อวี้เฉิงรีบป้อนน้ำให้เธอก่อนที่เธอจะระงับความขมไม่ไหว
หลังจากนั้นไม่นาน อาการปวดหัวก็ค่อย ๆ ทุเลาลง จนเธอจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้หมด
จิ้นเป่ยเฉิงกับเฉียวซือ พวกเขาทั้งสองเป็นคู่หมั้นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นจิ้นเป่ยเฉิงยังบอกว่า…
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวที่กำลังหวนคิดถึงเรื่องนั้นจ้องมอง มู่อวี้เฉิงด้วยความโกรธจัด และพูดถามด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ “ทำไมคุณไม่บอกเรื่องเฉียวซือให้ฉันฟังบ้างเลย”
เฉียวซือไม่ได้เป็นเพียงลูกสาวจากตระกูลเฉียวเท่านั้นแต่ยังเป็นคนที่จะร่วมมือกับเขาในวันนั้นด้วย
นอกจากนี้เฉียวซือเกือบจะได้เป็นคู่หมั้นของมู่อวี้เฉิงแล้ว
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวรู้สึกหงุดหงิดมากเมื่อนึกถึงเรื่องนี้
มู่อวี้เฉิงที่ได้ยินคำถามของเธอไม่ได้มีท่าทางเปลี่ยนไปเลย
เดิมทีเขาไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเฉียวซือ แต่ในเมื่อ ถงเหมี่ยวเหมี่ยวถามถึงเธอ เขาก็ควรจะพูดอธิบายให้ชัดเจน
เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คู่หมั้นของผมคือคุณคนเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ”
“แล้วเฉียวซือล่ะ?” ถงเหมี่ยวเหมี่ยวเลิกคิ้วและถามด้วยความสับสน
มู่อวี้เฉิงอธิบายว่า “เฉียวซือน่ะเหรอ ก็แค่ตระกูลเฉียวอยากร่วมมือตระกูลมู่ก็เลยเสนอให้เธอแต่งงานกับผม แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ เธอไม่ได้สำคัญอะไรและผมก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเธอคือใคร แต่ไม่คิดว่าเธอจะมาสร้างปัญหาให้คุณ”
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวมองดูเขาและสัมผัสได้ถึงความจริงใจ ดังนั้นเธอจึงเชื่อเขา
หลังจากที่มู่อวี้เฉิงอธิบายเสร็จ เขาก็เตือนว่า “ทีหลังถ้าเจอผู้หญิงคนนั้นอีกก็อยู่ให้ห่างจากเธอนะ”