พันธสัญญาลวงรัก - ตอนที่ 223 มาที่นี่เพื่อถามคำถามนี้
ตอนที่ 223
มาที่นี่เพื่อถามคำถามนี้
หลังจากได้ยินเสียงตอบรับที่เชื่อฟัง เฉียวซือก็สตาร์ทรถยนต์ขับกลับไปที่โรงแรม
เธอกลับมาถึงห้องพักได้ไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ใคร?
เฉียวซือรู้สึกสับสนไปชั่วขณะ
เธอเพิ่งมาถึงเมืองเป่ยเมื่อเช้านี้ มีเพียงมู่อวี้เฉิงเท่านั้นที่รู้ว่าเธออยู่ในเมืองเป่ย นอกจากนี้แล้วไม่มีใครรู้เลยและเธอก็ไม่ได้สั่งรูมเซอร์วิสด้วย
เฉียวซือคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าใครรู้ตำแหน่งที่อยู่ของเธอและไล่ตามมาหาเธอในเวลานี้
เฉียวซือค่อย ๆ เปิดประตูออกทีละน้อยด้วยความสงสัย
ด้านนอกมีชายคนหนึ่งกำลังยืนเคาะประตูอยู่
ชายคนนั้นสวมชุดสูทสั่งตัดทำสีดำสนิท หน้าตาหล่อเหลาเอาการ เขากำลังยืนพิงกำแพงจ้องมองเธอด้วยสายตาอันตราย
เฉียวซือขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ากำลังยืนทิ้งตัวพิงกำแพงถึงครึ่งหนึ่ง และพูดขึ้นว่า “มาทำอะไร?”
คนที่อยู่ด้านนอกประตูคือจิ้นเป่ยเฉิง ถึงแม้ว่าเฉียวซือจะเคยเห็นเพียงภาพถ่ายของเขามาก่อน แต่ใบหน้าอันมีเสน่ห์ก็ยากที่จะลืมเลือนจริง ๆ
ดวงตาของจิ้นเป่ยเฉิงมืดมนลงเรื่อย ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ
เฉียวซือยังมีหน้ามาถามอีกว่าเขามาทำอะไรที่นี่
เมื่อสักครู่นี้เขาเดินทางไปรับเธอที่สนามบินตามคำขอร้องของพ่อแม่
แต่กลับกลายเป็นว่าเขารอผู้หญิงคนนี้อยู่นาน เธอก็ยังไม่เดินออกมาจากสนามบินสักที
ต่อมามีข่าวจากคนสนิทเขาที่ส่งมาคอยติดตามมู่อวี้เฉิงรายงานว่าผู้หญิงคนนี้เดินทางไปหามู่อวี้เฉิง
จิ้นเป่ยเฉิงโกรธมากเมื่อคิดได้เช่นนั้น
แต่เขาก็ยังคงระงับความโกรธเคืองในใจไว้และก้าวไปข้างหน้า
จิ้นเป่ยเฉิงเดินเข้าไปหาเฉียวซือ ก้มหน้าลงและแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “ฉันก็ต้องมาตามหาเธอน่ะสิ”
“จะพูดก็พูดให้มันดี ๆ หน่อย ใครใช้ให้คุณมาทำตัวสนิทกันแบบนี้?” เฉียวซือขมวดคิ้วและพูดตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เธอพูดและผลักจิ้นเป่ยเฉิงออกไป
ตอนที่เขาเขยิบเข้ามาใกล้เธอเมื่อสักครู่นี้ เฉียวซือรู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังกลายเป็นเหยื่อของงูพิษ
จื้นเป่ยเฉิงไม่ได้สนใจท่าทางเย็นชาของเธอ และพูดอย่างใจเย็น “จะไม่เชิญฉันเข้าไปนั่งหน่อยเหรอ?”
“มีธุระอะไรล่ะ พูดมาตรงนี้ก็จบเรื่อง” เฉียวซือปฏิเสธเขาอย่างตรงไปตรงมา
“แน่ใจเหรอว่าอยากคุยกับฉันที่โถงทางเดิน?”
เฉียวซือรู้สึกอับอายอย่างมากเมื่อผู้คนที่เดินผ่านไปมาหันมามองดูพวกเขาเป็นครั้งคราว
เธอไม่อยากพูดคุยกับเขาต่อที่ทางเดินและเธอก็ไม่ต้องการตกเป็นเป้าสายตาราวกับลิงในสวนสัตว์
เฉียวซือถกเถียงอยู่ในใจก่อนจะผ่อนคลายลง
“เข้ามา” น้ำเสียงของเธอฟังดูเย็นชามาก และทำสีหน้าราวกับถูกบังคับ
จากนั้นเธอจึงมองดูซุนจิ้งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จิ้นเป่ยเฉิง
“ส่วนนายห้ามเข้ามา จะทำให้ห้องฉันเป็นตลาดสดเลยหรือไง? อย่างนั้นหมาแมวที่ไหนก็เข้ามาได้หมดสิ”
เฉียวซือพูดและเดินกลับเข้าไปในห้อง
จะตีสุนัขก็ต้องดูเจ้าของด้วย แน่นอนว่าคำพูดของ เฉียวซือตบหน้าจิ้นเป่ยเฉิงเข้าเต็มเปา
* ตีสุนัขต้องดูเจ้าของ (打狗还要看主人) เป็นคำอุปมาว่าเวลาจะลงโทษใครควรคำนึงถึงความรู้สึกของผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย
ประกอบกับทัศนคติเย็นชาและไม่แยแสของเธอก่อนหน้านี้ ทำให้จิ้นเป่ยเฉิงไม่พึงพอใจอย่างมาก
เขามองดูแผ่นหลังของเฉียวซือด้วยแววตาที่น่าสะพรึงกลัว
หากเธอไม่มีประโยชน์ หากเขาไม่ต้องใช้เฉียวกรุ๊ปเพื่อเป็นบันไดปีนขึ้นไป เขาก็คงจะไม่แต่งงานกับผู้หญิงคนนี้
สีหน้าของจิ้นเป่ยเฉิงไม่ได้แสดงออกว่ากำลังมีความสุขหรือกำลังโมโห เขาเพียงพูดเบาว่า ๆ “รออยู่ข้างนอก”
“ครับ” ซุนจิ้งตอบรับด้วยความเคารพ
จากนั้นประตูห้องก็ปิดลงอย่างช้า ๆ จิ้นเป่ยเฉิงกับ เฉียวซือเข้าไปอยู่ในห้องกันสองต่อสอง
เฉียวซือเดินไปที่โซฟาและหยิบแก้วไวน์แดงบนโต๊ะขึ้นมาจิบอย่างละเมียดละไม
ก่อนหน้านี้เธอกำลังอารมณ์ดีอยู่จนกระทั่งจิ้นเป่ยเฉิงเข้ามา
จิ้นเป่ยเฉิงมองดูสาวงามที่กำลังดื่มไวน์อยู่ตรงหน้าแล้วไม่รู้สึกถึงอารมณ์ใด ๆ ในหัวใจ
เขาไม่มีความรู้สึกกับผู้หญิงตรงหน้า แต่ผู้ใหญ่ทั้งสองครอบครัวตกลงปลงใจที่จะให้พวกเขาแต่งงานกัน
ทั้งนี้การปรองดองกับเฉียวกรุ๊ปจะทำให้มีทั้งผลได้และผลเสีย
ทว่าจากรายงานคนสนิทบอกว่าผู้หญิงตรงหน้าเขาขับรถยนต์ไปหามู่อวี้เฉิงทันทีที่ลงมาจากเครื่องบิน
ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากอยู่ที่นี่มาสักพักหนึ่งแล้ว จิ้นเป่ยเฉิงรู้สึกไม่มีความสุขอย่างมาก
ดวงตาของเขามืดมนลงราวกับปีศาจร้ายที่ต้องการลากคนตรงหน้าลงสู่ขุมนรก
จิ้นเป่ยเฉิงซ่อนอารมณ์ต่าง ๆ ในดวงตาและแสร้งทำเป็นถามไปเรื่อยเปื่อย “ฉันได้ยินว่าวันนี้เธอไปหามู่อวี้เฉิงมาเหรอ?”
เฉียวซือที่ได้ยินเช่นนั้นวางแก้วไวน์ในมือลง จนแก้วไวน์เกิดเสียงดังหลังจากกระแทกเข้ากับโต๊ะกาแฟ
เธอจ้องมองจิ้นเป่ยเฉิงด้วยดวงตาที่เฉียบคม “คุณส่งคนมาสะกดรอยตามฉันเหรอ?”
“เปล่าสักหน่อย” จิ้นเป่ยเฉิงตอบ
คนคนนั้นไม่ได้ถูกส่งเพื่อไปสะกดรอยตามเฉียวซือ มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น
เฉียวซือไม่เชื่อเขา เธอพูดด้วยน้ำเสียงแกมประชดประชัน “งั้นที่คุณถามแบบนี้ หมายความว่าคุณมาที่นี่เพื่อถามคำถามนี้เหรอ?”
จิ้นเป่ยเฉิงยิ้ม “จะเป็นไปได้ยังไง”
เขาแค่อยากจะเตือนเธอ
เฉียวซือรู้ดีว่าจิ้นเป่ยเฉิงต้องการจะพูดอะไร เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “การแต่งงานระหว่างครอบครัวเราสองคนยังไม่ได้รับการตัดสินใจสักหน่อยจริงมั้ย? เพราะฉะนั้นฉันหวังว่าคุณจิ้นคงจะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของคนอื่นนะคะ”
จิ้นเป่ยเฉิงแสยะยิ้มอย่างเย็นชาในใจเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ
ผู้หญิงคนนี้หยิ่งยโสจริง ๆ เธอคิดว่าต่อให้เธอไม่แต่งงานกับเขาแล้วมู่อวี้เฉิงจะชอบเธอเหรอ?
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่รังเกียจที่จะแสดงความกรุณาด้วยการพูดเตือนเธอ
ความน่าสยดสยองปรากฏขึ้นบนดวงตาของจิ้นเป่ยเฉิง
เขามองดูเฉียวซือและพยายามพูดเกลี้ยกล่อมเธอด้วยเจตนาที่ดี “ถ้าเธอยังรู้สึกอะไรต่อมู่อวี้เฉิง ลืมมันไปให้หมดจะดีกว่า เพราะว่าเธอไม่มีวันได้รับโอกาสหรอก”
เฉียวซือจ้องมองเขา เธอรู้สึกว่าจิ้นเป่ยเฉิงไปรับรู้เรื่องอะไรบางอย่างมา
เธอจึงถือโอกาสนี้ถามเขา “ทำไมคุณพูดแบบนั้นล่ะ”
จื้นเป่ยเฉิงแสยะยิ้มในใจ ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มู่อวี้เฉิงมีคู่หมั้นอยู่แล้ว โง่เขลาจริง ๆ
เขาแสร้งทำเป็นแปลกใจขณะมองดูเธอ “เธอไม่รู้เหรอ? มู่อวี้เฉิงมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ผู้หญิงคนนั้นชื่อว่าถงเหมี่ยวเหมี่ยว”
“ผู้หญิงคนนั้นมาจากตระกูลไหน?” เฉียวซือกำมือแน่นโดยที่ไม่รู้ตัว
เธอนึกไม่ถึงว่าจิ้นเป่ยเฉิงจะรู้เรื่องนี้ และมันทำให้เธอไม่ต้องใช้ความพยายามแม้แต่น้อย
ทันทีที่เธอส่งคนไปตามสืบเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น จิ้นเป่ยเฉิงก็โผล่มาที่หน้าประตูห้อง
เฉียวซือมีความสุขมากจนแทบจะหัวเราะออกมา
จิ้นเป่ยเฉิงที่ได้ยินคำถามของเธอตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา
ท้ายที่สุดแล้วเขาไม่รังเกียจที่จะทำให้น้ำขุ่นมัวขึ้นเล็กน้อย
ดวงตาของจิ้นเป่ยเฉิงเป็นประกาย “ผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกสาวของตระกูลถงหรือถงกรุ๊ป ปัจจุบันเป็นผู้จัดการทั่วไปของสตีเฟนกรุ๊ป”
ถงกรุ๊ป?
ไม่เคยได้ยินมาก่อน
คงจะเป็นบริษัทเล็ก ๆ ที่ไม่มีชื่อเสียงมาก
ส่วนสตีเฟนกรุ๊ป เธอเคยได้ยินเกี่ยวกับบริษัทนี้มาก่อน มันเป็นบริษัทต่างชาติที่ค่อนข้างยอดเยี่ยม
แต่ถึงแม้ว่าถงเหมี่ยวเหมี่ยวจะดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป เธอก็ยังเป็นแค่ลูกจ้างทั่วไปเท่านั้น
จะมาเทียบกับคุณหนูผู้สง่างามจากเฉียวกรุ๊ปได้อย่างไร
“แล้วอะไรอีก?” เฉียวซือถามต่อ
“ผู้หญิงคนนั้นคือคู่หมั้นของมู่อวี้เฉิงเมื่อห้าปีก่อน” จิ้นเป่ยเฉิงลูบคางและเริ่มพูดด้วยท่าทีสนใจ
เขาเพิ่งรู้เรื่องนี้เมื่อไม่นานมานี้เหมือนกัน และเขานึกไม่ถึงเลยด้วยซ้ำว่ามู่อวี้เฉิงจะหลงหัวปักหัวปำขนาดนี้
ผู้หญิงที่ทิ้งไปเมื่อห้าปีก่อนกลับมาแล้ว และเขายังคงทนอยู่กับเธอด้วยความเต็มใจ