พันธสัญญาลวงรัก - ตอนที่ 165 ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน
ตอนที่ 165
ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน
หลังจากลู่หมิงรายงานเสร็จ มู่อวี้เฉิงก็วางสายลง
เขาไปที่ถงเหมี่ยวเหมี่ยวแล้วพูดอย่างใจเย็น “ถงอวิ๋นเหยียนถูกจับแล้ว”
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวมีสีหน้าสงบมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะพยักหน้าอย่างเฉยเมย
จากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ในเมื่อเธอถูกจับแล้วก็ปล่อยให้เรื่องมันจบลงแค่นี้ จากนี้ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับใครในตระกูลถง มันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉันอีก”
…
ถงอวิ๋นเหยียนถูกจับกุมตัวเรียบร้อยแล้ว และถูกนำไปขังที่ศูนย์กักกัน
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับคำสั่งให้ไปเฝ้าจับตาดู ถงอวิ๋นเหยียนที่บ้านตระกูลถงถูกสั่งให้ถอนกำลัง
หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจถอนกำลังออกไปแล้ว โจวเพ่ยฮวาก็รู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก
เธอกังวลว่าถงอวิ๋นเหยียนจะถูกจับได้ ด้วยเหตุนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงถอนกำลังไป
โจวเพ่ยฮวาครุ่นคิดและส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้
ณ ห้องสอบสวนในสถานีตำรวจ
เจ้าหน้าที่ตำรวจมองดูถงอวิ๋นเหยียนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และถามเสียงทุ้ม “เมื่อตอนบ่ายไม่กี่วันก่อนคุณอยู่ที่ไหน?”
“ฉันก็ต้องอยู่บ้านสิคะ ไม่เชื่อก็ไปถามพ่อแม่ฉันดู” ถงอวิ๋นเหยียนตอบอย่างมั่นใจ
เธอไม่มีทางยอมรับว่าอุบัติเหตุทางรถยนต์เกี่ยวข้องกับเธอ
เธอปฏิเสธที่จะยอมรับ แล้วจากนั้นมารอดูกันว่าพวกเขาจะทำอะไรได้อีก
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยินคำตอบ เขาก็หยิบแฟ้มเอกสารที่บรรจุภาพจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ขึ้นมาวางบนโต๊ะ
เจ้าหน้าที่ตำรวจถามอีกครั้ง “คุณถง คุณมีอะไรจะพูดถึงอุบัติเหตุทางรถยนต์ในครั้งนี้มั้ยครับ?”
ถงอวิ๋นเหยียนมองดูภาพถ่ายขณะที่รูม่านตาหดลงเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นกลับยังปฏิเสธที่จะยอมรับ
“วันนั้นฉันอยู่บ้าน ไม่รู้เรื่องอุบัติเหตุทางรถยนต์อะไรทั้งนั้นค่ะ”
“คุณถง ทางเราตรวจพบว่าคุณซื้อรถสปอร์ตสีแดงคันในภาพกล้องวงจรปิดมาได้สักพักแล้ว ถ้าคุณบอกว่าคุณอยู่ที่บ้าน แล้วรถของคุณไปอยู่ในที่เกิดเหตุได้ยังไงครับ?”
เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบปากคำอีกครั้ง คราวนี้ ถงอวิ๋นเหยียนถึงกับพูดไม่ออก เหงื่อผุดออกมาจากหน้าผาก แต่เธอกลับยังปฏิเสธที่จะยอมรับ
“ฉัน ฉันจะรู้ได้ยังไงล่ะ บางทีอาจจะมีคนขโมยรถของฉันไปก็ได้” ถงอวิ๋นเหยียนเถียงกลับข้าง ๆ คู ๆ “แล้วทำไมคุณตำรวจไม่ไปจับคนที่ขโมยรถฉันหรือคนที่ชนล่ะคะ มาจับฉันทำไม”
เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้มีท่าทางโกรธเคืองอะไรเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาหยิบแท็บเลตที่บันทึกผลการขับรถในรถสปอร์ตคันสีแดงขึ้นมา และเห็นได้ชัดว่านั่นเป็นเสียงของถงอวิ๋นเหยียน
“คุณถง จากการวิเคราะห์ของเรา เสียงในวิดีโอฟังดูคล้ายคลึงกับเสียงของคุณมาก ยิ่งไปกว่านั้นเสื้อผ้าที่คุณใส่อยู่ดูเหมือนเสื้อผ้าตัวที่พวกผมตามจับเลยครับ เป็นแบบนี้แล้วคุณยังจะไม่ยอมรับอีกเหรอ? หรือว่าต้องการให้ผมไปหาหลักฐานมาเพิ่มเติมมั้ย?”
เมื่อต้องจำนนต่อหลักฐาน ใบหน้าของถงอวิ๋นเหยียนก็ซีดลงทุกครั้งที่เธอฟังคำถามของตำรวจ
แต่เธอกลับกัดริมฝีปากและปฏิเสธที่จะยอมรับ “ฉันขอปฏิเสธคำถามทั้งหมดของคุณค่ะ”
เมื่อเห็นว่าเธอไม่ให้ความร่วมมือ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงสั่งให้คนพาตัวเธอไปคุมขังที่ศูนย์กักกัน จากนั้นจึงเดินออกจากห้องไป
เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงรายหนึ่งเห็นเขาเดินกลับออกมาจึงเริ่มถามไถ่ “เป็นยังไงบ้าง? เธอยอมรับมั้ย?”
เจ้าหน้าที่ตำรวจชายส่ายหัว “สอบปากคำก็แล้ว เธอยังไม่ยอมรับอีก”
ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงจึงพูดออกมาตามตรง “ตอนนี้หลักฐานชัดเจนมากแล้ว ต่อให้เธอไม่ยอมรับก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
ในอีกด้านหนึ่ง ถงอวิ๋นเหยียนเดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจไปยังศูนย์กักกัน
เธอเดินไปตามทางเดินยาวจนกระทั่งมาถึงห้องคุมขัง
“เข้าไป” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดพร้อมกับเปิดประตู
แต่ถงอวิ๋นเหยียนกลับยืนนิ่ง ทำราวกับไม่ได้ยินอะไร
“เข้าไป” เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นว่าเธอไม่เคลื่อนไหว เขาจึงผลักถงอวิ๋นเหยียนเข้าไปข้างในและล็อกประตู
ผู้หญิงวัยกลางคนสองคนมองดูเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตาดูถูกดูแคลน
“มาใหม่เหรอ?” หญิงคนหนึ่งถามขึ้น
ถงอวิ๋นเหยียนเมินคำถามของหญิงสาวรายนั้นโดยไม่พูดไม่จา เธอเดินผ่านผู้หญิงคนนั้นไปนั่งลงบนเตียง
“เจ๋งมากสินะ” ผู้หญิงสองคนมองหน้ากัน ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเดินเข้ามาผลักถงอวิ๋นเหยียนลงกับพื้น
“นังสารเลว” ความโกรธของถงอวิ๋นเหยียนทวีคูณขึ้นมาทันทีเมื่อถูกผลักลงกับพื้น เธอลุกขึ้นยืนและยกมือขึ้นจะตบอีกฝ่าย
“ก็พูดได้ไม่ใช่หรือไง? ที่เมื่อกี้ทำไมแกล้งเป็นใบ้ล่ะ?” ผู้หญิงอีกคนคว้าแขนที่ยกขึ้นและผลักเธอลงกับพื้นอีกครั้ง
ทั้งสองรวมหัวกันเตะต่อยถงอวิ๋นเหยียน
ตกเย็น โจวเพ่ยฮวารู้ข่าวแล้วว่าถงอวิ๋นเหยียนถูกจับ จึงรีบพาถงกัวฮุยมาที่ศูนย์กักกัน
คราวเมื่อพวกเขาเห็นถงอวิ๋นเหยียน พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงตรงหน้าคือลูกสาวของพวกเขา
ถงอวิ๋นเหยียนยังคงสวมชุดในวันนั้น แต่มันสกปรกมากจนสีเปลี่ยนไป
ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้ามอมแมม ดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
โจวเพ่ยฮวาเกือบจะเป็นลมเมื่อเห็นรูปลักษณ์ของ ถงอวิ๋นเหยียน
“อวิ๋นเหยียน ทำไมถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้” โจวเพ่ยฮวาร้องไห้
ลูกสาวของเธอกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ถงกัวฮุยไม่อยากจะเชื่อว่าเลยคนที่ดูเหมือนคนบ้าจะเป็นลูกสาวของตนเอง
เธอพยายามกลั้นน้ำตา แต่หลังจากที่เห็นโจวเพ่ยฮวา น้ำตาก็พรั่งพรูลงมา
“แม่ รีบมาพาหนูออกไปเร็ว ๆ สิคะ หนูไม่อยากอยู่ในนี้”
“เกิดอะไรขึ้น?” โจวเพ่ยฮวารีบถามขึ้น
ถงอวิ๋นเหยียนร้องไห้สะอื้นแล้วพูดว่า “อาหารที่นี่ไม่อร่อยเลย ข้าวแข็งมากกับข้าวก็จืดชืด ให้น้ำซุปมาแค่ก้นถ้วย แบบนี้ไม่ใช่อาหารที่คนกินด้วยซ้ำ”
หลังจากพูดจบ เธอก็ถลกแขนเสื้อขึ้น “ไม่ใช่แค่นั้นนะ แต่ยังมีคนรังแกหนูด้วย พวกนั้นเห็นว่าหนูมาใหม่และดูอ่อนแอ ก็พากันยกพวกมารุมหนู ทั้งเตะทั้งต่อยดึงผมรุมกันมาถอดเสื้อผ้าหนู หนูอยู่ที่นี่ไม่ไหวแล้ว รีบมาช่วยหนูออกไปที”
ใบหน้าของถงกัวฮุยดูน่าสะพรึงกลัวขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น “มันเกินไปแล้ว!”
โจวเพ่ยฮวาเห็นว่าแขนอันงดงามของถงอวิ๋นเหยียนเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ เธอจึงหลั่งน้ำตาด้วยความโศกเศร้าทันที “อวิ๋นเหยียนน่าสงสารจังลูก”
โจวเพ่ยฮวามองดูถงกัวฮุยทั้งน้ำตา “คุณรีบหาทางช่วยลูกสาวของเราเร็วเข้าสิ”
“แล้วผมจะทำยังไงได้” ถงกัวฮุยถามกลับ
ตอนนี้เขาไม่มีเงินใช้หนี้ด้วยซ้ำ แล้วจะไปขอให้ใครมาช่วยเธอได้
ถงอวิ๋นเหยียนยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม “พวกนั้นบอกว่าหนูอยู่ในคุกแล้วจะรังแกเท่าไหร่ก็ได้ แม่คะ หนูไม่อยากติดคุกเลย แม่ไปหาถงเหมี่ยวเหมี่ยวบอกให้มันยกฟ้องได้มั้ยคะ ขอแค่มันถอนคดีไม่ตามมาสอบสวนหนูอีก หนูก็จะไม่เป็นไร อีกอย่างมันยังมีชีวิตสบายดีอยู่ ไม่ได้ตายสักหน่อย และนี่ก็เป็นแค่อุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ หนูไม่อยากมาติดคุกด้วยเรื่องแบบนี้ค่ะ”
โจวเพ่ยฮวาปาดน้ำตาและพยักหน้า “ได้ แม่จะลองหาวิธีดู”
ถงอวิ๋นเหยียนพูดเตือนอีกครั้ง “แม่ต้องช่วยหนูนะคะ”
โจวเพ่ยฮวารับปากอย่างหนักแน่น “ไม่ต้องห่วงลูก ต่อให้ต้องบีบบังคับ แม่ก็จะไปบีบบังคับให้มันถอนคดีลูก”
หลังจากนั้นไม่นานก็หมดเวลาเยี่ยม
โจวเพ่ยฮวากับถงกัวฮุยเดินกลับออกมาจากศูนย์กักกัน
หลังจากขึ้นรถยนต์แล้ว โจวเพ่ยฮวาก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาถงเหมี่ยวเหมี่ยว “ถงเหมี่ยวเหมี่ยว ฉันอยากเจอเธอพรุ่งนี้เช้า”