พันธสัญญาลวงรัก - ตอนที่ 142 เป็นลูกของเขาจริง ๆ
ตอนที่ 142
เป็นลูกของเขาจริง ๆ
การบริการในร้านอาหารนั้นรวดเร็วมาก และอาหารทุกจานก็ถูกเสิร์ฟในเวลาอันสั้น
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวคีบอาหารใส่ปากไปได้สองสามคำ มือใหญ่ทั้งสองก็ยื่นเข้ามาในชามเธอ
“เหมี่ยวเหมี่ยว กินเยอะ ๆ ช่วงนี้ยิ่งทำงานหนักอยู่” เสียงของลู่ซีจวี๋ดังขึ้น
“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” ถงเหมี่ยวเหมี่ยวยิ้มขอบคุณเขา
รอยยิ้มดังกล่าวทำให้มู่อวี้เฉิงตื่นตาตื่นใจมาก
เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาและคีบอาหารใส่ชามของ ถงเหมี่ยวเหมี่ยว “ตอนอยู่ต่างประเทศเห็นไม่ค่อยได้กินอะไรดี ๆ เลย กินเยอะ ๆ นะ”
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวเหลือบมองมู่อวี้เฉิงด้วยแววตาสงสัย และรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ
ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงรักษาความสุภาพเอาไว้ “ขอบคุณค่ะ”
มู่อวี้เฉิงพึงพอใจและคีบอาหารใส่ชามของเสี่ยวเป่า
“เสี่ยวเป่า ตอนนี้เริ่มโตแล้ว ต้องกินเยอะ ๆ นะ”
หลังจากใช้ชีวิตร่วมกันมาหลายวัน มู่อวี้เฉิงก็ค้นพบรสนิยมของแม่ลูกคู่นี้
“ขอบคุณฮะคุณลุงสุดหล่อ” เสี่ยวเป่าผงกศีรษะคำนับขอบคุณเขา
มู่อวี้เฉิงยิ้มเบา ๆ และเหลือบมองลู่ซีจวี๋ที่อยู่ข้าง ๆ อย่างยั่วยุ
หลังจากลู่ซีจวี๋ถูกกระตุ้นด้วยการมองดูอีกฝ่ายคีบอาหารให้เสี่ยวเป่ากับถงเหมี่ยวเหมี่ยว เขาที่ไม่ต้องการน้อยหน้าจึงคีบอาหารใส่ชามของถงเหมี่ยวเหมี่ยวอีกรอบ
หลังจากสลับกันไปมาแบบนี้ อาหารในชามของ ถงเหมี่ยวเหมี่ยวก็กองเป็นพะเนิน
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงร้องตะโกนขึ้น “หยุด!”
ผู้ชายทั้งสองคนหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่และมองดูเธอ
แม้แต่เสี่ยวเป่าที่อยู่ข้าง ๆ ก็เงยหน้ามองเธอเช่นกัน
“พวกคุณกินกันไปเถอะค่ะ ไม่ต้องคีบอาหารมาให้ฉันหรอก ฉันคีบเองได้” ถงเหมี่ยวเหมี่ยวเหลือบมองทั้งสองคนและพูดด้วยน้ำเสียงเหลืออด
“ใช่คุณลุงทั้งสอง ชามเสี่ยวเป่ามีอาหารมากพอแล้วครับ”
ทันทีที่เสี่ยวเป่าพูดจบ ผู้ใหญ่ทั้งสามคนก็ก้มหน้ามองดูชามเล็ก ๆ ของเขาและพบว่าชามของเขาเต็มไปด้วยอาหารมากมาย
มู่อวี้เฉิงกับลู่ซีจวี๋พยักหน้า ก่อนจะนั่งลงรับประทานอาหารของตนเอง
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวรู้สึกไม่สบายท้องเล็กน้อยเมื่อมองดูกองอาหารตรงหน้า
ส่งผลให้เธอไม่ได้แตะต้องมันแม้แต่น้อยและเหลือทิ้งจนกลับบ้าน
ในตอนสุดท้ายมู่อวี้เฉิงเป็นคนไปส่งถงเหมี่ยวเหมี่ยวกลับบ้าน อันเนื่องมาจากกระเป๋าเดินทางของถงเหมี่ยวเหมี่ยวอยู่ในรถยนต์ของเขา ควบคู่ไปกับความช่วยเหลือของเสี่ยวเป่า ทำให้ลู่ซีจวี๋ไม่สามารถต่อล้อต่อเถียงกับมู่อวี้เฉิงได้
ซ่งอวี่ซีที่อยู่อีกด้านหนึ่งได้รับโทรศัพท์จากทางโรงพยาบาล
“ขอโทษนะคะใช่คุณซ่งมั้ยคะ? ผลตรวจความเป็นพ่อลูกออกมาแล้วนะคะ ถ้าเกิดพอมีเวลาสามารถเข้ามารับผลได้เลยค่ะ”
“ค่ะ ได้แล้ว”
หลังจากที่ซ่งอวี่ซีวางสายลง เธอก็แทบตรงดิ่งออกไปข้างนอกทันที
เรื่องนี้จะชักช้าไม่ได้!
รู้ก่อนก็ได้คำตอบก่อน!
หลังจากนั้นไม่นานซ่งอวี่ซีก็ไปถึงโรงพยาบาล
เธอเดินทางไปยังสถานที่ที่ทำการทดสอบก่อนหน้านี้และพูดคุยกับนางพยาบาลที่นั่น “สวัสดีค่ะ ฉันมารับผลตรวจค่ะ”
นางพยาบาลมองดูเธอแล้วถามยืนยัน “ใช่คุณซ่งมั้ยคะ?”
“ใช่ค่ะ” ซ่งอวี่ซีพยักหน้า
“รอสักครู่นะคะ” นางพยาบาลหันกลับไปเอาผลตรวจ
หลังจากนั้นไม่นาน นางพยาบาลก็ยื่นถุงกระดาษให้ ซ่งอวี่ซี
“ขอบคุณค่ะ”
ซ่งอวี่ซีรับผลตรวจและรีบเดินออกมา อดทนรอที่จะเปิดดูผลลัพธ์แทบไม่ไหว
แต่เมื่อเห็นข้อความบนกระดาษ ดวงตาของซ่งอวี่ซีก็เบิกกว้าง สีหน้าตกตะลึง สายตาของเธอจับจ้องไปยังข้อความบนแผ่นกระดาษที่กล่าวว่าความเป็นได้ในทางความสัมพันธ์เครือญาติทางชีวภาพอยู่ที่99.9999%
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเสี่ยวเป่าเป็นลูกของมู่อวี้เฉิงจริง ๆ!
ริมฝีปากของซ่งอวี่ซีเปิดกว้าง เธอยังคงไม่หายตกใจกับผลลัพธ์ตรงหน้า
เธอนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความตกตะลึง
นึกไม่ถึงว่าลูกของถงเหมี่ยวเหมี่ยวจะมาจากมู่อวี้เฉิง!
พวกเขามีความสัมพันธ์กันเมื่อห้าปีก่อน!
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวนังมารยา!
ในความเป็นจริงหล่อนคงจะล่อลวงมู่อวี้เฉิงและให้กำเนิดลูกของเขา แต่ตอนนี้หล่อนยังพาเด็กนั่นเข้ามาพัวพันกับมู่อวี้เฉิงอีก!
ถงเหมี่ยวเหมี่ยว แกมันนังสารเลว!
ดวงตาของซ่งอวี่ซีเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง มือที่จับแผ่นกระดาษค่อย ๆ กระชับเข้าหากันแน่น
แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว มู่อวี้เฉิงน่าจะไม่รู้ประวัติความเป็นมาของเด็กคนนั้น
หลังจากนั้นซ่งอวี่ซีก็สงบสติและวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้า
หากแต่มู่อวี้เฉิงรู้ถึงชีวประวัติของเด็กคนนั้น คงหลีกเลี่ยงให้ทั้งสองคืนดีกันไม่ได้
เมื่อถึงเวลานั้น แม้แต่ลิ่นอวี๋เหยียนก็จะยอมรับถงเหมี่ยวเหมี่ยวเพื่อเห็นแก่เด็ก
จากนั้นเธอก็จะไม่มีโอกาสเลย
ไม่! เธอจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้น! เธอจะทำทุกอย่างไม่ให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด!
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวนั่นไม่มีอะไรดีเลย มู่อวี้เฉิงจะต้องเป็นของซ่งอวี่ซีคนนี้เท่านั้น!
ซ่งอวี่ซีคิด ขณะที่ดวงตาเปล่งประกายไปด้วยลำแสงอันดุเดือด
แต่… ตอนนี้ถงเหมี่ยวเหมี่ยวได้รับการสนับสนุนจากสตีเฟนกรุ๊ปอยู่ และยังได้รับการสนับสนุนจากมู่กรุ๊ปอีกด้วย
เธอควรจะใช้วิธีการใดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เรื่องนี้ถูกค้นพบ?
ซ่งอวี่ซีขมวดคิ้วด้วยความลำบากใจ
หรือว่าต้องเล่นด้านสกปรก?
หากแต่เธอถูกจับได้ว่าลงมือทำอะไรบางอย่าง เธอจะต้องจบเห่แน่ นอกจากนี้เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ยังสร้างความประทับใจที่ไม่ดีต่อมู่อวี้เฉิง
ด้านสว่างเหรอ? ไม่ได้หรอก!
ซ่งอวี่ซีกังวลมากแต่กลับไม่สามารถหาวิธีการแก้ปัญหาได้เลย
เธอลุกขึ้นและกลับบ้านไปด้วยความรู้สึกหมดหนทาง
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ซ่งเผิงฟู่อดถามไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางอกสั่นขวัญหายของเธอ “อวี่ซี เกิดอะไรขึ้น?”
ซ่งอวี่ซีจมอยู่กับความคิดจนไม่ได้ยินเสียงเรียกของ ซ่งเผิงฟู่ด้วยซ้ำ
“อวี่ซี!”
ซ่งเผิงฟู่เห็นเช่นนั้นจึงตะโกนขึ้นเสียงอีกสองสามเดซิเบล
คราวนี้ซ่งอวี่ซีได้ยินชัดเจน “คะ? คุณพ่อ?”
“มัวคิดอะไรอยู่? ทำไมพ่อเรียกแล้วไม่ได้ยินเลย?”
ซ่งอวี่ซีรู้สึกใจไม่เป็นสุข เธอไม่สามารถบอกเรื่องนี้กับพ่อได้
เธอกระชับกระเป๋าในมือซึ่งมีผลตรวจความเป็นบิดาเอาไว้แน่น
“คุณพ่อ ไม่มีอะไรค่ะ หนูแค่คิดถึงเรื่องที่บริษัทน่ะ” ซ่งอวี่พูดอย่างสบาย ๆ
ซ่งอวี่ซีถามขึ้นอีกครั้งเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของพ่อ “คุณพ่อคะ เรียกหาหนูมีเรื่องอะไรเหรอคะ?”
“นั่งลงก่อน มีรายละเอียดโครงการเล็กน้อยที่พ่อต้องคุยกับแกอีกรอบ”
ความสนใจของซ่งเผิงฟู่ถูกเบี่ยงเบนไปได้สำเร็จ
“ค่ะคุณพ่อ” ซ่งอวี่ซีตอบรับอย่างมีความสุข
กว่าจะพูดคุยกันเสร็จก็ดึกมากแล้ว
ซ่งอวี่ซีที่ยังคิดอะไรไม่ออกขอตัวไปนอนก่อน
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉือเหวยพี่สาวคนนี้สนิทของซ่งอวี่ซีได้โทรศัพท์มาชวนเธอไปซื้อของด้วยกัน
ซ่งอวี่ซีจึงตอบตกลง
ตกเย็น ทั้งสองคนจึงมาพบกันหน้าซีเพลาซ่า ก่อนจะเดินตรงเข้าไปในห้างสรรพสินค้า
ฉือเหวยอารมณ์ดีมาก เธอเดินเข้าไปซื้อของร้านนู้นร้านนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เธอมักจะลองสินค้าที่ชื่นชอบ
เมื่อได้ใส่และดูดี เธอก็จะซื้อมันโดยไม่ลังเล
หากไม่ เธอก็จะจับดูชุดอื่นแทน
หลังจากออกมาจากห้องลองชุด เธอส่งกระจกแล้วมองมาที่ซ่งอวี่ซี “อวี่ซี ชุดนี้เป็นไง?”
แต่หลังจากรออยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่มีการตอบรับ
ฉือเหวยอดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไปดูซ่งอวี่ซีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
มองดูเธอนั่งขมวดคิ้วราวกับกำลังวิตกกังวล
“อวี่ซี! อวี่ซี!”
ฉือเหวยเดินเข้ามาตะโกนเรียกเธออีกสองสามครั้ง