พันธสัญญาลวงรัก - ตอนที่ 139 บางคนกำลังสุขใจ แต่ใครบางคนกลับเป็นกังวล
ตอนที่ 139
บางคนกำลังสุขใจ แต่ใครบางคนกลับเป็นกังวล
เอวิสันไม่ได้บีบบังคับ เพียงแต่ยิ้มและพูดว่า “ครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะไปส่งที่สนามบิน”
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวกำลังจะปฏิเสธ แต่เธอกลับได้ยินเอวิสันพูดขึ้นอีกครั้ง “ผมพอมีว่างไปส่งที่สนามบินอยู่ อีกอย่างผมอยากทำมันในฐานะเจ้าบ้าน”
ในเมื่อเขาพูดเช่นนั้น ทั้งสองก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรอีก
“ขอบคุณค่ะคุณไอ เอาไว้คุณมาเที่ยวที่เมืองเป่ยเมื่อไหร่ ฉันจะขออาสาไปเป็นไกด์ให้คุณเองค่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอขอบคุณคุณถงเช่นกันครับ!”
ทั้งสองคนกล่าวอำลาเอวิสันและนั่งรถกลับไปที่โรงแรม
ระหว่างทาง ถงเหมี่ยวเหมี่ยวมีความสุขมาก เธอยิ้มกว้างจนแก้มปริ
“ดีใจมากเลยเหรอ?” มู่อวี้เฉิงถามขึ้นเบา ๆ หลังจากเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าเธอ
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวพยักหน้ายืนยัน “อืม เพราะว่าเราใช้ทรัพยากรและกำลังคนจำนวนมาก ไหนจะใช้เวลาอีก พอได้สิ่งที่ต้องการมามันก็ไม่มีอะไรมีความสุขไปมากกว่านี้แล้ว”
“ทั้งหมดนี้ต้องยกความดีความชอบให้คุณ!”
“ฉันไม่กล้ารับความดีความชอบไว้คนเดียวหรอกค่ะ ถ้าขาดความพยายามของทุกคนไป แนวคิดและการออกแบบของฉันก็คงจะไม่ออกมาสมบูรณ์แบบขนาดนี้ ทั้งหมดต้องขอบคุณทุกคน”
มู่อวี้เฉิงจ้องมองเธอด้วยสายตาลึกซึ้งแล้วไม่พูดอะไร
“แต่ถ้าจิ้นเป่ยเฉิงรู้ข่าวจะต้องโกรธจนหน้าดำมากแน่ ๆ”
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวรู้สึกพึงพอใจเมื่อนึกถึงท่าทางโกรธจัดและบ้าคลั่งของจิ้นเป่ยเฉิง
มู่อวี้เฉิงมองดูท่าทางปีติยินดีของเธอด้วยแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความหลงใหล
ทั้งสองกลับมาที่โรงแรมโดยมีทีมนักออกแบบและลู่ซีจวี๋รอคอยอยู่ที่นั่นแล้ว
เมื่อมองดูสีหน้าของทุกคน พวกเขาคงกำลังเป็นกังวลเกี่ยวกับผลลัพธ์อยู่
หลายคนรีบเข้ามาทักทายเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนกลับมาแล้ว
“คุณมู่ คุณถง ผลเป็นยังไงบางครับ?”
“เคเอ็นกรุ๊ปตกลงที่จะร่วมมือกับเราหรือเปล่า?”
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวเหลือบมองกลุ่มคนแล้วค่อย ๆ พูดขึ้น “เราชนะแล้ว! เคเอ็นกรุ๊ปตกลงที่จะร่วมมือกับพวกเรา!”
“จริงเหรอคะ?”
“ดีจัง!”
“ในที่สุดการทำงานหนักก็ส่งผลสักที”
“คุณมู่ คืนนี้ต้องเลี้ยงข้าวเย็นเรานะครับ!”
“ใช่ครับคุณมู่!”
…
นักออกแบบหลายคนมีความสุขมากและขอให้มู่อวี้เฉิงเลี้ยงอาหารในค่ำคืนนี้
มู่อวี้เฉิงมีความสุขที่คว้าชัยชนะจากโครงการนี้มาได้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงตอบตกลงอย่างง่ายดาย “ได้!”
พวกเขาส่งเสียงไชโยอีกครั้งหลังจากได้ยินดังนั้น
“เหมี่ยวเหมี่ยว ยินดีด้วยนะคว้าชัยชนะโครงการจากเคเอ็นกรุ๊ปมาได้สำเร็จแล้ว ขอบคุณที่เธอตั้งใจทำงานหนัก” ลู่ซีจวี๋ มองดูถงเหมี่ยวเหมี่ยวและพูดด้วยถ้อยคำจริงใจ
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวยิ้ม “ไม่สำคัญหรอกค่ะ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ของบริษัท”
คืนนั้นหลายคนรวมถึงนักออกแบบเดินทางไปรับประทานอาหารเย็นกันที่โรงแรมห้าดาวประจำท้องถิ่น
หลายคนเดินเข้าไปในห้องอาหารส่วนตัวและนั่งลงทีละคน
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวไม่คิดอะไรมากและเข้าไปนั่งลงข้าง มู่อวี้เฉิง
มู่อวี้เฉิงที่คอยสังเกตการเคลื่อนไหวของเธอรู้สึกดีมากจนเผลอหลุดยิ้มออกมา
ลู่ซีจวี๋มองดูเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความรู้สึกขมขื่นในใจแล้วจึงรีบนั่งลงข้าง ๆ ถงเหมี่ยวเหมี่ยว
กลุ่มคนสั่งอาหารและเปิดไวน์แดงสองสามขวด
“คุณมู่ ขอบคุณที่ใจกว้างเลี้ยงอาหารเย็นพวกเรานะครับ!”
นักออกแบบหลายคนยกแก้วขึ้นเพื่อแสดงความเคารพต่อมู่อวี้เฉิง
มู่อวี้เฉิงจึงยกแก้วขึ้นเพื่อตอบรับ
หลังจากแสดงความเคารพเสร็จ นักออกแบบหลายคนมองตรงไปที่ถงเหมี่ยวเหมี่ยว
“คุณถง ขอบคุณสำหรับแนวคิดและวิธีการอันมีค่าในการทำโครงการนี้นะครับ เพราะคุณเราถึงเอาชนะโครงการนี้ได้”
ถงเหมี่ยวเหมี่ยวมีความสุขมาก เธอยกแก้วไวน์ขึ้นและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นดื่มหมดแก้วกันนะคะ อีกอย่างถ้าพวกคุณไม่เร่งฝีมือการทำงาน ผลงานการออกแบบคงไม่ออกมาดีขนาดนี้ ต้องขอบคุณพวกคุณที่ทำงานหนักกันด้วยค่ะ”
บรรยากาศภายในห้องอาหารส่วนตัวเป็นไปอย่างสนุกสนานและกลมเกลียวกันมาก
ขณะที่บางคนกำลังสุขใจ แต่ใครบางคนกลับเป็นกังวล
เมื่อผู้ช่วยทราบข่าว เขารีบไปรายงานจิ้นเป่ยเฉิงทันที
“จะรีบอะไรนักหนา?” จิ้นเป่ยเฉิงตะคอกเมื่อเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของเขา
ผู้ช่วยหอบเล็กน้อย สีหน้าดูไม่สู้ดีนัก “คุณจิ้น เคเอ็นกรุ๊ปตัดสินผลแพ้ชนะแล้วครับ พวกเขาตัดสินใจร่วมมือกับมู่กรุ๊ป”
ผู้ช่วยเหลือบมองจิ้นเป่ยเฉิงและรายงานอย่างระมัดระวัง
ใบหน้าของจิ้นเป่ยเฉิงเย็นยะเยือกขึ้นเมื่อได้ยินข่าวดังกล่าว รัศมีรอบกายดูเย็นชาขึ้นทันที
มือใหญ่กวาดถ้วยบนโต๊ะลงกับพื้นด้วยความโกรธจัด
“เคร้ง~”
เสียงคมชัดทำให้หัวใจของผู้ช่วยสั่นสะท้าน
ไม่เพียงแต่ถ้วยชาบนโต๊ะเท่านั้น แต่เขายังตะบี้ตะบันไล่ทุบข้าวของทุกอย่างที่ขวางหน้า
สักพักเสียงตะโกนกรีดร้องก็ดังลั่นห้อง
ผู้ช่วยยืนอยู่ด้านข้างด้วยขาที่สั่นเทา ก้มหน้าลงไม่กล้าปริปากพูดอะไร
“มู่อวี้เฉิง! ถงเหมี่ยวเหมี่ยว!”
จิ้นเป่ยเฉิงแสดงสีหน้าโกรธจัด เส้นเลือดปูดโปนออกมาจากหน้าผาก ฟันขบเข้ากันดังแน่น
“แล้วไอหมอนั่นมันมัวทำอะไรอยู่?!”
จิ้นเป่ยเฉิงมองดูผู้ช่วยด้วยสายตาเฉียบคม
ผู้ช่วยที่ถูกเรียกชื่ออย่างกะทันหัน หัวใจเต้นระรัวทันที “คุณจิ้น หัวหน้าจางเล่าว่าเขาไปหาคุณไอเมื่อวานนี้ แต่คุณไอไม่ได้บอกรายละเอียดชัดเจน บอกแค่ว่าจะลองคิดดูให้รอบคอบอีกครั้ง”
“ขยะ! เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ยังจัดการไม่ได้! ตอนได้เงินไปก็พูดอย่างดี! พอถึงคราววิกฤตก็ช่วยอะไรไม่ได้สักคน! แล้วไอแก่ เอวิสัน ไม่คิดว่ามันจะมีรสนิยมห่วยแตกขนาดนี้ ไม่แม้แต่จะไว้หน้าจิ้นกรุ๊ป!”
ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าชิ้นเนื้อในปากของจิ้นกรุ๊ปถูกมู่กรุ๊ปขโมยเอาไป!
แล้วหลังจากนี้จิ้นกรุ๊ปจะตั้งหลักในเมืองเป่ยได้อย่างไร?
เขาตกอยู่ในกำมือของมู่อวี้เฉิงสองครั้งติดต่อกัน หากข่าวนี้หลุดออกไป จิ้นเป่ยเฉิงจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
จิ้นเป่ยเฉิงโมโหมาก เตะโต๊ะตรงหน้าระบายความโกรธอย่างแรง
“คุณจิ้น หรือว่าเราควรสอนบทเรียนให้ไอแก่นั่นหน่อยดีมั้ยครับ?” ผู้ช่วยถามด้วยเสียงสั่นเครือ
ดวงตาของจิ้นเป่ยเฉิงมืดมนลง กัดฟันแน่นแล้วเค้นเสียงออกมา แกคิดว่าไงล่ะ?”
ผู้ช่วยเข้าใจทันทีและรีบพยักหน้า “ครับ ผมจะลงมือเดี๋ยวนี้”
คืนนั้นหลังอาหารเย็น เอวิสันพูดคุยธุระเสร็จแล้วเดินกลับออกมาขึ้นรถยนต์
คนขับสตาร์ทรถและขับตรงไปที่คฤหาสน์
แต่เมื่อรถยนต์ขับไปได้ครึ่งทางก็มีรถบรรทุกขับแล่นเข้ามา
คนขับรีบเหยียบเบรกทันที แต่หลังจากเหยียบเบรกอยู่หลายรถยนต์ก็ยังไม่หยุดนิ่ง
เมื่อเห็นรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังแล่นเข้ามาใกล้มากขึ้น ใบหน้าของคนขับรถก็ซีดลงและรีบร้องตะโกน “คุณไอ! คุณไอ!”
เอวิสันที่นอนหลับตาอยู่เบาะหลังได้ยินเสียงจึงลืมตาตื่น
แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไร แสงสีขาวก็สว่างจ้า เสียงแหลมของแตรรถยนต์ดังก้องเข้ามาในรูหู
จากนั้นก็เกิดการสั่นสะเทือนจากรุนแรง ดวงตาของเขาพร่ามัวและหมดสติไปในที่สุด
เมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ความเจ็บปวดก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งร่างกาย ของเหลวอุ่น ๆ ไหลลงมาจากหน้าผาก
เขาพยายามเปิดปากแต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา
การมองเห็นเริ่มพร่ามัวขึ้นทีละน้อย
แต่ก่อนที่เขาจะหมดสติลงไป เขามองเห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนรายล้อมอยู่รอบตัวเขา
ดูเหมือนว่าคนกลุ่มนั้นกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขากลับไม่ได้ยินเสียงอีกต่อไป
พละกำลังในร่างกายค่อย ๆ หมดลง ดวงตามืดมนลงอีกครั้ง และหมดสติไป
ผู้สัญจรไปมาในละแวกนั้นรีบโทรศัพท์แจ้งตำรวจ
ทันใดนั้นรถตำรวจและรถพยาบาลก็มาถึง
เอวิสันถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที